×

เอชไอวี หายขาดได้? ความหวังจากกรณี ‘ผู้ป่วยนิวยอร์ก’

21.02.2022
  • LOADING...
HIV

โรคติดเชื้อไวรัสเอชไอวีไม่สามารถรักษาให้หายขาด แต่สามารถรักษาให้ร่างกายแข็งแรงได้ คำกล่าวนี้อาจไม่จริงเสมอไป 

 

เพราะสัปดาห์ที่ผ่านมามีข่าว ‘ผู้ป่วยนิวยอร์ก’ (New York Patient) เป็นผู้หญิงรายแรกที่อาจหายขาดจากโรคนี้ โดยเธอป่วยเป็นมะเร็งเลือดขาวหลังจากติดเชื้อ จึงได้รับการปลูกถ่ายเลือดจากสายสะดือรก ต่อมาสามารถหยุดยาต้านไวรัส และตรวจไม่พบการติดเชื้อไวรัสมา 1 ปี

 

นับเป็นผู้ติดเชื้อรายที่ 3 ของโลกต่อจาก ‘ผู้ป่วยเบอร์ลิน’ (Berlin Patient) ในปี 2008 และ ‘ผู้ป่วยลอนดอน’ (London Patient) ในปี 2019 เป็นความก้าวหน้าในการรักษาโรคติดเชื้อไวรัสเอชไอวีที่ระบาดมาตั้งแต่ทศวรรษ 1980 หรือ 50 ปีที่ผ่านมา 

 

ปัจจุบันมีผู้ติดเชื้อประมาณ 38 ล้านคนทั่วโลก ถึงแม้จะสามารถรักษาให้ร่างกายแข็งแรงเหมือนคนทั่วไป แต่ยังต้องรับประทานยาต้านไวรัสไปตลอดชีวิต

 

ผู้ป่วยนิวยอร์กเป็นความหวังสำหรับผู้ติดเชื้อรายอื่นมากน้อยแค่ไหน

 

ไทม์ไลน์ของผู้ป่วยนิวยอร์ก

ข่าวความก้าวหน้าครั้งสำคัญนี้มาจากงานประชุมเกี่ยวกับโรคติดเชื้อไวรัสเอชไอวีและเชื้อฉวยโอกาส (Conference on Retroviruses and Opportunitistic Infections: CROI) ที่เมืองเดนเวอร์ รัฐโคโลราโด สหรัฐอเมริกา เมื่อวันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2022 นักวิทยาศาสตร์ระบุว่า ผู้ป่วยหญิงวัยกลางคนรายหนึ่งได้รับการรักษาที่โรงพยาบาล Weill Cornell Medicine รัฐนิวยอร์ก จนตรวจไม่พบการติดเชื้อ

 

เนื่องจากต้องการปกปิดชื่อเพื่อความเป็นส่วนตัว เธอจึงถูกเรียกว่า ‘ผู้ป่วยนิวยอร์ก’ ตามชื่อเมืองที่รักษาเหมือนกับผู้ป่วยที่รักษาหายก่อนหน้านี้ (แต่มักเปิดเผยชื่อในภายหลัง)

 

มิถุนายน 2013 ได้รับการวินิจฉัยว่าติดเชื้อไวรัสเอชไอวี และรับประทานยาต้านไวรัสจนสามารถกดปริมาณไวรัสให้อยู่ในระดับต่ำ

 

มีนาคม 2017 ได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นมะเร็งเม็ดเลือดขาวชนิด AML (Acute myelogenous leukemia)

 

สิงหาคม 2017 ได้รับการปลูกถ่ายเลือดจากสายสะดือรก (Cord blood transplant) จากผู้บริจาคที่มียีนต้านการติดเชื้อไวรัสเอชไอวี เธอใช้เวลารักษาตัวในโรงพยาบาลเพียง 17 วัน โดยไม่มีภาวะเซลล์ของผู้บริจาคทำปฏิกิริยาต่อเซลล์ผู้ป่วย (Graft versus host disease) ซึ่งมักเป็นภาวะแทรกซ้อนที่สำคัญหลังจากการปลูกถ่าย 

 

ทั้งนี้ในระหว่างรอการปลูกถ่ายสำเร็จ 6 สัปดาห์ เธอยังได้รับเซลล์ต้นกำเนิดเม็ดเลือด (Blood stem cell) จากญาติสายตรง 

 

Dr. Marshall Glesby ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคติดเชื้อในการวิจัยครั้งนี้ อธิบายว่าเซลล์เม็ดเลือดจากญาติ ซึ่งมีความเข้ากันได้ครึ่งหนึ่ง ช่วยพยุงระบบภูมิคุ้มกันจนกระทั่งเซลล์ต้นกำเนิดจากสายสะดือทำงานได้เต็มที่ ทำให้การปลูกถ่ายมีความปลอดภัยมากขึ้น

 

กันยายน 2020 ผู้ป่วยตัดสินใจหยุดยาต้านไวรัสหลังจากปลูกถ่ายเลือด 37 เดือน และปัจจุบันเป็นระยะเวลา 14 เดือนที่เธอตรวจไม่พบการติดเชื้อไวรัสเอชไอวี รวมถึงตรวจไม่พบภูมิคุ้มกันต่อไวรัสด้วย นับเป็นผู้ติดเชื้อรายที่ 3 ของโลกที่สามารถรักษาโรคนี้ให้หายขาดได้

 

ทำไมถึงรักษาหายขาดได้

ความเหมือนกันระหว่างผู้ป่วยนิวยอร์กและอีก 2 รายก่อนหน้า คือ เป็นผู้ติดเชื้อไวรัสเอชไอวีที่ป่วยเป็นโรคมะเร็งเกี่ยวกับระบบเลือด (ผู้ป่วยเบอร์ลินเป็นมะเร็งเม็ดเลือดขาวชนิด AML เหมือนกัน ส่วนผู้ป่วยลอนดอนเป็นมะเร็งต่อมน้ำเหลือง) จึงจำเป็นต้องรักษาด้วยการปลูกถ่ายเซลล์ต้นกำเนิดเม็ดเลือด 

 

ซึ่งเปรียบเสมือนการรื้อ ‘โรงงานผลิตเม็ดเลือด’ เดิมทิ้ง แล้วสร้างขึ้นมาใหม่ทั้งหมด

 

ผู้ป่วยจะได้รับยาเคมีบำบัดเพื่อกำจัดเซลล์มะเร็งและเซลล์เม็ดเลือดทุกชนิดในไขกระดูก จากนั้นจะได้รับเซลล์ต้นกำเนิดเม็ดเลือดทางหลอดเลือดดำ พร้อมกับยากดภูมิคุ้มกัน เพื่อให้เซลล์ผู้ป่วยยอมรับเซลล์ของผู้บริจาคเข้ามาในไขกระดูกโดยไม่ต่อต้าน ระหว่างนี้ผู้ป่วยจะมีระดับภูมิคุ้มกันต่ำมากและเสี่ยงต่อการติดเชื้อฉวยโอกาส แต่โดยปกติโรงงานใหม่จะเริ่มผลิตเม็ดเลือดได้เต็มที่ภายใน 2-3 สัปดาห์

 

ในขณะที่ไวรัสเอชไอวีมีเป้าหมายหลักเป็นเซลล์เม็ดเลือดขาวชนิด CD4 ถึงแม้ผู้ติดเชื้อจะรับประทานยาต้านไวรัสจนตรวจไม่พบไวรัสในเลือด และมีระดับ CD4 อยู่ในเกณฑ์ปกติ ไวรัสจะยังแฝงอยู่ในเม็ดเลือดขาวหรือระบบต่อมน้ำเหลืองในร่างกาย หากหยุดยาต้านไวรัส ไวรัสก็จะกลับมาเพิ่มจำนวนอีกครั้ง 

 

ตรงกันข้ามในการปลูกถ่ายเซลล์ต้นกำเนิด เซลล์เม็ดเลือดทุกชนิดจะถูกทำลาย รวมถึงเซลล์ที่ติดเชื้อไวรัสเอชไอวีแฝงอยู่ วิธีนี้จึงเป็นปัจจัยหนึ่งของการรักษาโรคนี้ให้หายขาด 

 

แต่จะต้องมีอีกหนึ่งปัจจัยร่วมด้วย นั่นคือ ผู้บริจาคเซลล์ต้นกำเนิดต้องมียีนต้านการติดเชื้อไวรัสเอชไอวีด้วย หรือการกลายพันธุ์ที่เรียกว่า CCR5-delta 32  

 

โดย CCR5 เป็นโปรตีนตัวรับ (Receptor) บนผิวเซลล์เม็ดเลือดขาว เปรียบเสมือน ‘แม่กุญแจ’ ที่คล้องประตูรั้วอยู่ ส่วนไวรัสมี ‘ลูกกุญแจ’ ที่สามารถไขเปิดเข้ามาได้ เมื่อมีการกลายพันธุ์ทำให้ไวรัสเปิดประตูไม่ได้ ผู้มียีนนี้จึงสามารถต้านการติดเชื้อได้นั่นเอง ซึ่งในผู้บริจาค 20,000 คน จะพบเพียงคนเดียวเท่านั้น ส่วนใหญ่เป็นผู้ที่อาศัยอยู่ทางตอนเหนือของยุโรป

 

เมื่อโรงงานเก่าซึ่งมีไวรัสเอชไอวีแฝงอยู่ถูกทำลาย ส่วนโรงงานใหม่มีประตูที่ไวรัสเอชไอวีไขเปิดเข้ามาไม่ได้ ผู้ป่วยจึงสามารถหายขาดจากโรคนี้ได้ 

 

นอกจากนี้ยังมีสมมติฐานว่าภาวะ Graft versus host disease ซึ่งเป็นภาวะแทรกซ้อนที่พบบ่อยหลังจากปลูกถ่าย อาจเป็นอีกปัจจัยหนึ่งในการทำลายเซลล์เม็ดเลือดขาวที่ติดเชื้อ โดยเซลล์เม็ดเลือดขาวจากโรงงานใหม่เห็นเซลล์เก่าเป็นสิ่งแปลกปลอมจึงถูกจับกินในที่สุด แต่เนื่องจากผู้ป่วยนิวยอร์กไม่พบภาวะแทรกซ้อนนี้ สมมติฐานนี้จึงอาจตกไป

 

ส่วนการใช้เลือดจากสายสะดือรกก็อาจเป็นอีกปัจจัยหนึ่งของความสำเร็จในครั้งนี้ ทว่ายังไม่มีความชัดเจนว่าทำไมเซลล์จากสายสะดือรกถึงทำงานได้ดี 

 

Dr. Koen Van Besien หัวหน้าโครงการปลูกถ่าย โรงพยาบาล Weill Cornell Medicine กล่าวว่า เซลล์จากสายสะดือรกน่าจะมีองค์ประกอบนอกเหนือจากเซลล์ต้นกำเนิดอื่นที่ช่วยในการปลูกถ่าย โดยมีความสามารถในการปรับตัวต่อสิ่งแวดล้อมใหม่มากกว่า

 

ความหวังของผู้ติดเชื้อเอชไอวีทั่วโลก

ข่าวผู้ป่วยนิวยอร์กน่าจะเป็นความหวังของผู้ติดเชื้อไวรัสเอชไอวีทั่วโลก เพราะเดิมโรคนี้รักษาไม่หายขาด ต้องรับประทานยาต้านไวรัสไปตลอดชีวิต ประกอบกับ “ความจริงที่ว่าผู้ป่วยเป็นลูกครึ่งและเป็นผู้หญิงรายแรกที่รักษาหาย ทำให้มีความสำคัญในทางวิทยาศาสตร์และการขยายผลการวิจัยในวงกว้าง” Dr. Steven Deeks ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคเอดส์ มหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนียกล่าว

 

แต่การรักษาด้วยการปลูกถ่ายเซลล์ต้นกำเนิดเม็ดเลือดไม่ใช่ทางเลือกสำหรับคนส่วนใหญ่ เพราะเป็นวิธีการรักษาที่มีความเสี่ยงสูง และมักจะใช้ในการรักษาผู้ป่วยมะเร็งที่ไม่สามารถรักษาด้วยวิธีอื่นได้แล้ว 

 

หากจำเป็นต้องใช้วิธีนี้ จะต้องมีผู้บริจาคเซลล์ต้นกำเนิด ต้องตรวจสอบความเข้ากันได้ของโปรตีนบนผิวเซลล์ระหว่างผู้บริจาคกับผู้ป่วย และอาศัยทีมบุคลากรทางการแพทย์หลายสาขาเข้ามาดูแล

 

อย่างไรก็ตามกรณีของผู้ป่วยนิวยอร์กทำให้แพทย์และนักวิทยาศาสตร์เข้าใจการติดเชื้อไวรัสเอชไอวีมากขึ้น โดยเฉพาะการปลูกถ่ายเซลล์ต้นกำเนิดจากผู้บริจาคที่มียีน CCR5-delta 32 ซึ่งต้านการติดเชื้อไวรัสนี้ และมนุษย์ก็เข้าใกล้การรักษาโรคนี้ให้หายขาดอีกก้าวใหญ่ก้าวหนึ่ง

 

อ้างอิง:

  • LOADING...

READ MORE




Latest Stories

Close Advertising
X