วันนี้ (4 พฤศจิกายน) ศูนย์ปฏิบัติการน้ำอัจฉริยะ (SWOC) กรมชลประทาน รายงานสถานการณ์น้ำล่าสุดว่า จากอิทธิพลของฝนที่ตกหนักต่อเนื่องในช่วงวันที่ 2-4 พฤศจิกายน ในพื้นที่ ลุ่มน้ำปิง ยม และน่าน ส่งผลให้ปริมาณน้ำท่าไหลลงสู่แม่น้ำสายหลักและอ่างเก็บน้ำเพิ่มมากขึ้น
กรมชลประทานได้วางแนวทางการบริหารจัดการน้ำในลุ่มน้ำเจ้าพระยาอย่างเร่งด่วน โดยแบ่งเป็น 2 ส่วนหลัก
1. การบริหารจัดการน้ำตอนบน (หน่วงน้ำเขื่อนหลัก)
กรมชลประทานร่วมกับการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ได้ใช้ศักยภาพของอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่ ได้แก่ เขื่อนภูมิพล จังหวัดตาก และ เขื่อนสิริกิติ์ จังหวัดอุตรดิตถ์ ทำการหน่วงน้ำ และเก็บกักน้ำไว้ให้ได้มากที่สุด เพื่อลดปริมาณน้ำที่จะไหลลงสู่พื้นที่ตอนล่างของลุ่มน้ำเจ้าพระยา
อย่างไรก็ตาม แม้จะมีการหน่วงน้ำจากเขื่อนหลักแล้ว แต่ปริมาณน้ำที่สถานี C.2 จังหวัดนครสวรรค์ ยังคงเพิ่มขึ้นจากปริมาณฝนที่ตกในพื้นที่ท้ายเขื่อนทั้งสองแห่ง ประกอบกับมีน้ำไหลมาสมทบจากแม่น้ำยม และแม่น้ำสะแกกรัง จังหวัดอุทัยธานี
2. การบริหารจัดการเขื่อนเจ้าพระยา (ระบายน้ำ)
เพื่อบริหารจัดการมวลน้ำเหนือที่ไหลลงมา กรมชลประทานจะ รับน้ำเข้าระบบชลประทานทั้งฝั่งตะวันออกและฝั่งตะวันตกอย่างเต็มศักยภาพ เพื่อลดปริมาณน้ำที่ไหลผ่านตัวเขื่อน
แต่เนื่องจากปริมาณฝนที่ตกต่อเนื่อง คาดการณ์ว่าปริมาณน้ำส่วนที่เหลือมีความจำเป็นต้องระบายผ่านท้ายเขื่อนเจ้าพระยา ในอัตราประมาณ 2,700 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที (ลบ.ม./วินาที)
กรมชลประทานจึงขอให้ประชาชนที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ลุ่มต่ำ นอกแนวคันกั้นน้ำเดิม คล้ายกับช่วงฤดูฝนที่ผ่านมา ให้ติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะในพื้นที่:
- ▪ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา: พื้นที่ริมแม่น้ำน้อย – คลองโผงเผง – คลองบางบาล
- ▪ จังหวัดสิงห์บุรี: อำเภออินทร์บุรี และอำเภอพรหมบุรี
- ▪ จังหวัดอ่างทอง: อำเภอป่าโมก และอำเภอไชโย
- ▪ จังหวัดชัยนาท: อำเภอสรรพยา
ทั้งนี้ กรมชลประทานยืนยันว่าจะยังคงเฝ้าระวังและประเมินสถานการณ์น้ำร่วมกับ กฟผ. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอย่างต่อเนื่อง พร้อมทั้งติดตั้งเครื่องจักร เครื่องสูบน้ำ และเครื่องผลักดันน้ำ เร่งระบายน้ำส่วนเกินลงสู่อ่าวไทย เพื่อลดผลกระทบต่อประชาชนให้ได้มากที่สุด


