คราวก่อนเราไป Cadence ครั้งนี้ถึงเวลาแวะมาที่ร้านข้างๆ กันบ้าง Caper ซึ่งยังคงเป็นร้านของเชฟแดน บาร์ก คนเดิม ผู้อยู่เบื้องหลัง Upstairs Mikkeller จนกระทั่งย้ายทำเลใหม่และเปิด Cadence
โทนร้านเน้นสีแดงและน้ำเงินเป็นหลัก ตัดด้วยสีทองและสีธรรมชาติของไม้ ให้บรรยากาศกึ่งย้อนยุคและมีความแคชวลเป็นกันเอง
สิ่งแรกที่เจอเมื่อเดินเข้าร้านคือบาร์เล็กๆ ที่มีเบบี้มาร์ตินีและซิกเนเจอร์ค็อกเทลชวนนั่งจิบสักนิด ก่อนย้ายเข้าไปบรันช์หรือดินเนอร์
ที่นั่งถูกจัดไว้อย่างเป็นสัดส่วน ทั้งโต๊ะเล็ก โต๊ะใหญ่ รวมถึงมุมโซฟาที่ด้านหลังเป็นวอลเปเปอร์สีสันสดใส แสดงภาพเกี่ยวกับเรื่องของเสียงดนตรี หรือหากใครที่ชอบดูเชฟทำอาหาร โต๊ะข้างครัวเปิดนี่แหละเหมาะสุด
แม้เราจะคุ้นเคยกับเชฟจากสไตล์อาหารแบบไฟน์ไดนิ่ง แต่ที่นี่ เชฟอยากให้ทุกคนสนุกสนานและเป็นกันเองมากขึ้นกว่าเดิม จึงครีเอตเมนูที่สมดุลระหว่างคอมฟอร์ตฟู้ดกับไฟน์ไดนิ่ง มีกลิ่นอายโมเดิร์นอเมริกัน คงความเป็นคอร์สแบบหลวมๆ ไม่บังคับให้ต้องสั่งเทสติ้งเมนูหรือมีลำดับการรับประทานก่อนหลัง และเหมาะสำหรับการสั่งมาแชร์ด้วยกัน
ปกติแล้ว Caper จะเปิดเฉพาะช่วงเย็น แต่ทุกวันเสาร์-อาทิตย์ ตั้งแต่ 11.00-15.00 น. เสิร์ฟเป็นอาหารมื้อสาย ซึ่งเป็นคนละเมนูกับดินเนอร์ปกติ และสามารถสั่งได้เฉพาะช่วงเวลานี้เท่านั้น
ระหว่างที่รอวาฟเฟิล Beet Salad & Duck Confit Croquette (380 บาท) ก็ยกออกมาเสิร์ฟ เมนูเรียกน้ำย่อยที่รวมเอาสลัดและของกินเล่นมาไว้ในจานเดียว บีตรูตสลัดกับคร็อกเก็ตเป็ดกงฟี รองฐานด้วยควินัวผัดโรเมสโกซอส โรยเม็ดมะม่วงหิมพานต์กับชีสนมแพะขูดฝอย
คนชอบเอ้กเบเนดิกต์และความมันเยิ้มของไข่แดงต้องถูกใจสิ่งนี้ Eggs Benedict Waffle (370 บาท) จากเดิมที่รองฐานด้วยมัฟฟินก็เปลี่ยนเป็นวาฟเฟิล ส่วนซอสที่ราดบนไข่ เพิ่มรสชาติด้วยการผสม Aioli กับ Hollandaise ทำให้มีความมันและเค็มกว่าเบสซอสปกติที่รสจะค่อนมาทางเปรี้ยว จากนั้นโรยเบคอนกรอบ มะเขือเทศ และลูกเกดอบแห้ง เจาะไข่แดงแล้วกินให้ครบทุกอย่างในคำเดียว อร่อยชัวร์
ต่อด้วย Cured Salmon Waffle (390 บาท) วาฟเฟิลหน้าแซลมอนรมควันที่ไม่ธรรมดา สีแดงฉ่ำของแซลมอนเกิดจากการนำไปหมักกับบีตรูต ทำให้แซลมอนมีความน่ากินยิ่งกว่าเดิม ตักครีมชีส เคเปอร์ ผักชีลาว กับหอมแดงดอง กินพร้อมสโมกแซลมอนวาฟเฟิล จานเดียวไม่พอแน่นอน
ผ่านวาฟเฟิลไปสองจาน จนมาจานที่สาม แม้จะดูหน้าตาคุ้นๆ ตามประสาวาฟเฟิลกับไก่ทอดแบบที่เคยเห็นกันทั่วไป แต่ทว่ารสชาติไม่ธรรมดา Crispy Fried Chicken Waffle (390 บาท) จับคู่คาว-หวานระหว่างไก่ทอดกับวาฟเฟิล โดยมีเมเปิ้ลไซรัปกับฮอตซอสเป็นตัวประสานรสชาติ ลองราดซอสทีละชนิดแล้วชิมดูก่อน สำหรับเรา ราดซอสทั้งคู่แล้วกินพร้อมกันเลย อย่าลืมกินแตงกวาสลอว์ที่มาคู่กันด้วยล่ะ
เรื่องรสชาติความหวาน-เค็ม อย่าให้มาเป็นตัวกำหนดว่าของหวานจำต้องหวานล้วนเสมอไป ดูอย่าง Banana Bread & Bacon (360 บาท) เชฟแดนตีความเค้กกล้วยหอมรูปแบบใหม่ เนื้อแน่นขึ้น มาแบบอุ่นกำลังดี จับคู่กับเบคอนและไอศกรีม ราดรัมเมเปิ้ลไซรัป กินทุกองค์ประกอบ ตักอย่างละนิดเข้าปาก ให้รสเค็มกับรสหวานตัดกันไปมา นี่แหละขนมที่กินแล้วสนุก แถมยังอร่อยไม่แพ้จานหลักทีเดียว
อย่าไปแคร์ว่าพระอาทิตย์ยังไม่ตกดินแล้วดริงก์ไม่ได้ Chris Simon ผู้ครีเอตค็อกเทลให้กับทั้ง Cadence และ Caper แนะนำให้สั่ง Bloody Mary (380 บาท) อย่าเพิ่งกลัวเพราะว่าใส่มะเขือเทศ เพราะสูตรของที่นี่แจ่มกว่าต้นตำรับเสียอีก เบสเป็นวอดก้า น้ำมะเขือเทศ ผักและผลไม้สิบกว่าชนิด และเครื่องเทศสูตรลับ เชกจนเข้ากัน และให้รสเปรี้ยว หวาน เค็ม ครบครัน
จิบสลับกับกินผักดองเสียบไม้และเบคอนกรอบที่ปักในแก้ว แล้วจะรู้ว่าค็อกเทลรสอร่อยที่มากไปกว่าแค่เปรี้ยวหวาน หวานมัน หรือขมเข้มนั้นมีอยู่จริง
What You Should Know:
- ปกติทางร้านเปิดช่วงเย็น แต่บรันช์เมนูให้บริการเฉพาะช่วงเวลา 11.00-15.00 น. ทุกวันเสาร์-อาทิตย์เท่านั้น
- ร้านข้างกัน Cadence เสิร์ฟเทสติ้งเมนู 12 จาน อ่านรีวิวต่อที่ https://thestandard.co/cadence-chef-dan-bark-upstairs-at-mikkeller/
Caper
Open: วันอังคาร-อาทิตย์ 17.00-00.00 น., บรันช์ เสิร์ฟทุกวันเสาร์-อาทิตย์ 11.00-15.00 น.
Address: 225 ซอยปรีดี พนมยงค์ 25
Budget: 500-1,000 บาท
Contact: 08 3783 4867
Website: www.facebook.com/caperbydanbark
พิสูจน์อักษร: วรรษมล สิงหโกมล