วันนี้ (2 มีนาคม) นพ.ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน สาธารณสุขนิเทศก์และโฆษกกระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชนถึงการใช้หน้ากากอนามัย ควรใช้กับผู้ป่วย หรือผู้ที่ไม่ป่วยอย่างไร
โดย นพ.ทวีศิลป์ ระบุว่า กระทรวงสาธารณสุขยังคงยืนยันว่าหน้ากากอนามัยมีความสำคัญอย่างยิ่งในตอนนี้ ซึ่งแต่ละชนิดจะมีอัตราการป้องกันที่ต่างกันออกไป
ส่วนที่ 1 คือ หน้ากากอนามัยที่ทำจากผ้าปกติจะมีการป้องกันต่ำที่สุด ซึ่งสามารถใช้ในหมู่บุคคลทั่วไป อาจจะไม่สามารถป้องกันโรคได้ 100% แต่ในพื้นที่ท้องถนนที่ไม่ได้มีความใกล้ชิดกับผู้ป่วยก็สามารถนำมาใช้ได้ตามปกติ
ส่วนที่ 2 คือ หน้ากากอนามัยในลักษณะที่มีสารเคลือบด้านหน้าที่ใช้ในการป้องกันการซึมผ่านของละออง รวมถึงหยดละอองจากสารคัดหลั่งที่เกิดจากร่างการทั้งหลาย ซึ่งหน้ากากชนิดนี้เหมาะสำหรับผู้ป่วยและบุคลากรที่รับผิดชอบดูแลผู้ป่วย ดังนั้น หน้ากากอนามัยที่เริ่มออกแจกจ่ายให้กับประชาชน 3 ชิ้นต่อคน มีไว้ให้ใช้ตอนที่มีอาการป่วยเท่านั้น เพราะถ้าหากได้รับแล้วนำมาใช้ทันที อาจจะทำให้หน้ากากเริ่มขาดตลาดในภาวะอย่างนี้
ส่วนที่ 3 หน้ากากอนามัย N95 เหมาะในการใช้กับผู้ติดเชื้อจริงๆ หรือผู้ที่ยืนยันแล้ว เนื่องจากตามรายงานจะพบว่า เชื้อโรคมีขนาดเล็กมาก ทำให้หน้ากากอนามัย N95 สามารถป้องกันได้
“เพราะฉะนั้นที่กระทรวงสาธารณสุขกำลังดำเนินการแจกให้คนละ 3 ชิ้น ก็คืออยากให้ไว้ใช้ตอนป่วย เพราะหากมีความต้องการกันมากๆ แล้วนำหน้ากากอนามัยเหล่านี้มาใช้กันเลย ก็อาจทำให้หน้ากากอนามัยขาดตลาด ดังนั้น เรื่องความจำเป็นตรงนี้อย่างที่ต่างประเทศให้ข้อมูลชุดนี้มาก็ถูกต้อง ฉะนั้นสิ่งสำคัญคือต้องไม่ใช้อย่างผิดประเภท”
ทางด้าน นพ.สุวรรณชัย วัฒนายิ่งเจริญชัย อธิบดีกรมควบคุมโรค อธิบายเพิ่มเติมว่า การที่ประชาชนใช้หน้ากากอนามัยถือเป็นเรื่องที่มีประโยชน์มาก หากมีการใช้ในบุคคลที่ป่วย เพราะจะช่วยลดการแพร่กระจายของโรคได้
“ด้วยสภาวะของความตื่นตระหนกทำให้พี่น้องประชาชนส่วนหนึ่งที่อาจไม่มีความจำเป็นต้องใช้หน้ากากอนามัยมาหยิบหน้ากากจากส่วนที่มีความจำเป็นกับผู้ป่วยไปใช้แทน ดังนั้น จึงอยากให้ประชาชนที่เข้ามารับหน้ากากอนามัยได้คิดว่าต้องเอาไปใช้ตามความจำเป็นเท่านั้น อย่างการมอบให้ผู้ที่มีอาการป่วยในครอบครัวได้นำไปใส่เพื่อลดการแพร่กระจายของโรค” นพ.สุวรรณชัย กล่าว
พิสูจน์อักษร: พรนภัส ชำนาญค้า
