สำหรับ SF อีกหนึ่งเครือโรงภาพยนตร์ขนาดใหญ่ของไทย การระบาดของโรคโควิด-19 ถือเป็นวิกฤตที่หนักที่สุดของธุรกิจที่มีอายุครบ 20 ปีในปีนี้พอดี พิมสิริ ทองร่มโพธิ์ ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาด บริษัท เอส เอฟ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) เล่าให้ THE STANDARD ฟังว่า ที่ผ่านมาการปิดสาขามีบ้างสำหรับการปรับปรุง หรือภัยทางธรรมชาติ แต่ไม่เคยปิดพร้อมกันทุกสาขาทั่วประเทศมาก่อน
SF เริ่มเห็นสัญญาณของการระบาดมาตั้งแต่ปลายเดือนมกราคม ช่วงนั้นลูกค้าที่เข้ามาดูยังมีปกติ แต่ช่วงเดือนกุมภาพันธ์สถานการณ์รุนแรงขึ้น ลูกค้าเริ่มลดลง SF เริ่มคุยกันแล้วว่า อาจจะต้องปิดชั่วคราวแต่ยังไม่รู้ว่าต้องปิดนานขนาดไหน จนมาปิดจริงในช่วงวันที่ 18 มีนาคม จนถึงวันที่กลับมาเปิดได้อีกครั้งในวันที่ 1 มิถุนายน SF ปิดไปทั้งสิ้น 75 วันด้วยกัน
“โจทย์ใหญ่ของเราตอนนั้นคือ เราต้องดูแลลูกค้าและพนักงานทุกคนให้ปลอดภัย เราจึงมีมาตรการทุกอย่างรองรับ โชคดีว่าพนักงานของเราไม่ติดโควิด-19 เลยสักคน แสดงว่ามาตรการที่เราทำนั้นได้ผล”
แน่นอนว่าการปิดชั่วคราวทำให้ SF ต้องขาดรายได้ พิมสิริระบุว่า ทางบริษัทไม่มีนโยบายปลดพนักงาน ช่วงนั้น SF สื่อสารออกมาว่า ขอให้ทุกคนสู้ไปพร้อมกัน พนักงานเองเราให้หยุดอยู่กับบ้าน ยกเว้นบางคนที่ต้องมาดูแลที่สาขา ส่วนลูกค้าหากใครจองตั๋วล่วงหน้าก็คืนเงินให้ รวมถึงคนที่มี Voucher เราก็ดูแล
“ตอนนั้นทฤษฎีทุกอย่างต้องล้มไปหมดเลย สิ่งที่เราเจอเป็นเรื่องใหม่มากๆ ที่เราต้องปรับตัวและเรียนรู้ไปพร้อมกัน”
สำหรับการกลับมาเปิดในวันนี้ SF ได้เตรียมมาตรรักษาความปลอดภัยต่างๆ ทั้งพนักงานต้องสวมหน้ากาก ที่นั่งเองมีการเว้นที่ ซึ่งโดยรวมแล้วลดเหลือที่นั่งเพียง 25% จากช่วงเวลาปกติ แต่พิมสิริยืนยันว่า ราคาตั๋วที่ขายก็จะเป็นราคาเดิม ส่วนหนังบางเรื่องอาจจะต้องยืนระยะฉายนานขึ้น
ขณะเดียวกันการเกิดขึ้นของโควิด-19 จะทำให้ SF สามารถชวนลูกค้าหันไปทำธุรกรรมต่างๆ บนมือถือได้ง่ายขึ้น เพราะวันนี้ลูกค้ากังวลที่จะต้องจับสิ่งต่างๆ การซื้อตั๋ว จ่ายเงิน ทำได้บนมือถือ ก็จะทำให้เกิดความสะดวกต่อลูกค้า ซึ่งการมุ่งไปที่ช่องทางออนไลน์เป็นกลยุทธ์หลักที่ SF จะทำในปีนี้อยู่แล้ว โดยตั้งเป้าว่า 80% ของการซื้อตั๋วจะมาจากช่องทางออนไลน์
พิมสิริกล่าวว่า โจทย์ใหญ่ของ SF ในตอนนี้คือ การทำให้ลูกค้ารู้สึกว่าขั้นตอนต่างๆ ที่เดินเข้ามาในโรงหนังจะไม่ยุ่งยากและราบรื่นที่สุด ขณะเดียวกันคนที่จะกลับมาดูอาจจะไม่คึกคักเหมือนเก่า กลุ่มครอบครัวและผู้สูงอายุอาจจะดูสถานการณ์ไปก่อน ส่วนกลุ่มวัยรุ่น เฟิร์สจ๊อบเบอร์จะเป็นกลุ่มแรกที่กลับมาดู
“ปีนี้จะเป็นปีที่เราต้องประคองตัวไปก่อน แต่ปีหน้าจะเป็นปีทองของเรา เพราะจะมีหนังฟอร์มยักษ์หลายๆ เรื่องที่จะเข้าฉาย ซึ่งมีทั้งที่เป็นไปตามโปรแกรมเดิมและเลื่อนจากปีนี้ ตัวหน้าหนังมีความสำคัญมากด้วย เป็นจุดที่ดึงดูดให้คนมาดูในโรงภาพยนตร์” พิมสิริกล่าว