องค์การสนธิสัญญาแอตแลนติกเหนือ (NATO) ระบุในรายงานแผนปฏิรูปที่เตรียมเผยแพร่ในวันนี้ (1 ธันวาคม) ว่า NATO จะต้องคิดให้หนักขึ้นเกี่ยวกับวิธีรับมือการผงาดขึ้นมาของจีน รวมถึงการรับมือกองทัพที่มีขนาดใหญ่และกำลังแผ่ขยายอิทธิพลมากขึ้น แม้ว่ารัสเซียยังคงเป็นคู่ปรับหลักของ NATO ในทศวรรษนี้ก็ตาม
หนึ่งในนักการทูต NATO ที่เห็นรายงานฉบับนี้ระบุว่า จีนไม่ใช่คู่ค้าที่ใจดีอย่างที่ชาติตะวันตกคาดหวังอีกต่อไป แต่เป็นมหาอำนาจที่กำลังผงาดขึ้นมาในศตวรรษนี้ ซึ่ง NATO จำเป็นต้องปรับตัว พร้อมชี้ให้เห็นการขยายอิทธิพลของจีนในบริเวณอาร์กติกและแอฟริกา รวมถึงการลงทุนมหาศาลในโครงสร้างพื้นฐานของยุโรป
รายงานนี้มีชื่อว่า ‘NATO 2030’ ประกอบด้วยข้อเสนอ 138 ข้อ ซึ่งจัดทำขึ้นท่ามกลางความเคลือบแคลงที่เพิ่มขึ้นเกี่ยวกับจุดประสงค์ของการดำรงอยู่ขององค์การพันธมิตรทางทหารดังกล่าว ขณะที่ประธานาธิบดีเอ็มมานูเอล มาครง ของฝรั่งเศส ระบุในปีที่แล้วว่า NATO เป็นองค์การที่ ‘สมองตาย’
นักการทูตเผยว่า ส่วนหนึ่งของรายงานเสนอแนะให้ NATO รักษาความได้เปรียบทางเทคโนโลยีที่มีเหนือจีนต่อไป รวมทั้งปกป้องเครือข่ายคอมพิวเตอร์และโครงสร้างพื้นฐานต่างๆ
ด้าน เยนส์ สโตลเทนเบิร์ก เลขาธิการ NATO แสดงความเห็นเมื่อวานนี้ว่า การผงาดขึ้นมาของจีนเป็น “ความท้าทายที่สำคัญต่อความมั่นคงของเรา” โดยองค์การดังกล่าวประกอบด้วยชาติสมาชิก 30 ประเทศ ซึ่งมีแนวโน้มที่จะกระชับความสัมพันธ์และขยายความร่วมมือในด้านความมั่นคงกับประเทศที่ไม่ใช่สมาชิก NATO มากขึ้น เช่น ออสเตรเลีย โดยจะให้ความสำคัญกับการป้องปรามในอวกาศ ซึ่งเป็นสิ่งที่จีนกำลังพัฒนาขีดความสามารถอย่างต่อเนื่อง
“จีนกำลังลงทุนมหาศาลในอาวุธยุทโธปกรณ์ใหม่ พวกเขาเข้าใกล้เรามากขึ้นเรื่อยๆ จากอาร์กติกถึงแอฟริกา จีนไม่ได้แชร์คุณค่าของเรา และพยายามที่จะข่มขู่ประเทศอื่นๆ” สโตลเทนเบิร์กกล่าวในการแถลงข่าว โดยเรียกร้องให้ชาติพันธมิตรผนึกกำลังกันเพื่อรับมือประเด็นนี้
อย่างไรก็ตาม NATO ยังไม่มีแผนประกาศให้จีนเป็นประเทศปรปักษ์ เพียงแต่เสนอว่า NATO ควรพิจารณารวมจีนเข้าไปในเอกสารยุทธศาสตร์หลักของ NATO ที่ชื่อ ‘Strategic Concept’
โดยรายงานฉบับดังกล่าวจะมีการถกอภิปรายกันโดยรัฐมนตรีต่างประเทศของ NATO ในวันนี้ ก่อนที่จะส่งให้ผู้นำและรัฐบาลของชาติพันธมิตรในปีหน้าต่อไป
พิสูจน์อักษร: พรนภัส ชำนาญค้า
อ้างอิง: