Estée Lauder กลายเป็นบริษัทเครื่องสำอางหรูรายล่าสุดที่ต้องออกมาประกาศ ‘ปลดพนักงาน’ หลังมีผลกำไรที่ลดลง ขณะที่ยอดขายออนไลน์พุ่งสูงขึ้นในช่วงที่มีการระบาดไม่เพียงพอที่จะชดเชยการปิดร้านชั่วคราว
บริษัทที่เป็นเจ้าของแบรนด์หรู เช่น Jo Malone, Clinique, La Mer, Too Faced และ M.A.C กำลังประสบปัญหาในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา เนื่องจากผู้บริโภคได้ปรับตัวให้เข้ากับวิถีชีวิตใหม่จากการทำงานจากที่บ้าน และสั่งซื้อผลิตภัณฑ์บำรุงผิว เช่น ครีมบำรุงรอบดวงตาและมอยส์เจอไรเซอร์มากกว่าการแต่งหน้า
ดังนั้นยอดขายจึงลดลงในทุกกลุ่ม เช่น ยอดขายลิปสติกที่ลดลง เพราะผู้บริโภคมองว่าการสวมหน้ากากอนามัยในที่สาธารณะทำให้ไม่จำเป็นต้องทาลิปสติก ส่วนยอดขายเครื่องสำอาง ผลิตภัณฑ์ดูแลผม และน้ำหอมได้ลดลงเช่นกัน เนื่องจากเคาน์เตอร์ในห้างสรรพสินค้าต้องปิดลง
ในขณะที่ยอดขายออนไลน์พุ่งสูงขึ้นในช่วงที่เกิดการระบาด แต่ก็ไม่ได้ชดเชยการปิดร้านค้าปลีกทั่วโลกชั่วคราวอย่างเต็มที่ Estée Lauder กล่าว นอกจากนี้ยอดขายยังได้รับผลกระทบจากการลดการเดินทางทางอากาศ ซึ่งส่งผลกระทบต่อยอดขายในสนามบิน
สิ่งนี้ทำให้ยอดขายของบริษัท Estée Lauder ลดลง 4% สำหรับปีบัญชีสิ้นสุดวันที่ 30 มิถุนายน เหลือ 1.429 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือ 4.49 แสนล้านบาท และกำไรลดลง 62% เหลือ 684 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือ 2.1 หมื่นล้านบาท เมื่อเทียบกับกำไร 1.79 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือ 5.6 หมื่นล้านบาทในปีที่แล้ว ซึ่งกำไรยังคงลดลงอย่างมาก แม้ว่าบริษัทจะลดค่าใช้จ่ายได้ 800 ล้านดอลลาร์สหรัฐ จากการลดโฆษณา การเดินทาง และการหยุดรับสมัครพนักงานใหม่ไปแล้วก็ตาม
ด้วยเหตุนี้ Estée Lauder จึงประกาศแผนการลดต้นทุนด้วยการปลดพนักงานทั่วโลก 1,500-2,000 คน ซึ่งคิดเป็นสัดส่วนประมาณ 3% ของพนักงานทั้งหมด โดยกลุ่มที่ได้รับผลกระทบหนักคือพนักงานที่อยู่ในห้างสรรพสินค้าและพนักงานที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะในพื้นที่ที่มีการระบาดของโรคโควิด-19 อย่างหนัก ขณะเดียวกันยังวางแผนที่จะเปิดร้านค้าปลีกอีกประมาณ 10-15% รวมถึงปิดเคาน์เตอร์ความงามในห้างสรรพสินค้าบางแห่ง เนื่องจากผู้บริโภคเปลี่ยนไปซื้อสินค้าออนไลน์มากขึ้น
“แบรนด์หรูโดยเฉพาะแบรนด์ที่ต้องพึ่งพาการจัดจำหน่ายในห้างสรรพสินค้ากำลังได้รับความเดือดร้อนอย่างมาก” เดวิด พิลนิก ประธาน Pilnick Associates ที่ปรึกษาระดับโลกสำหรับผู้ค้าปลีกและแบรนด์ความงามและแฟชั่นกล่าว
“แบรนด์เหล่านี้กำลังลงทุนอย่างมากในด้านดิจิทัลและอีคอมเมิร์ซ อย่างไรก็ตาม เนื่องจากยอดขายส่วนใหญ่มาจากห้างสรรพสินค้า พวกเขาจึงได้รับความเดือดร้อนเนื่องจากผู้บริโภคระมัดระวังในการใช้เวลาในห้างสรรพสินค้า เพราะพวกเขาสามารถซื้อแบรนด์เหล่านี้ได้ทางออนไลน์”
Estée Lauder คาดหวังว่าจะช่วยให้บริษัทประหยัดเงินได้ 400 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือ 1.26 หมื่นล้านต่อปี
พิสูจน์อักษร: ภาสิณี เพิ่มพันธุ์พงศ์
อ้างอิง:
- https://www.reuters.com/article/us-estee-lauder-results/estee-lauder-forecasts-profit-below-expectations-to-cut-up-to-2000-jobs-idUSKBN25G15N
- https://www.theguardian.com/business/2020/aug/20/estee-lauder-plans-to-cut-up-to-2000-jobs-globally-profits-dive-coronavirus
- https://www.forbes.com/sites/karenrobinsonjacobs/2020/08/20/estee-lauder-is-latest-luxe-brand-to-cut-staff-as-target-walmart-bulk-up/#8e812ac21fd9
- https://www.bloomberg.com/news/articles/2020-08-20/estee-lauder-to-cut-as-many-as-2-000-jobs-as-covid-hits-sales