ผู้นำ 27 ชาติสหภาพยุโรป (EU) เตรียมพิจารณาว่าจะเลื่อนเวลา Brexit ออกไปจากเส้นตายเดิมวันที่ 31 ตุลาคมนี้หรือไม่ ขณะที่ บอริส จอห์นสัน นายกรัฐมนตรีสหราชอาณาจักรจะสู้อีกเฮือกในการผลักดันข้อตกลง Brexit ฉบับใหม่ที่เขาเห็นพ้องกับ EU ให้ผ่านการโหวตเห็นชอบในรัฐสภาเวสต์มินสเตอร์
ปิแอร์ วิมองต์ อดีตทูตฝรั่งเศสประจำ EU เผยกับ CNBC ว่า เวลานี้ชาติสมาชิกสหภาพยุโรปต่างเหน็ดเหนื่อยกับสิ่งที่เขามองว่าเป็นภาวะยุ่งเหยิงทางการเมืองที่ไม่มีวันจบสิ้น
เมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา นายกฯ จอห์นสันจำใจต้องทำตามกฎหมายโดยการส่งหนังสือขอเลื่อนเส้นตาย Brexit ต่อ EU แม้ว่าตัวเขาไม่ต้องการทำเช่นนั้นก็ตาม ซึ่งถือเป็นครั้งที่ 3 ที่รัฐบาลสหราชอาณาจักรขอขยายเวลา Brexit ด้วยเหตุผลที่ไม่สามารถทำข้อตกลงได้ทัน
ครั้งแรกเกิดขึ้นก่อนหน้าเดดไลน์วันที่ 29 มีนาคม ซึ่งนำไปสู่การขยายเวลาช่วงสั้นๆ เป็นวันที่ 12 เมษายน เพื่อให้เวลากับรัฐสภาสหราชอาณาจักรในการลงมติรับรองข้อตกลง Brexit ของ เทเรซา เมย์ นายกรัฐมนตรีคนก่อน แต่แล้วก็ไม่เพียงพอ ส่งผลให้รัฐบาลต้องขอขยายเส้นตายเป็นครั้งที่ 2 ไปเป็นวันที่ 30 มิถุนายน ซึ่งครั้งที่ 2 นี้เกิดความเห็นไม่ลงรอยขึ้นในบรัสเซลส์ เนื่องจากชาติสมาชิกบางส่วนต้องการขยายเวลาให้มากกว่านั้นไปจนถึงต้นปี 2020 ขณะที่บางชาติต้องการให้กำหนดเวลาสั้นกว่านั้น ซึ่งก็ลงเอยด้วยการขยายเดดไลน์ออกไปอีก 6 เดือน เป็นวันที่ 31 ตุลาคม ซึ่งเป็นเส้นตายปัจจุบัน
เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา ทูต 27 ชาติสมาชิก EU ได้ประชุมกันที่กรุงบรัสเซลส์ ประเทศเบลเยียม แต่พวกเขาไม่ได้หารือกันถึงคำร้องจากสหราชอาณาจักรในการขอเลื่อน Brexit และยังไม่ได้อภิปรายกันว่า EU ต้องจัดการประชุมสุดยอดผู้นำเป็นวาระเร่งด่วนภายในไม่กี่วันข้างหน้าหรือไม่
ขณะที่หนังสือพิมพ์ Sunday Times ของอังกฤษ รายงานอ้างแหล่งข่าวทางการทูตว่า EU น่าจะยอมรับคำขอขยายเดดไลน์ของจอห์นสันไปเป็นวันที่ 31 มกราคม 2020 หาก EU เห็นพ้องให้เลื่อนเส้นตายออกไป
วิมองต์กล่าวกับ CNBC ว่า ตอนนี้ขึ้นอยู่กับกระบวนการนิติบัญญัติของรัฐสภาสหราชอาณาจักรว่าจะออกมาในรูปใด
“หากมีเหตุผลที่ดีในการขยายเวลา เช่น เพื่อให้เวลาสำหรับผ่านกฎหมายที่เกี่ยวข้อง หรือจัดการลงประชามติครั้งที่ 2 หรือจัดการเลือกตั้งใหม่ เพื่อให้ประชาชนได้ตัดสินใจขั้นสุดท้ายว่าจะอยู่ต่อหรือไป ผมคิดว่า EU 27 ประเทศน่าจะเห็นชอบให้ขยายเวลาเป็นครั้งสุดท้าย” วิมองต์กล่าว
พิสูจน์อักษร: พรนภัส ชำนาญค้า
อ้างอิง:
