ณ เกาะลิบง จังหวัดตรัง ผืนดินที่โอบอุ้มวิถีชีวิตชาวประมงและเป็นบ้านหลังสุดท้ายของฝูงพะยูน ยังมีเรื่องราวอีกมากมายซ่อนอยู่ภายใต้ความเงียบสงบ เรื่องราวของศักยภาพที่รอวันเบ่งบาน และปัญหาเชิงโครงสร้างที่รอการแก้ไขอย่างยั่งยืน
นี่คือจุดที่ ‘ธนาคารออมสิน’ ในฐานะ ‘Social Bank’ หรือธนาคารเพื่อสังคม ได้ก้าวเข้ามา ไม่ใช่ในฐานะผู้ให้ แต่ในฐานะเพื่อนร่วมทางเพื่อสร้างการเปลี่ยนแปลงที่ลึกซึ้งและยั่งยืน
ภารกิจนี้ไม่ได้เริ่มต้นจากศูนย์ แต่เป็นการถอดบทเรียนความสำเร็จจากโครงการ ‘ออมสินฮ่วมใจ๋ฮักขุนน่าน’ จังหวัดน่าน ซึ่งเป็นโครงการที่ได้รับการยอมรับด้วยรางวัลรัฐวิสาหกิจดีเด่น ปี 2567 (รางวัลการดำเนินงานอย่างรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อมดีเด่น) ซึ่งโครงการดังกล่าวได้พิสูจน์แล้วว่าแนวทางการพัฒนาชุมชนแบบองค์รวม (Holistic Area-Based Community Development) สามารถพลิกฟื้นชุมชนได้อย่างเป็นรูปธรรม
ธนาคารออมสินจึงนำหลักการเดียวกันนี้ ซึ่งสอดคล้องกับเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs) ของสหประชาชาติและแนวคิด ESG มาปรับใช้กับเกาะลิบง โดยเริ่มต้นจากการลงพื้นที่รับฟังเสียงของคนในชุมชนกว่า 3,340 ชีวิต ใน 4 หมู่บ้านและ 3 สถานศึกษา เพื่อให้แน่ใจว่าทุกแผนงานที่เกิดขึ้น มาจากความต้องการที่แท้จริง
หนึ่งปีแห่งการลงมือทำ: ถักทอแผนการพัฒนา 12 ด้าน สู่คุณภาพชีวิตใหม่
ตลอดหนึ่งปีที่ผ่านมา โครงการ ‘ลิบงสุขใจ ออมสินพัฒนา’ ได้ขับเคลื่อนภายใต้แนวคิด ‘ต้นแบบชุมชนคาร์บอนต่ำ’ (Low Carbon Island) โดยขยายเป้าหมายการพัฒนาจากเดิม 7 ด้าน เป็น 12 ด้าน เพื่อให้ครอบคลุมทุกมิติ ทั้งด้านเศรษฐกิจ ด้านสังคมและด้านสิ่งแวดล้อม ปัจจุบันโครงการมีความคืบหน้าไปแล้วกว่า 60% และได้สร้างการเปลี่ยนแปลงที่จับต้องได้ทั่วทั้งเกาะ
จุดเริ่มต้นคือการแก้ปัญหาพื้นฐานที่สำคัญที่สุดอย่าง ‘น้ำ’ และ ‘สุขภาพ’ การขุดเจาะบ่อบาดาลพร้อมสร้างถังเก็บน้ำ และการติดตั้งระบบผลิตน้ำจืดจากน้ำเค็ม ได้ทำให้ 4 หมู่บ้านเป้าหมายมีน้ำสะอาดสำหรับอุปโภคบริโภคอย่างเพียงพอตลอดทั้งปี
ขณะเดียวกัน ‘เรือออมสินชีพรักษ์’ เรือพยาบาลฉุกเฉินที่ธนาคารสนับสนุน ก็ได้เข้ามาทลายข้อจำกัดด้านการเข้าถึงบริการสาธารณสุขยามฉุกเฉิน พร้อมกับการสร้างหน่วยกู้ชีพฉุกเฉินและอาสาสมัครกู้ชีพในชุมชน เพื่อสร้างความอุ่นใจให้กับทุกชีวิตบนเกาะ
ในมิติเศรษฐกิจ มีการส่งเสริมการท่องเที่ยววิถีใหม่ที่ชูอัตลักษณ์ของชุมชนมุสลิม ควบคู่ไปกับการยกระดับมาตรฐานผู้ประกอบการโฮมสเตย์และสร้างผู้นำเที่ยวชุมชน จนสามารถสร้างรายได้ให้ผู้ประกอบการเพิ่มขึ้นถึง 34% และผลิตภัณฑ์ชุมชนมีรายได้เพิ่ม 20%
สิ่งนี้ยังเชื่อมโยงไปถึงการส่งเสริมกลุ่มอาชีพดั้งเดิมให้เข้มแข็ง ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มประมง, กลุ่มเรือข้ามฟาก และกลุ่มรถซาเล้งโดยสาร ผ่านการสนับสนุนองค์ความรู้และส่งเสริมการออมในรูปแบบกลุ่ม เพื่อสร้างความมั่นคงทางการเงินในระดับครัวเรือน
“โครงการลิบงสุขใจ ออมสินพัฒนา วางแผนการพัฒนาครอบคลุม 12 ด้าน เพื่อตอบโจทย์คนในชุมชนที่ปัจจุบันโครงสร้างประชากรส่วนใหญ่เป็นเด็กและผู้สูงวัย ให้ได้รับโอกาสในการเข้าถึงความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น ควบคู่กับการปลูกฝังจิตสำนึกส่งเสริมการดูแลรักษาถิ่นเกิด ที่สำคัญคือการสร้างรายได้เพิ่มจากการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม ซึ่งเกาะลิบงมีจุดแข็งด้านการท่องเที่ยวที่ยังถูกหลงลืม แต่มีศักยภาพเพียงพอสำหรับการยกระดับรายได้ให้คนในชุมชน”
ด้านการศึกษา ซึ่งเป็นหัวใจของการพัฒนาคน โครงการได้ให้การสนับสนุนทั้งบุคลากรทางการศึกษา ทุนการศึกษา และสื่อการเรียนรู้ที่จำเป็นแก่สถานศึกษา 3 แห่ง ได้แก่ โรงเรียนบ้านบาตูปูเต๊ะ, โรงเรียนบ้านเกาะลิบง และศูนย์พัฒนาเด็กเล็กบ้านบาตูปูเต๊ะ พร้อมทั้งเปิดธนาคารโรงเรียนในรูปแบบพิเศษ เพื่อปลูกฝังวินัยและสร้างความเข้าใจเรื่องการออมให้แก่เยาวชนตั้งแต่เนิ่นๆ
วางรากฐานอนาคต: จากการพึ่งพิงสู่การพึ่งพาตนเอง
เป้าหมายสูงสุดของโครงการที่วางยาวถึงปี 2569 คือการสร้างชุมชนที่ยืนหยัดได้ด้วยตัวเองอย่างแท้จริง ธนาคาร ออมสินจึงให้ความสำคัญกับการสร้างความมั่นคงทางการเงินผ่านการจัดตั้ง ‘โค้ชออม’ และเปิดศูนย์การเรียนรู้ทางการเงินชุมชน เพื่อให้คนในพื้นที่มีความรู้ในการบริหารจัดการเงินและแก้ไขปัญหาหนี้สินที่มีอยู่เดิม
ขณะเดียวกัน การดูแลสิ่งแวดล้อมซึ่งเป็นต้นทุนสำคัญของเกาะก็ดำเนินไปอย่างเข้มข้น มีการวางแผนจัดการขยะอย่างเป็นระบบ, การสนับสนุนพลังงานทดแทนด้วยการติดตั้งโซลาร์เซลล์ส่องสว่าง, และการฟื้นฟูระบบนิเวศผ่านการปลูกหญ้าทะเล รวมถึงการปลูกป่าเพื่อขยายพื้นที่สีเขียว กิจกรรมเหล่านี้คือการลงทุนเพื่ออนาคตที่ยั่งยืนของเกาะ
ท้ายที่สุด การพัฒนาที่ครบวงจรยังรวมถึงการดูแลมิติทางสังคมและจิตใจ ทั้งการสร้างภูมิคุ้มกันป้องกันปัญหายาเสพติด, การวางแผนจัดตั้งลานสุขภาพ, การก่อสร้างและปรับปรุงห้องน้ำสาธารณะ ไปจนถึงการทำนุบำรุงศาสนสถานซึ่งเป็นศูนย์รวมจิตใจของชุมชน
โครงการลิบงสุขใจ ออมสินพัฒนา จึงเป็นภาพสะท้อนของการทำงานที่มองเห็น ‘คน’ เป็นศูนย์กลาง เป็นการเดินทางที่ยาวนานเพื่อเปลี่ยนศักยภาพที่ซ่อนอยู่ให้กลายเป็นความจริง และพิสูจน์ให้เห็นว่าการพัฒนาที่ยั่งยืนนั้นไม่ได้วัดค่าที่ตัวเลขทางเศรษฐกิจเพียงอย่างเดียว แต่วัดผลลัพธ์สุดท้ายที่ ‘ความสุข’ และคุณภาพชีวิตที่ดีของคนในชุมชนจากรุ่นสู่รุ่น