สำหรับผู้บริหารระดับสูงการที่คิดว่าการมีบัญชี Twitter เป็นเพียงแค่ทางเลือก พวกเขาอาจต้องคิดใหม่ เพราะผลสำรวจล่าสุดชี้ว่า เหล่าพนักงานชอบที่จะให้ ‘ซีอีโอ’ ของตัวเองนั้นมีตัวตนบนโซเชียลมีเดีย
สำรวจของ Brunswick Group พบว่า พนักงานชอบทำงานให้กับผู้นำธุรกิจที่ใช้งานโซเชียลมีเดียในอัตราส่วน 4 ต่อ 1 เนื่องจากมองว่าผู้บริหารที่ออกมาพูดทางออนไลน์นั้นโปร่งใสและเข้าถึงได้ง่ายกว่า
ไม่แปลกหากแพลตฟอร์มอย่าง Twitter และ LinkedIn ได้กลายเป็นช่องทางให้ผู้บริหารระดับสูงในการสื่อสารโดยตรงกับพนักงาน นักลงทุน และสาธารณชนมากขึ้นเรื่อยๆ
ข่าวที่เกี่ยวข้อง:
ตัวอย่างที่ชัดเจนที่สุดคือ ‘อีลอน มัสก์’ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของ Tesla ที่ได้ใช้ Twitter เป็นกระบอกเสียงในช่วงหลายปีที่ผ่านมา และหลายครั้งเป็นการประกาศเรื่องใหญ่ๆ ด้วย หรือ อแมนดา บลังก์ ซีอีโอของ Aviva บริษัทประกันภัยข้ามชาติสัญชาติอังกฤษที่มีลูกค้ากว่า 18 ล้านคน กล่าวถึงความคิดเห็นเกี่ยวกับผู้หญิงที่เธอได้รับระหว่างการประชุมผู้ถือหุ้นในโพสต์บน LinkedIn
ผลสำรวจนี้ได้วัดผลจากพนักงาน 3,600 คนและผู้ที่อ่านข่าวทางการเงินมากกว่า 2,800 คน ข้อมูลพบว่า พนักงานประมาณ 82% จะหาข้อมูลสถานะออนไลน์ของซีอีโอ เมื่อพิจารณาเข้าร่วมบริษัทและพนักงานเกือบ 80% และผู้อ่านข่าวการเงินมากกว่า 90% คาดหวังให้ผู้นำสื่อสารบนโซเชียลมีเดียเมื่อเกิดวิกฤต
พนักงานและนักอ่านด้านการเงินเกือบ 90% ใช้โซเชียลมีเดียทุกเดือน เทียบกับเพียง 70% ที่ใช้แหล่งสื่อแบบดั้งเดิม แต่นี่เพิ่มทั้งความสำคัญและความเสี่ยงของแพลตฟอร์มเหล่านี้
Arvind Malhotra ศาสตราจารย์ด้านกลยุทธ์และการเป็นผู้ประกอบการของ University of North Carolina Kenan ให้สัมภาษณ์ว่า ผู้บริหารสามารถเน้นสิ่งที่พวกเขาต้องการและควบคุมการเล่าเรื่องเกี่ยวกับบริษัทของตนแบบเรียลไทม์ได้
กระนั้นมีโอกาสเสมอที่จะมีคนที่ไม่เห็นด้วยหรือผู้ที่ใช้แพลตฟอร์มเพื่อแสดงความคับข้องใจ และแม้ว่าการตอบสนองจะเป็นเชิงลบ ผู้บริหารที่ตอบสนองอย่างตรงไปตรงมาอาจยังคงได้รับการสนับสนุนมากกว่าถูกมองเป็นเชิงลบ
“แต่สิ่งนี้ต้องการรูปแบบการสื่อสารที่แตกต่างอย่างมากจากจดหมายถึงผู้ถือหุ้นในรายงานประจำปี คุณต้องแสดงความเป็นตัวเองออกมา หากไม่ใช่ตัวตนจริงๆ นั้นอาจเป็นผลเสียมากกว่า”
อ้างอิง: