หากบรรษัทภิบาลที่ดีเป็นรากฐานของการเติบโต ความยั่งยืนก็คือเข็มทิศที่ชี้นำทิศทางการเดินหน้าของธุรกิจครอบครัวในยุคใหม่ที่ทุกอย่างเปลี่ยนแปลงรวดเร็ว เมื่อผู้บริโภค นักลงทุน และสังคมให้ความสำคัญกับผลกระทบที่ธุรกิจสร้างต่อโลกใบนี้มากขึ้น การดำเนินธุรกิจแบบเดิมๆ ที่มุ่งเน้นไปที่ผลกำไร อาจไม่เพียงพอต่อการแข่งขันในอนาคตอีกต่อไป
ในตอนที่สองของซีรีส์นี้ ผู้เขียนจะเจาะลึกถึงกุญแจดอกที่สองจากรายงาน Global Family Business Report 2025 ของเคพีเอ็มจี อินเตอร์เนชั่นแนล นั่นคือ การขับเคลื่อนธุรกิจด้วยหลักการด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และบรรษัทภิบาล หรือ ESG (Environmental, Social and Governance) ที่จะช่วยให้ธุรกิจครอบครัวก้าวข้ามความสำเร็จทางการเงิน ไปสู่การเติบโตที่มีคุณค่า
‘ทำดี’ ไม่ใช่แค่ CSR อีกต่อไป
ESG ไม่ได้เป็นแค่การสร้างภาพลักษณ์ หรือกิจกรรมเพื่อสังคม แต่เป็นเครื่องมือทางกลยุทธ์ที่ช่วยสร้างมูลค่าให้กับธุรกิจครอบครัวอย่างแท้จริง ไม่ว่าจะเป็นการลดต้นทุนซึ่งเป็นผลมาจากการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ การจัดการขยะ หรือช่วยเพิ่ม Brand loyalty และ Market positioning ของธุรกิจ สิ่งที่น่าสนใจคือ ผลการสำรวจแสดงให้เห็นว่า 80 เปอร์เซ็นต์ ของธุรกิจครอบครัวที่มีผลประกอบการสูง มีการดำเนินงานด้านความยั่งยืนในระดับปานกลางถึงสูง ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่า ‘การเติบโตทางธุรกิจ’ กับ ‘การสร้างคุณค่าทางสังคมและสิ่งแวดล้อม’ สามารถเดินไปพร้อมกันได้อย่างลงตัว
บทความที่เกี่ยวข้อง:
ภาพรวม ESG ของธุรกิจครอบครัวทั่วโลก
จากผลการสำรวจธุรกิจครอบครัวทั่วโลก ผู้เขียนเห็นว่ามีประเด็นที่น่าสนใจใน 3 มิติหลัก ได้แก่:
- ด้านชุมชน (Community): ธุรกิจครอบครัวในตะวันออกกลางและแอฟริกามีความทุ่มเทต่อชุมชนสูงที่สุด โดยสามในสี่สนับสนุนองค์กรการกุศลและกิจกรรมช่วยเหลือสังคม ในขณะที่เกือบ 70 เปอร์เซ็นต์ ทุ่มเทเพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของชุมชนโดยรอบ
- ด้านสิ่งแวดล้อม (Environmental): สามในสี่ของธุรกิจครอบครัวทั่วโลกสนับสนุนการใช้ทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ และสองในสามได้ดำเนินการเพื่อลดผลกระทบทางสิ่งแวดล้อมของธุรกิจตน อย่างไรก็ตาม น้อยกว่า 50 เปอร์เซ็นต์ที่สามารถวัดผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมได้อย่างเป็นรูปธรรม ที่น่าสนใจก็คือ ธุรกิจในยุโรปให้ความสำคัญกับสิ่งแวดล้อมมากที่สุด โดยกว่า 80 เปอร์เซ็นต์ มีมาตรการประหยัดพลังงานและทรัพยากรที่จริงจัง และมีการลงทุนกับเทคโนโลยีสะอาดและพลังงานทดแทนมากที่สุดเมื่อเทียบกับภูมิภาคอื่นๆ
- ด้านบุคลากร (Employee): ธุรกิจในอเมริกาให้ความสำคัญกับสวัสดิการพนักงานมากที่สุด ในขณะที่เอเชียแปซิฟิกยังอยู่ในระดับต่ำกว่า อย่างไรก็ตาม ทุกภูมิภาคต่างมีแนวโน้มเหมือนกัน คือ คำนึงถึงความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดระหว่างธุรกิจและพนักงาน ตระหนักถึงความสำคัญในการเข้าใจห่วงโซ่อุปทานของตนเอง และเลือกทำงานร่วมกับคู่ค้าที่ให้ความเคารพต่อพนักงานของพวกเขา
7 แนวทาง ESG ที่ช่วยให้ธุรกิจเติบโตอย่างยั่งยืน
หากต้องการใช้ ESG ให้เป็นมากกว่านโยบาย ผู้เขียนเห็นว่าเจ้าของธุรกิจครอบครัวควรเปลี่ยนจากแนวคิดให้เป็นแนวทางปฏิบัติ ดังนี้:
- สร้างระบบกำกับดูแลที่แข็งแกร่ง การมีคณะกรรมการบริษัทที่มีบทบาทในการกำกับดูแลคือกลไกสำคัญ ที่จะผลักดัน ESG ให้เป็นหัวใจของกลยุทธ์ธุรกิจ
- ผสานเป้าหมายธุรกิจเข้ากับเป้าหมายความยั่งยืน ให้เกิดความสอดคล้องกัน ดำเนินงานควบคู่กันไปได้ในระยะยาว
- ฟังเสียงคนรุ่นใหม่ในครอบครัว คนรุ่นใหญ่เน้นความมั่นคงตามแนวทางดั้งเดิม ขณะที่คนรุ่นใหม่จะมองหาแนวคิดที่สร้างคุณค่าและความยั่งยืนในระยะยาวมากกว่า การเปิดใจรับฟังจะช่วยให้การสืบทอดธุรกิจราบรื่นขึ้น
- ดำเนินธุรกิจแบบเป็น eco-friendly โดยอาจเริ่มจากสิ่งเล็กๆ ที่ทำได้ เช่น การลดขยะ ประหยัดไฟ หรือเลือกซื้อวัตถุดิบที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม
- หาช่องทางรายได้ใหม่ ESG สามารถเป็นแรงบันดาลใจให้ธุรกิจต่อยอดได้ ไม่ว่าจะเป็นการขยายตลาด การใช้เทคโนโลยีดิจิทัล หรือการพัฒนาผลิตภัณฑ์นวัตกรรม
- ลงทุนกับคน การสร้างทักษะและพัฒนาพนักงาน การมีระบบพัฒนาผู้นำภายในองค์กรที่เข้มแข็งจะช่วยสนับสนุนการดำเนินงานในระยะยาว
- เตรียมแผนสืบทอดอย่างยั่งยืน การถ่ายโอนธุรกิจไม่ใช่แค่เรื่องของเงินและทรัพย์สิน แต่ยังเป็นเรื่องของค่านิยมและความรับผิดชอบต่อสังคมด้วย การรับฟังเสียงของคนหลายรุ่นในการวางแผนสืบทอดธุรกิจ จะช่วยสร้างการมีส่วนร่วมของสมาชิกครอบครัวรุ่นถัดไป
ESG ไม่ใช่ต้นทุน แต่เป็นการลงทุน
ผู้เขียนขอนำเสนอว่า ESG ในวันนี้ ไม่ใช่เพียงแค่เรื่องของการทำดี แต่เปรียบเสมือนการลงทุนที่สร้างรากฐานแข็งแกร่งเพื่ออนาคตของธุรกิจ การดำเนินงานด้านความยั่งยืนเป็นการบริหารความเสี่ยง เพิ่มโอกาสและสร้างความแข็งแกร่งให้กับธุรกิจในระยะยาว สำหรับธุรกิจครอบครัวที่มองการณ์ไกล ESG คือเครื่องมือที่จะช่วยให้พวกเขาเติบโตไปพร้อมกับการสร้างคุณค่าให้กับสังคม
ในตอนถัดไป ผู้เขียนจะกล่าวถึงกุญแจดอกสุดท้ายที่จะช่วยสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืนให้กับธุรกิจครอบครัว คือการขยายหรือปรับปรุงธุรกิจผ่านการควบรวมกิจการ (Mergers and Acquisitions: M&A) กิจกรรม M&A มีความสำคัญต่อธุรกิจครอบครัวอย่างไร สามารถติดตามอ่านได้ในตอนถัดไปค่ะ
ภาพ: Tirachard / Getty Images


