ภาพชายหาดของทะเลเมดิเตอร์เรเนียนที่ทอดยาวคู่ไปกับเมืองโดยไม่มีจุดตัดและรอยต่อถึง 15 กิโลเมตร กับภาพดวงอาทิตย์ตกที่กลมโตสวยใหญ่เต็มตา คือการแนะนำตัวที่ทำให้เราตื่นตะลึงและตกหลุมรักเมืองที่ชื่อว่า ‘เทลอาวีฟ’ ในทันที
เทลอาวีฟ เป็นเมืองใหญ่อันดับที่ 2 ของประเทศอิสราเอล มีประชากรราว 405,000 คน ตั้งอยู่ทางทิศ
ตะวันออกเฉียงใต้ของชายฝั่งทะเลเมดิเตอร์เรเนียนเทลอาวีฟเป็นเหมือนลูกครึ่งระหว่างเมืองแห่งความทันสมัยและการริเริ่มสิ่งใหม่ มากพอๆ กับเป็นเมืองแห่งความเก่าแก่ ที่มีประวัติศาสตร์อันยาวนานน่าค้นหา และรากอารยธรรมที่ฝังลึกในทุกมุมเมือง
เทลอาวีฟเป็นเมืองศูนย์กลางทางเศรษฐกิจ ธุรกิจ และเทคโนโลยีของประเทศอิสราเอล ที่ด้านหนึ่งฉายภาพบรรยากาศของการทำงานหนัก เอาจริงเอาจังและเต็มไปด้วยความกระตือรือร้นของผู้คนอย่าง
สุดพลัง แต่อีกด้านก็ฉายภาพของการพักผ่อน ความรื่นรมย์ ความสนุกสนาน และความสงบสุขอย่างถึงที่สุด
ก่อนอื่นขอแนะนำว่า ถ้ามาเที่ยวที่นี่ต้องเตรียมความแข็งแรงของขาและฝ่าเท้าให้ดี เพราะควรใช้การเดินเป็นหลัก เพื่อจะได้สำรวจรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ของเมือง สัมผัสวิถีชีวิตของผู้คน และบรรยากาศของเมืองที่เต็มไปด้วยพลังและชีวิตชีวาแห่งนี้อย่างใกล้ชิด
นครสีขาวกับความเป็นมรดกโลก
เทลอาวีฟมีกลุ่มสถาปัตยกรรมสมัยใหม่ที่ใหญ่ที่สุดในโลกอยู่ในเมือง ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกในปี 2003 และได้รับการขนานนามว่า ‘White City’ หรือ ‘นครสีขาว’ มีกลุ่มตึกรามบ้านช่องที่เป็นเอกลักษณ์ของเมือง ซึ่งได้รับอิทธิพลมาจากสถาปัตยกรรมแบบเบาเฮาส์ (Bauhaus) ของเยอรมนี ซึ่งเป็นการออกแบบที่เน้นความเรียบง่าย ตรงไปตรงมา จุดเด่นคือการใช้ผนังกระจกขนาดใหญ่กรุอยู่ภายนอกตึก เพื่อให้แสงสว่างส่องถึงทั่วทั้งพื้นที่ และให้คนภายนอกสามารถมองเห็นพื้นที่ภายในได้
ถนนที่สามารถพบเห็นกลุ่มตึกแบบเบาเฮาส์ได้มากที่สุดก็คือ รอทส์ไชลด์ บูเลอวาร์ด (Rothschild Boulevard) ด้วยความที่เป็นถนนเส้นใหญ่ สวยงาม และทอดผ่านกลางเมืองที่ยาวที่สุดในเทลอาวีฟ เราจะเห็นผู้คนจูงสุนัขตัวน้อยใหญ่หลากหลายสายพันธุ์มาเดินเล่น เรียกว่าเป็นเมืองสวรรค์ของคนรักหมาเลยทีเดียว นอกจากนี้ก็จะมีผู้คนปั่นจักรยาน เล่นสเกตบอร์ด เคลื่อนที่อยู่บนอุปกรณ์ล้อเลื่อนที่แปลกตาในรูปแบบต่างๆ รวมทั้งกลุ่มคนที่มาเปิดหมวกเล่นกีตาร์ร้องเพลงแบบอินดี้ๆ ก็มีให้เห็นเป็นระยะ
นอกจาก รอทส์ไชลด์ บูเลอวาร์ดแล้ว ถนนที่เราอยากแนะนำให้ไปเที่ยวชมอีกเส้นหนึ่งก็คือถนน
ไดเซนกอฟฟ์ (Dizengoff Street) ที่ถูกเปรียบเทียบให้เป็นดั่ง ‘Champs-Élysées of Tel Aviv’ หรือ
ถ้าเปรียบกับเมืองไทยก็น่าจะคล้ายถนนทองหล่อบ้านเรา ที่นี่จะเป็นถนนบันเทิงมอบความสนุกสนานและเหมาะกับไนต์ไลฟ์ เพราะสองข้างทางจะเต็มไปด้วยร้านอาหารสวยๆ เก๋ๆ ที่เปิดให้นั่งชิลล์ถึงดึกดื่น เรียกว่าเป็นการมาทำความรู้จักอิสราเอลในเวอร์ชันที่หลายคนอาจนึกไม่ถึงว่าจะได้พบเจอเลยจริงๆ
Old Jaffa อัญมณีแห่งทะเลเมดิเตอร์เรเนียน
ห่างจากความล้ำนำสมัยของตัวเมืองเทลอาวีฟด้วยการเดินเพียง 15 นาที เราก็จะได้สัมผัสอีกบรรยากาศหนึ่งของพื้นที่แห่งประวัติศาสตร์ที่เก่าแก่ น่าเรียนรู้และบันทึกไว้ นั่นคือ โอลด์จัฟฟา (Old Jaffa) ซึ่งมีการ
สร้างขึ้นก่อนเมืองเทลอาวีฟหลายร้อยปี การมาที่นี่จึงเป็นเหมือนการย้อนอดีต เพื่อเข้าใจปัจจุบันของ
เทลอาวีฟและอิสราเอลให้มากขึ้น ไฮไลต์ของที่นี่คือบริเวณ Jaffa Port ซึ่งเป็นท่าเรือน้ำทะเลที่เก่าแก่ที่สุดแห่งหนึ่งของโลกที่ใช้งานกันมาตั้งแต่หลายพันปีก่อนจนถึงปัจจุบัน
นอกจากท่าเรือแล้ว โอลด์จัฟฟายังมีซอกมุมเล็กๆ น้อยๆ ให้เดินสำรวจอย่างเพลิดเพลิน มีคุกโบราณ ประภาคารสวยเด่น เดินขึ้นไปด้านบนของเนินเขาจะมีสวนหย่อมที่สามารถมองเห็นเมืองเทลอาวีฟมุมสูงได้อย่างเต็มตา และบริเวณโดยรอบยังมีแกลเลอรีร้านขายของ คาเฟ่น่ารักๆ ที่หลบอยู่มุมตึกอีกมากมาย ในช่วงตกเย็นเราจะเห็นคนออกมาตกปลา นั่งมองท้องฟ้าและแสงสีส้มของพระอาทิตย์ยามเย็นอยู่เฉยๆ เหมือนเป็นการทิ้งความเหน็ดเหนื่อยไว้เบื้องหลังอย่างแท้จริง สิ่งที่ชอบที่สุดอย่างหนึ่งของที่นี่คือ จะมีคนนั่งเล่นเครื่องดนตรีที่หาฟังได้ยากเรียกว่า Hang เป็นเครื่องเคาะที่ให้น้ำเสียงไพเราะมาก ทั้งโทนทุ้ม นุ่ม
และใส ดังกังวานเป็นเอกลักษณ์และสะกดใจเหลือเกิน จนทุกคนที่เดินผ่านต้องหยุดเข้ามาฟังกันอยู่ครู่ใหญ่
ด้วยพื้นที่ของโอลด์จัฟฟาที่ไม่ใหญ่มาก แต่มีรายละเอียดเต็มไปหมด จึงต้องใช้เวลาอย่างน้อย
ครึ่งวันถ้าจะสำรวจให้หมด และสำหรับเรา ซีนทิ้งท้ายของการเดินเที่ยวย่านนี้ก็คือ เมื่อมาจนสุดทางแล้ว
ให้หันหลังกลับไปมอง เราจะได้เห็นภาพเมืองเก่าของโอลด์จัฟฟาที่มีความทันสมัยของเทลอาวีฟเป็น
ฉากหลัง ซึ่งเป็นภาพที่สวยงาม แปลกตา และหาชมได้ยากจากเมืองอื่นจริงๆ
ถัดจากโอลด์จัฟฟา อีกหน่อยจะเป็นย่านนีฟ เซเดก (Neve Tzedek) ซึ่งเป็นเขตการปกครองยิวที่เก่าแก่ที่สุดของเทลอาวีฟ สร้างเมื่อปี 1887 โดยกลุ่มคนยิวมิซราฮิ (Mizrahi Jews) ที่ต้องการหนีออกจาก
ความวุ่นวายในจัฟฟาในยุค 1990 ปัจจุบันนีฟ เซเดก เป็นย่านอาร์ตๆ ฮิปๆ ของวัยรุ่นอิสราเอลหน้าตาดี ที่มาแฮงเอาต์กันในวันหยุด และยังเป็นแหล่งก่อเกิดแรงบันดาลใจให้กับบรรดานักเขียน ศิลปิน รวมไปถึงเจ้าของรางวัลโนเบลอย่าง ชมูเอล โยเซฟ อักนอน ด้วย
เมืองแห่งพลังและการออกกำลังกาย
ใครอยากเที่ยวเมืองที่ทั้งสวยและได้สุขภาพดีกลับไปต้องมาที่เทลอาวีฟ หนึ่งในลายเซ็นที่ชัดเจนมากของเมืองนี้คือ ภาพของการออกกำลังกายอย่างมีความสุขและไม่มีวันเหน็ดเหนื่อยของผู้คน ไม่ว่าเราจะหันไป
ทางไหน เวลาใด จะเห็นคนออกกำลังกายอยู่ตลอด ไม่ใช่แค่ในสวนสาธารณะหรือในยิม แต่แม้กระทั่ง
บนท้องถนน! บางคืนในเวลาสี่ทุ่มเราก็ยังคงเห็นคนวิ่งตามบาทวิถีอยู่ เหมือนว่าพวกเขาวิ่งจนกว่าจะนอน สิ่งที่น่าอิจฉาของคนที่นี่คือมีพื้นที่กลางแจ้งในการออกกำลังกายที่สวยและกว้างใหญ่สุดลูกหูลูกตามาก นั่นก็คือชายหาดแห่งทะเลเมดิเตอร์เรเนียนที่ทอดยาวคู่ไปกับเมืองที่เราว่าไว้ตอนต้น ที่นี่จะมีการออกกำลังกายหลากหลายชนิดที่สุดเท่าที่เราเคยพบมา และที่สำคัญคือเป็นการออกกำลังกายกันตลอดเวลา จนต้องแอบคิดว่าคนเทลอาวีฟนอนตอนไหนกัน?
อ้อ บนชายหาดนี้มีแลนด์มาร์กสำคัญที่ควรไปบันทึกภาพด้วย นั่นคือรูปปั้นของนายเบน กูเรียน อดีต
นายกรัฐมนตรีของอิสราเอลที่เป็นภาพสร้างสรรค์ที่สุดเท่าที่เคยเห็นมา เหตุผลเพราะเขาชอบมาเล่นโยคะกลับหัวที่ชายหาดจนประชาชนทำรูปปั้นให้ ที่สำคัญบ้านพักของเขาก็อยู่แถวๆ นั้นด้วย ถือเป็นต้นแบบผู้นำแห่งการคิดต่าง และเป็นแบบอย่างการออกกำลังกายของเมืองนี้อย่างแท้จริง
เทลอาวีฟ ในภาษาฮีบรู แปลว่า เนินเขาแห่งฤดูใบไม้ผลิ ซึ่งมั่นใจว่าใครก็ตามที่ได้มาที่นี่ จะสัมผัสได้ถึงความสวยงาม มีชีวิตชีวา สงบสุข และในอีกทางหนึ่งก็ได้รับความหวัง พลัง และความกระตือรือร้นในการเริ่มต้นใหม่ สมดังความหมายของชื่อเมืองจริงๆ