เวียดนามเนื้อหอม GDP ไตรมาส 3 โต 13.76% ยักษ์ค้าปลีกต่างชาติเร่งขยายสาขา-เพิ่มประสบการณ์ช้อปปิ้ง ‘เซ็นทรัล รีเทล’ เปิดแผนลุยขยายไฮเปอร์มาร์เก็ตอีก 70 แห่งรับการแข่งขัน ตั้งเป้าสร้างรายได้ 1 แสนล้าน ภายในปี 2569
หลังจาก ‘เซ็นทรัล รีเทล’ ทุ่มเม็ดเงิน 3 หมื่นล้านบาท หรือ 790 ล้านดอลลาร์ ลงทุนในเวียดนามผ่านการจับมือกับบริษัทข้ามชาติที่มีความเชี่ยวชาญด้านการทำธุรกิจค้าปลีกมายาวนาน เพื่อขยายร้านค้าปลีกให้ได้ครบ 710 แห่ง ภายในปี 2569 จากปัจจุบันมีอยู่ประมาณ 340 แห่ง ทั้งนี้เพื่อรองรับโอกาสการเติบโตมากกว่า 2 เท่า
Olivier Langlet ซีอีโอเซ็นทรัล รีเทล เวียดนาม กล่าวกับ Nikkei Asia ว่า ตั้งแต่เซ็นทรัล รีเทล เข้ามาลงทุนในเวียดนามครั้งแรกในปี 2555 ก็มีผลการดำเนินงานเติบโตต่อเนื่อง โดยปี 2564 ที่ผ่านมามีรายได้ 3.86 หมื่นล้านบาท ซึ่งเวียดนามถือว่ามีสัดส่วนรายได้อยู่ในอันดับ 1 ใน 5 ของบริษัทที่อยู่นอกประเทศไทย
ข่าวที่เกี่ยวข้อง:
- เจาะขุมทรัพย์ของ ‘เซ็นทรัล รีเทล’ ในเวียดนาม ปั้นรายได้จาก 300 ล้าน พุ่งสู่ 3.7 หมื่นล้าน
- ‘เวียดนาม’ คือเป้าหมาย ‘เซ็นทรัล รีเทล’ อัดงบลงทุน 30,000 ล้านบาท ตั้งเป้ายอดขาย 100,000 ล้านบาท ภายใน 5 ปี
- ต่างชาติแห่ปักหมุด ลงทุนเวียดนาม ยอด FDI พุ่งแซงไทยแบบไม่เห็นฝุ่น สัญญาณบ่งชี้ ไทยเริ่มไร้เสน่ห์?
ทั้งนี้มาจากจุดแข็งของการวางตำแหน่งการตลาดของแบรนด์ต่างๆ รวมถึง Go! และ Tops Supermarket รวมถึงการมองหาโอกาสเพิ่มรายได้ให้กับพื้นที่เช่าในศูนย์การค้าด้วยเช่นกัน
สำหรับแผนการดำเนินงานเซ็นทรัล รีเทล ในเวียดนาม เตรียมปรับรูปแบบการขายใหม่ๆ ให้หลากหลายมากขึ้น ทั้งกลุ่มอาหารและหมวดสินค้าอื่นๆ ให้ครอบคลุมทั้ง 55 จังหวัด และในอีก 5 ปีข้างหน้า เตรียมขยายไฮเปอร์มาร์เก็ตในเวียดนามมากกว่า 70 แห่ง รูปแบบร้านมีขนาดตั้งแต่ 4,000-7,000 ตารางเมตร บริษัทตั้งเป้าสร้างรายได้ 1 แสนล้านบาท ภายในปี 2569
อาจเรียกได้ว่าตอนนี้ เซ็นทรัล รีเทล กลายเป็นผู้นำค้าปลีกต่างชาติรายใหญ่ในประเทศเวียดนามไปแล้ว แต่วันนี้ไม่ได้มีแค่ที่ต้องการสร้างการเติบโตในเวียดนาม แต่ยังมี Aeon จากประเทศญี่ปุ่น ที่วางแผนขยายซูเปอร์มาร์เก็ตในเวียดนามประมาณ 100 แห่ง ภายในปี 2568
ทั้งนี้จุดแข็งของ Aeon มีซูเปอร์มาร์เก็ตอยู่ในห้างสรรพสินค้าหลายแห่งในเวียดนาม โดยมีขนาดประมาณ 300 ตารางเมตร แต่สาขาที่เตรียมจะขยาย Aeon ตั้งใจให้มีขนาดตั้งแต่ 500 ตารางเมตรขึ้นไป ควบคู่กับการสร้างความแตกต่างของกลุ่มผลิตภัณฑ์ที่มีความสดใหม่ และสินค้าสำเร็จรูปที่นำเข้าจากประเทศญี่ปุ่น
รวมถึง Lotte ค้าปลีกยักษ์ใหญ่จากเกาหลีใต้ วางแผนที่จะเปิด Lotte Mart เพิ่มเติมในเวียดนาม จากก่อนหน้านี้ Lotte Group เคยถือว่าจีนเป็นตลาดหลักที่สามรองจากญี่ปุ่นและเกาหลีใต้ แต่เมื่อได้รับผลกระทบด้านภูมิรัฐศาสตร์ในจีน จึงยกให้เวียดนามขึ้นเป็นอันดับ 3 ของการทำตลาด แม้กระทั่ง Truong Hai Auto ผู้ผลิตรถยนต์ชั้นนำของเวียดนาม ก็มีแผนเปิดซูเปอร์มาร์เก็ต 20 แห่ง ภายในปี 2569 ในพื้นที่จำหน่ายรถยนต์และร้านซ่อมเพื่อดึงดูดลูกค้าด้วยเช่นกัน
ปฏิเสธไม่ได้ว่าหลายปีที่ผ่านมาเวียดนามเป็นตลาดที่ยังหอมหวานสำหรับนักลงทุนต่างชาติ และอีกปัจจัยหนึ่งที่กระตุ้นให้ธุรกิจค้าปลีกเข้ามาลงทุนในเวียดนามเป็นเพราะเวียดนามมีศักยภาพทางเศรษฐกิจที่ดี โดยในวันที่ 1 ตุลาคม 2565 เวียดนามประกาศ GDP ไตรมาส 3 เติบโต 13.67% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้านี้ และปัจจุบันประชากรที่อาศัยในนครโฮจิมินห์มีประมาณ 100 ล้านคน
สิ่งที่น่าสนใจสำหรับค้าปลีกทั่วโลกคือในปี 2567 เวียดนามเตรียมยกเลิกการตรวจสอบคุณสมบัติในกรณีที่นักลงทุนต่างชาติที่ต้องการเปิดร้านค้าตั้งแต่ 500 ตารางเมตรขึ้นไป จะต้องได้รับใบอนุญาตจากหน่วยงานต่างๆ โดยได้ทำขึ้นมาเพื่อปกป้องค้าปลีกรายย่อยในประเทศ และดูเหมือนว่าประเทศอื่นๆ ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้กำลังพิจารณายกเลิกกฎระเบียบที่คล้ายคลึงกัน
Olivier Langlet วิเคราะห์ว่า ปัจจุบันร้านค้าสมัยใหม่ที่ไม่ใช่แบบดั้งเดิมนั้นมีเพียง 11% ในเวียดนาม ซึ่งเป็นข้อบ่งชี้ได้ว่ามีอัตราการเติบโตและมีกำไรสูง
ดังนั้นค้าปลีกข้ามชาติจึงต้องพัฒนาและปรับปรุงศูนย์การค้า ควบคู่กับเพิ่มประสบการณ์การช้อปปิ้งให้ทันสมัยขึ้น ในขณะที่ร้านค้าแบบดั้งเดิมจากในอดีตที่เคยครองส่วนแบ่งการตลาดค้าปลีกได้ แต่วันนี้กลับไม่เป็นเช่นเดิม เนื่องจากโควิดทำให้พฤติกรรมผู้บริโภคเปลี่ยนไปหันมาซื้อสินค้าผ่านช่องทางซูเปอร์มาร์เก็ตเพราะมีความสะดวกมากกว่า
ทำให้ Masan Group ค้าปลีกรายใหญ่ในเวียดนามต้องต่อสู้กับการแข่งขันจากคู่แข่งต่างประเทศ โดยได้นำความเชี่ยวชาญการทำตลาดในประเทศตัวเอง พร้อมเร่งเครื่องเปิดสาขาใหม่เพิ่ม 100 แห่ง ในทุกๆ เดือน ปัจจุบัน Masan ดำเนินกิจการซูเปอร์มาร์เก็ตและร้านสะดวกซื้อประมาณ 3,000 แห่ง และตั้งเป้าที่จะเปิดร้านให้ได้ 10,000 แห่ง ภายในปี 2568
Michael Hung Nguyen รองซีอีโอ Masan Group กล่าวว่า คู่แข่งค้าปลีกจำนวนมากให้ความสำคัญกับการขยายซูเปอร์มาร์เก็ตและไฮเปอร์มาร์เก็ตที่มีขนาดใหญ่เกินไป ซึ่งหลังจากเราได้รวบรวมข้อมูลเพื่อช่วยขยายธุรกิจ เรามองว่าคู่แข่งไม่สามารถเปิดให้ได้ตามเป้า 1,000 แห่งต่อปีได้อย่างแน่นอน
ภาพ: Courtesy of Central Group
อ้างอิง: