สุทธิชัย หยุ่น ประกาศอำลาเครือเนชั่น ภูมิใจทำหน้าที่กว่า 40 ปีจนถึงวันเกษียณ ตั้งใจเขียนหนังสือ หันทำดิจิทัลคอนเทนต์
“ผมเป็นพนักงานหมายเลข 1 ของเครือเนชั่น เป็นคนแรกมาจนถึงทุกวันนี้ก็ 47 ปีแล้ว”
สุทธิชัย หยุ่น ผู้ร่วมก่อตั้งเครือเนชั่น สื่อยักษ์ใหญ่ครบวงจรแถลงผ่านงานเลี้ยงอำลาของตน โดยเล่าถึงการทำงานกว่า 4 ทศวรรษของเครือเนชั่นที่ผลิตคนข่าวคุณภาพจำนวนมากสู่วงการสื่อสารมวลชนไทย ผ่านอุปสรรคจากวิกฤตการณ์หลายครั้งรวมถึงความยากลำบากในช่วงที่มีความเห็นแตกต่างกับทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีในช่วงที่บริหารประเทศ ซึ่งมีผลกระทบกับการทำธุรกิจครั้งใหญ่
“เราทำงานที่นี่ เรามีเสรีภาพ ไม่มีใครมาสั่งเราให้เขียนหรือไม่เขียน รายงานหรือไม่รายงานได้ จิตวิญญาณของเราคือ ไม่มีใครมาสั่งให้เราทำสิ่งที่ไม่ถูกต้องต่อจริยธรรมได้”
สุทธิชัยเล่าให้ฟังตั้งแต่จุดเริ่มต้นจากการทำหนังสือพิมพ์ภาษาอังกฤษ The Nation เรื่อยมาจนถึงจุดเปลี่ยนสำคัญที่นำเสนอข่าวโทรทัศน์ช่วงสงครามอ่าวเปอร์เซีย การบุกเบิกไอทีวี จนถึงอาณาจักรของเครือเนชั่นที่ผลิตสื่อครบวงจร สิ่งที่เป็นความภูมิใจคือการสร้างสิ่งใหม่ๆ ให้กับวงการข่าว ตั้งแต่การใช้กล้องดิจิทัล อีเมลสำหรับส่งข่าว การผลักดันนักข่าวให้ใช้บล็อกข่าว หรือกระทั่งการใช้โดรนในการถ่ายภาพก็ตาม
“เมื่อ 10 ปีก่อน ผมเคยบอกในที่ประชุมกับทีมว่า เราต้องปรับตัวให้ทันกับเทคโนโลยี ถ้าฝ่ายข่าว ฝ่ายขายไม่ปรับตัวอย่างรวดเร็ว ไม่ยอมคิดใหม่ ไม่เปลี่ยนแปลงจากวิธีเดิมๆ วันหนึ่งจะถึงวิกฤตที่วงการนี้จะต้องเลย์ออฟคน เจอกับอุตสาหกรรมสื่อต้องลดคนและสลายหายไปไม่น้อย”
นอกจากนี้ยังขยายความประโยคคลาสสิก ‘ผิดจากนี้ไม่ใช่เรา’ ที่สังคมวิพากษ์วิจารณ์ตลอดมาด้วย
“คำว่า ‘ผิดจากนี้ไม่ใช่เรา’ มีหลายคนเอาไปล้อเลียนด้วยความหมั่นไส้ว่า เอ็งเก่งกว่าคนอื่นนักหรือ ความจริงประโยคนี้คือคำสัญญาที่เรามีต่อประชาชน เพราะเราเป็นสื่อมวลชน เรามีสิทธิพิเศษมากกว่าคนอื่น สังคมจึงคาดหวังเรามากกว่าคนทั่วไป”
สำหรับก้าวต่อไปหลังจากอำลาเครือเนชั่น สุทธิชัย หยุ่นบอกว่าจะยังอยู่ที่เครือเนชั่นจนถึงวันที่ 5 มีนาคม 2561 และจะยังเขียนคอลัมน์ ‘กาแฟดำ’ ในหนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจและจัดรายการโทรทัศน์ผ่านช่อง Nation TV จนถึง 28 กุมภาพันธ์นี้ ยังคงติดตามข่าวสารและมีบทบาทผ่านแพลตฟอร์มและเทคโนโลยีใหม่ นอกจากนี้ตั้งใจจะเขียนหนังสือเพื่อถ่ายทอดบทเรียนให้กับคนรุ่นใหม่ และปัจจุบันก้ยังมีบทบาทของคณะกรรมการปฏิรูประเทศด้านสื่ออยู่
นี่จึงเป็นสัญญะสำคัญของจุดเปลี่ยนวงการสื่อไทย ที่ต้องเผชิญการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา สะท้อนสัจธรรม ‘เกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป’ ได้อย่างดี
