30 พฤศจิกายน 2564 เป็นวันแรกที่ ‘เซ็นทรัล อยุธยา’ ศูนย์การค้าแห่งที่ 35 ของบริษัท เซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน) หรือ CPN ได้เปิดอย่างเป็นทางการ
เซ็นทรัล อยุธยา เป็นโครงการมิกซ์ยูสมูลค่ากว่า 6.2 พันล้านบาท มีพื้นที่โครงการ 68,000 ตร.ม. บนพื้นที่ขนาด 47 ไร่ ประกอบไปด้วยศูนย์การค้า 4 ชั้น รวม 400 ร้านค้า, คอนโดมิเนียมติดศูนย์การค้า ‘เอสเซ็นท์ วิลล์ อยุธยา’ 396 ยูนิต, โรงแรม 220 ยูนิต, คอนเวนชันฮอลล์ 2,000 ตร.ม. รองรับได้กว่า 2,000 คน และ Cultural Space (พร้อมเปิดให้บริการไตรมาส 4Q65)
สำหรับศูนย์การค้า “เราตั้งเป้าที่จะมีทราฟฟิกวันละประมาณ 20,000-30,000 คน” ดร.ณัฐกิตติ์ ตั้งพูลสินธนา ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานการตลาด บมจ.เซ็นทรัลพัฒนา กล่าว
ดร. ณัฐกิตติ์ระบุว่า เซ็นทรัล อยุธยา จะเป็นโปรเจกต์นำร่องที่ชัดเจนในด้านการยกระดับ Local Tourism โดยจะมีการเชื่อมโยงธุรกิจท่องเที่ยวและบริการทั้ง Value Chain การท่องเที่ยวที่ครบวงจร ตลอดจนจับมือภาครัฐ Integrate ข้อมูลท่องเที่ยว และร่วมกับสตาร์ทอัพรุ่นใหม่ทำโปรแกรมท่องเที่ยวที่จะช่วยเข้าถึงชุมชนต่างๆ รวมทั้งดึงของดีผลิตภัณฑ์ OTOP 16 อำเภอ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา มารวมไว้ที่เซ็นทรัล อยุธยา
“สำหรับช่วง 4Q64 ต่อเนื่องปี 2565 มองว่าเศรษฐกิจและการท่องเที่ยวกำลังรอจังหวะกลับมารีบาวด์กระเตื้องขึ้นอีกครั้ง ซึ่งเราจำเป็นต้องวางโรดแมปและกำหนดเป้าหมายที่ชัดเจน โอกาสของประเทศไทยในตอนนี้คือเมื่อนักท่องเที่ยวเริ่มกลับมา ซึ่งส่วนใหญ่เป็น Quality Tourist และรูปแบบการท่องเที่ยวจะเป็น Longer Stay อยู่นานขึ้น และ Spending มากขึ้น ดังนั้น เราจึงสร้างแพลตฟอร์มที่จะช่วยกระจายเม็ดเงินตรงนี้ให้เข้าถึงชุมชนและทุกคนใน Ecosystem อย่างทั่วถึงมากขึ้น”
ขณะเดียวกัน นอกจากเปิดศูนย์การค้าแล้ว CPN ยังได้เปิดขายคอนโดมิเนียมติดศูนย์การค้า ‘เอสเซ็นท์ วิลล์ อยุธยา’ อีกด้วย
โครงการดังกล่าวจับกลุ่มเซกเมนต์หม่ Ayutthaya Elite (80%) และต่างชาติ (ญี่ปุ่น 20%) โดยเป็นคอนโดมิเนียมไฮไรส์ที่สูงที่สุดในอยุธยา มี 14 ชั้น 396 ยูนิต ขนาด 1 ห้องนอน 28-32 ตร.ม. เริ่ม 1.9 ล้านบาท และขนาด 2 ห้องนอน 55 ตร.ม. เริ่ม 3.7 ล้านบาท
ร.อ. กรี เดชชัย ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ ฝ่ายพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัย บมจ. เซ็นทรัลพัฒนา กล่าวว่า โครงการเอสเซ็นท์ วิลล์ อยุธยา เป็นโครงการที่ 20 ซึ่งถือเป็นแบรนด์หัวหอกในการรุกตลาดอสังหาริมทรัพย์ในต่างจังหวัดมาโดยตลอด และได้รับผลตอบรับที่ดีอย่างมาก โดยจาก 12 โครงการ ใน 8 จังหวัด Sold out ไปแล้วกว่า 90%
โดยนี่ถือเป็นหนึ่งกลยุทธ์สำคัญในการเดินหน้าปั้นโครงการที่อยู่อาศัยระดับพรีเมียม เพื่อเติบโตไปพร้อมกับมิกซ์ยูสโปรเจกต์และศูนย์การค้าของเซ็นทรัลพัฒนา และการเข้ามายังช่วยเพิ่มมูลค่าที่ดินให้สูงขึ้นประมาณ 20% ในปีนี้ และคาดว่าในอนาคตจะขึ้นอีก 5-10% ภายใน 5 ปี
“ก่อนเกิดโควิดโครงการต่างๆ ของเรา Sold out ภายในระยะเวลา 6 เดือน แต่พอเกิดโควิดระยะเวลาเพิ่มเป็น 1 ปี ซึ่งเราเชื่อว่าเอสเซ็นท์ วิลล์ อยุธยา จะ Sold out ภายใน 1 ปีเช่นกัน โดยโครงการนี้จะเริ่มก่อสร้างต้นปี 2565 และใช้เวลา 2 ปีกว่าจะแล้วเสร็จ”
สำหรับที่อยู่อาศัยถูกพัฒนาโดย ‘บริษัท ซีพีเอ็น เรซซิเด้นซ์ จำกัด’ โดยมี CPN ถือหุ้นอยู่ 100% ร.อ. กรี ระบุว่า ในปี 2565 จะเปิดตัวโครงการใหม่ทั้งหมด 6 โครงการ แบ่งเป็นแนวสูง 4 โครงการ แนบราบ 2 โครงการ ใช้งบลงทุนไม่รวมค่าที่ดิน 3 พันล้านบาท
ปัจจุบันสัดส่วนรายได้นอนรีเทลของ CPN อยู่ที่ 8-9% คาดว่าภายใน 3-5 ปี รายได้ส่วนนี้จะเพิ่มมาเป็น 15%
ช่องทางติดตาม THE STANDARD WEALTH
Twitter: twitter.com/standard_wealth
Instagram: instagram.com/thestandardwealth
Official Line คลิก https://lin.ee/xfPbXUP