หนึ่งปีที่ผ่านมานี้เป็นปีที่พิเศษมากๆ สำหรับผม เพราะมันเป็นปีที่ผมได้พิสูจน์ด้วยตัวเองเลยว่า หลายๆ อย่างที่เราเชื่อว่าเป็น ‘ความจริง’ สำหรับเรา แท้จริงนั้นมันไม่จริงเลย
หลายครั้งสิ่งที่เราคิดว่าเป็น ‘ความจริง’ บางทีมันเป็นแค่ ‘ความเชื่อ’ ที่สะสมกันมานานจนความเชื่อนี้แข็งแรงและกลายเป็นกำแพงที่สูงขึ้นไปเรื่อยๆ
กำแพงแรก ‘ถ้าอยากมีความสุขให้กิน’
ผมมีความเชื่อมาตลอดว่าผมเป็นคนที่ชอบกินมากๆ เชื่อว่าการกินทำให้มีความสุขมากๆ เรื่องกินน่าจะเป็นเรื่องที่ผมใช้เงินมากที่สุดแล้ว
เวลาผมเดินทางไปต่างบ้านต่างเมือง ร้านอาหารคือสิ่งที่สำคัญที่สุด ความพยายามในการจัดทริปของผมจะไปอยู่ที่เรื่องการจองร้านอาหารเยอะ บางทีถึงกับเดินทางไปเมืองนั้นเพียงเพื่อที่จะได้ไปกินอาหารร้านนี้โดยเฉพาะก็มี คนที่สนิทกับผมจะรู้ว่าผมจริงจังกับเรื่องกินมากๆ
อีกเรื่องคือผมคิดว่าคนเราต้องกินอาหารครบสามมื้อถึงจะอยู่ได้อย่างมีความสุข และผมก็ดำเนินชีวิตแบบนั้นมาตลอด
ฉลองก็กิน เหนื่อยก็กิน เครียดก็กิน ฯลฯ
นั่นคือกำแพงความเชื่อของผมครับ ‘ถ้าอยากมีความสุขให้กิน’
ผมเชื่อแบบนั้นจริงๆ ว่าการกินนำความสุขมาให้ผมอย่างมาก และเป็นมาตั้งแต่ยังจำความได้
จนกระทั่งผมเริ่มมาทำ Intermittent Fasting (IF) หรือการอดอาหารเป็นช่วงๆ
เริ่มแรกผมทำเพราะอยากลองทำ Brain Hack อยากให้สมองทำงานดีขึ้น จะได้ทำงานได้เยอะขึ้น
แรกเริ่มเดิมที ผมทำแบบที่เรียกว่า 16/8 คือกินอาหาร 8 ชั่วโมง อด 16 ชั่วโมง
เห็นผลประมาณหนึ่ง แต่พอผมเปลี่ยนมาทำ 18/6 คือกินอาหาร 6 ชั่วโมง อด 18 ชั่วโมง คราวนี้เริ่มเห็นผลเยอะขึ้น
จนวันหนึ่งผมลองอดอาหาร 24 ชั่วโมงเลย ปรากฏว่าทำได้นะ แล้วก็ไม่ได้ทรมานอะไรด้วย
วันนั้นเองผมรู้สึกว่าผมได้ก้าวข้ามความเชื่อเดิมๆ ได้ทำลายกำแพงเล็กๆ ในใจของเราลงไป
กำแพงที่ว่า ‘ถ้าอยากมีความสุขให้กิน’ มันไม่มีอยู่แล้ว
ทุกวันนี้ถ้าได้กินของอร่อยก็ดี ไม่ได้กินก็ไม่เป็นไร แต่ผมไม่ค่อยได้คิดถึงเรื่องอาหารมากมายเหมือนแต่ก่อนแล้ว
ตอนที่ผมกำลังเขียนบทความนี้ก็อยู่ในช่วงชั่วโมงที่ 23 ของการทำ IF ของวันนี้ ซึ่งชีวิตก็ปกติดี มีความสุขไม่แพ้ตอนกินแหลก
มันทำให้ผมนึกย้อนกลับไปถึงจุดเริ่มต้นของเรื่องทั้งหมดนี้
กำแพงที่สอง ‘เครียดต้องดื่ม’
แต่ก่อนผมเคยคิดว่าเวลาเครียดต้องออกไปดื่ม เพราะเวลาเครียดผมก็ออกไปดื่มมาตั้งแต่เด็กๆ แล้ว ผมไม่เคยคิดมาก่อนว่าจะเจอวิธีอื่นได้
จนกระทั่งผมเริ่มทนกับชีวิตตัวเองไม่ไหว เลยตัดสินใจลองเลิกดื่มดู ตอนนี้ไม่ได้แตะแอลกอฮอล์มาเกือบปีแล้ว รู้สึกว่าชีวิตเราไม่มีแอลกอฮอล์ก็หายเครียดได้นะ
จะว่าไปต้นเหตุของความเครียดนั้นน้อยกว่าเดิมด้วยซ้ำ เพราะเรื่องที่ทำให้เครียด หลายๆ ครั้งก็มาจากเรื่องการดื่มนี่แหละครับ
มันทำลายกำแพงที่ว่า ‘เครียดต้องดื่ม’ ลงไปอย่างราบคาบ
กำแพงที่สาม ‘คนแบบเราไม่มีทางวิ่งมาราธอนจบ’
ผมเคยคิดมาเสมอว่าคนวิ่งมาราธอนจบนี่เป็นคนที่มาจากอีกโลกหนึ่ง และชีวิตคนเราไม่มีความจำเป็นอะไรจะต้องกระเสือกกระสนไปวิ่งมาราธอน ไม่เห็นจะได้อะไรกับชีวิตขึ้นมา
ที่สำคัญกว่านั้นคือผมคิดว่าชาตินี้ผมไม่มีทางไปวิ่งมาราธอนเด็ดขาด เพราะมันหนักเกินไปสำหรับชีวิตผม
ผมเชื่อแบบนั้นมาตลอด จนกระทั่งวันที่ผมวิ่งมาราธอนจบและผมได้พบกับโลกอีกโลก โลกที่ซึ่งอยู่หลังกิโลเมตรที่ 42.195
มันได้พังกำแพงที่ว่า ‘คนแบบเราไม่มีทางวิ่งมาราธอนจบ’ ไปได้
ปีนี้ผมอยากลองทำอะไรอีกอย่าง
สิ่งหนึ่งที่ผมเชื่อมาตลอดตั้งแต่เด็กๆ คือผมเป็นคนที่ไม่เก่งด้านเทคนิค ไม่ว่าจะเรื่องอะไรก็ตาม
ผมเชื่อว่าที่ผมเอ็นทรานซ์ติดคณะวิศวกรรมศาสตร์เพราะคะแนนวิชาภาษาอังกฤษ
ตอนสมัยเรียน พวกวิชาเลขหรือวิชาคำนวณที่มันยากๆ ผมมักจะทำไม่ได้ ยิ่งถ้าเป็นเรื่องการเขียนโค้ด (Code) อันนี้เรียกว่าไปไม่เป็นเลย
ผมเชื่อมาตลอดว่าผมสามารถเอาตัวรอดได้ด้วยทักษะด้านอื่นที่ไม่ใช่ด้านเทคนิค
จนกระทั่งผมพบว่าความเชื่อนี้ถูกสั่นคลอนจากการเปลี่ยนแปลงของธุรกิจในยุคหลังๆ อย่างมาก
สิ่งที่ผมตัดสินใจทำเพิ่มในปีนี้เลยคือผมจะศึกษางานด้านการตลาดที่เกี่ยวข้องกับสาย Tech แบบลึกซึ้งให้ได้ ตั้งแต่ Automation, Data Analysis ไปจนถึง AI
มันคงต้องใช้ความพยายามอย่างมาก แต่วันนี้ผมเริ่มแล้ว และจะทำให้ดีที่สุด
เดี๋ยวมาติดตามกันว่าผมจะทลายกำแพงความเชื่อว่า ‘เราไม่เก่งทักษะด้านเทคนิค’ ได้ไหม
เมื่อหลักฐานเปลี่ยน ความคิดก็เปลี่ยนครับ
เดี๋ยวนี้เวลาเจอเรื่องยากๆ หรือความท้าทาย อาจจะเป็นเรื่องที่ในอดีตคิดว่าเป็นไปไม่ได้หรือทำไม่ได้
เดี๋ยวนี้คิดอย่างเดียวเลยครับ
‘เป็นไปไม่ได้ ทำไม่ได้ หรือไม่ได้ทำ’
ภาพประกอบ: Nuttarut B.
พิสูจน์อักษร: ภาสิณี เพิ่มพันธุ์พงศ์