วันนี้ (8 สิงหาคม) วันชัย สอนศิริ สมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) ตั้งกระทู้ถามสดด้วยวาจาต่อ พล.อ. อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย กรณีเพลิงไหม้สถานบันเทิง Mountain B ที่อำเภอสัตหีบ จังหวัดชลบุรี ว่าเป็นโศกนาฏกรรมรุนแรง กระทบต่อความรู้สึกของประชาชนเป็นจำนวนมากที่มีการสูญเสีย ซึ่งเป็นเรื่องที่เคยเกิดขึ้นมาแล้วเมื่อปี 2552 คือที่ซานติก้าผับ ซึ่งเมื่อเกิดเรื่องแล้วหน่วยงานและบุคคลที่เกี่ยวข้องจึงเกิดการตื่นตัว เช่น ที่กรุงเทพมหานคร ที่สั่งตรวจผับและบาร์ เสมือนวัวหายล้อมคอก หรือไฟไหม้ฟาง ซึ่งล้วนแล้วเกี่ยวข้องกับกระทรวงมหาดไทย เนื่องจากการกำกับดูแลและการเข้มงวดกวดขันเป็นหน้าที่และระเบียบของข้าราชการฝ่ายปกครองที่อยู่ในการกำกับของกระทรวงมหาดไทย
หากข้าราชการเอาจริงเอาจังและเข้มงวดตั้งแต่การขออนุญาต กรณีเช่นนี้คงไม่เกิด ทั้งหมดเกิดขึ้นจากการปล่อยปละละเลยและเพิกเฉยทั้งสิ้น โดยประชาชนต่างทราบกันโดยตลอดว่าการคอร์รัปชันมีส่วนสำคัญที่ทำให้เกิดเหตุเช่นนี้ เนื่องจากการขออนุญาตเปิดผับ บาร์ และสถานบริการต่างๆ เป็นไปด้วยความยุ่งยาก ซับซ้อน ซึ่งรวมถึงการต่อเติมและดัดแปลง ชาวบ้านทั่วไปต่างทราบดีว่าต้องมาจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ไม่ว่าจะเป็นองค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.) เทศบาล อำเภอ หรือจังหวัด กรมโยธาธิการและผังเมือง หากมีการจ่ายเงินทุกอย่างจะราบรื่นและเรียบร้อย หากเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องทำหน้าที่ในการตรวจตราและกำกับระหว่างกลางน้ำก็จะไม่เกิดเหตุเช่นนี้ ดังนั้นจะไม่เกี่ยวข้องกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยจึงเป็นไปไม่ได้
วันชัยกล่าวว่า ตนในฐานะผู้แทนของพี่น้องประชาชน จึงขอเรียนถามรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยว่า กรณีที่เกิดขึ้นที่ Mountain B ได้มีการสั่งดำเนินการจัดการอย่างไร ไม่ว่าจะเป็นผู้ที่เกี่ยวข้องในการกำกับดูแล และผู้ประกอบการ ซึ่งรวมถึงผู้ที่ได้รับผลกระทบ ว่ามีการตรวจสอบแล้วหรือไม่ว่าเป็นไปตามกฎหมายและระเบียบบังคับ และในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยจะดำเนินการต่อสถานบริการที่มีทั่วประเทศอย่างไร และในอนาคตเรื่องการขอใบอนุญาต การกำกับดูแล ทางกระทรวงมหาดไทยจะมีความเข้มงวดต่อฝ่ายปกครองโดยตรงอย่างไร
ด้าน พล.อ. อนุพงษ์ ตอบกระทู้ถามสดด้วยวาจาของวันชัย ว่าตนได้สั่งการให้หน่วยงานภายใต้กำกับทุกส่วนทำงานตามหน้าที่ และยึดประชาชนเป็นหลัก ยืนยันว่าการสั่งงานภายในกระทรวงมหาดไทยไม่มีการสั่งงานเป็นเฉพาะเรื่องๆ แต่เป็นการสั่งงานในทุกส่วนอย่างครบถ้วน ซึ่งสิ่งที่เกิดขึ้นจะต้องมาวิเคราะห์ว่าเกิดขึ้นอย่างไร และจะหาทางทำอย่างไร ตามหลักธรรมาภิบาลที่มีทั้งเรื่องของความโปร่งใส และเรื่องของผลประโยชน์ตนก็ไม่เคยมี ยืนยันว่าไม่มีพวกพ้อง โปร่งใส มีความรับผิดชอบ และทำตามหลักของกฎหมาย
สำหรับกรณี Mountain B นั้นจะต้องมาย้อนดูว่าเกิดขึ้นได้อย่างไร เริ่มจากขั้นตอนการขอใบอนุญาต ที่มีการขออนุญาตจากท้องถิ่น ซึ่งไม่ได้อยู่ในการกำกับของตนโดยตรง ตนบังคับบัญชาปลัดกระทรวงมหาดไทย และจากนั้นเป็นการบังคับไปยังผู้ว่าราชการจังหวัด นายอำเภอ และหน่วยงานปกครองต่อไป ผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นผู้กำกับท้องถิ่น และตนกำกับเพียงกรุงเทพมหานครที่เดียว ซึ่งจะเห็นว่าที่ผ่านมาทั้งหมด ชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ก็ไม่ได้รายงานในสิ่งที่ทำทั้งหมดแก่ตน เช่นเดียวกับท้องถิ่นที่ต้องทำงานโดยสุจริตตามขั้นตอน
สำหรับการขอใบอนุญาตประกอบการของ Mountain B เป็นการขออนุญาตจากท้องถิ่น เพื่อเปิดเป็นสถานประกอบการร้านอาหาร แต่ท้ายที่สุดเมื่อขออนุญาตแล้ว จากสถานประกอบการร้านอาหารกลายเป็นผับดังกล่าว ดังนั้นผู้ดำเนินการจึงเจตนาจงใจที่จะทำให้เป็นเช่นนี้ เนื่องจากพื้นที่ก่อสร้างดังกล่าวอยู่นอกเขตโซนนิ่ง ไม่สามารถขออนุญาตเปิดเป็นสถานบันเทิงได้ สำหรับเจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครองขั้นต้นเมื่อพิจารณากฎหมายที่เกี่ยวข้อง เช่น กฎหมายบริหารราชการแผ่นดิน กฎหมายปกครองท้องที่ หรือประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา พิจารณาแล้วต้องรับผิดชอบตามกฎหมาย
ทั้งนี้ เมื่อเกิดเหตุดังกล่าว ตนได้สั่งการไปยังปลัดกระทรวงมหาดไทยให้พิจารณาในส่วนของท้องถิ่นก่อนว่าได้มีการดำเนินอย่างไร ตนจึงเสนอแนะให้นายอำเภอเป็นผู้รับผิดชอบพื้นที่ ทางกรมการปกครองจึงสั่งยัายนายอำเภอออกจากพื้นที่ และดำเนินการตั้งกรรมการสอบสวนว่าได้ดำเนินการอย่างไรต่อข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้น ซึ่งหากไม่ทำตามอำนาจหน้าที่ หากจำเป็นที่จะต้องดำเนินการถอดถอนให้พ้นจากการปฏิบัติหน้าที่ ก็ต้องทำ
“ได้ดำเนินการเพื่อหาผู้กระทำผิด ไม่ปล่อยปละละเลย แต่การสั่งการไม่ใช่สั่งแบบวันนี้ดูเรื่องนี้ ไม่ใช่ สั่งโดยภาพรวมว่าทุกคนต้องทำตามหน้าที่” พล.อ. อนุพงษ์กล่าว
นอกจากนั้นได้ส่งหนังสือเวียนไปทั่วประเทศ เพื่อให้ทุกหน่วยงานกวดขันไม่ให้เกิดกรณีการใช้อาคารผิดประเภท และประกอบกิจการโดยไม่ได้รับอนุญาตแล้ว
ซึ่งหากถามว่ากรณีดังกล่าวเกิดขึ้นได้อย่างไรนั้น จากการพิจารณาสันนิษฐานในส่วนของเจ้าหน้าที่อาจเข้าข่าย 3 สถาน ดังนี้
- หากมีเจตนาทำผิดนั้น มีเรื่องการคอร์รัปชัน ส่วนได้ส่วนเสีย หรือปล่อยให้กระทำผิดอย่างใดอย่างหนึ่งหรือไม่
- การปล่อยปละละเลย ซึ่งอาจไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องของผลประโยชน์
- การไม่เข้มงวดกวดขัน เป็นต้น
ซึ่งจาก 3 ข้อสันนิษฐานนี้ จะต้องมาพิสูจน์กันต่อไปว่าเข้าข่ายการกระทำความผิดในข้อใด
