×

คลื่นการปลดคนกำลังมา? ผลสำรวจชี้ 25% ขององค์กรไทยจ่อลดพนักงาน ‘สภาพัฒน์’ เผยอัตราว่างงานเพิ่ม-ค่าจ้างลดใน 2Q68 หลังโมเมนตัมเศรษฐกิจชะลอ

25.08.2025
  • LOADING...
สภาพัฒน์เผยอัตรา ว่างงาน ไทย Q2/68 เพิ่มขึ้น ขณะที่ค่าจ้างแรงงานเฉลี่ยลดลง และองค์กรไทย 25% จ่อปลดพนักงาน

คลื่นการลดพนักงานระลอกใหม่กำลังมา? ‘สภาพัฒน์’ เผยอัตราว่างงานไทยในไตรมาสที่ 2 ของปีนี้ ‘เพิ่มขึ้น’ ขณะที่ ค่าจ้างแรงงานเฉลี่ยก็ ‘ลดลงต่อเนื่อง’ ท่ามกลางการชะลอตัวของเศรษฐกิจ จับตาผลกระทบจาก ‘ภาษีทรัมป์’ อาจกระเทือนผู้ประกอบการไทย จนนำไปสู่การลดจำนวนพนักงาน ค่าจ้าง และเวลาทำงาน สอดคล้องผลสำรวจ Jobsdb ที่ระบุว่า 25% ขององค์กรไทยมีแนวโน้มลดจำนวนพนักงานลง ห่วงในปี 2568 เศรษฐกิจไม่แน่นอนสูงขึ้นอาจส่งผลให้นายจ้างเปลี่ยนรูปแบบการจ้างงานมากขึ้นอีก 

 

อัปเดตสถานการณ์ ‘ตลาดแรงงานไทย’ ใน 2Q68 

 

วันนี้ (25 สิงหาคม) ดนุชา พิชยนันท์ เลขาธิการสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) หรือ สภาพัฒน์ อัตราการว่างงานรวม ในไตรมาสที่ 2 ของปี 2567 ปรับเพิ่มขึ้นเป็น 0.91% จากไตรมาสก่อนหน้าที่ 0.88%  

 

อย่างไรก็ตาม เมื่อเทียบจากช่วงเดียวกันของปีก่อน พบว่า อัตราว่างงานปรับตัวลดลง (จาก 1.07% ในไตรมาสที่ 2 ของปี 2567) เนื่องมาจากจำนวนผู้ว่างงานลดลงในกลุ่มผู้ว่างงานที่เคยทำงานมาก่อน ที่ลดลง 25.6%YoY ขณะที่ผู้ว่างงานที่ไม่เคยทำงานมาก่อน ลดลงเพียง 6.6%YoY

 

สำหรับอัตราการว่างงานในระบบ (สำนักงานประกันสังคม) อยู่ที่ 2.07% เพิ่มขึ้นเล็กน้อยจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่ 1.92% โดยมีผู้ขอรับประโยชน์ทดแทนกรณีว่างงานทั้งสิ้น 2.5 แสนคน ในไตรมาสที่ผ่านมา

 

สภาพัฒน์ ยังพบว่า จำนวนผู้ว่างงาน ‘ลดลงมาก’ ในกลุ่มอาชีวศึกษาและกลุ่มวิชาชีพขั้นสูง ขณะที่ผู้ว่างงานในระดับอุดมศึกษา ‘ลดลงเล็กน้อย’ และยังเป็นกลุ่มที่มีอัตราการว่างงานสูงที่สุดอย่างต่อเนื่อง 

 

ค่าจ้างลด-ชั่วโมงการทำงาน ท่ามกลางเศรษฐกิจชะลอตัว

 

สำหรับ ‘ค่าจ้างเฉลี่ยในภาพรวมของแรงงานทุกสถานภาพ’ ปรับตัวลง 2 ไตรมาสติดต่อกัน อยู่ที่ 15,977 บาทต่อคนต่อเดือน ในไตรมาสที่ 2 ของปี 2568 โดยลดลง 1.9% YoY สะท้อนว่ากลุ่มแรงงานอาชีพอิสระมีรายได้ลดลง ขณะที่ ค่าจ้างแรงงานเฉลี่ยของภาคเอกชนเพิ่มขึ้น โดยอยู่ที่ 14,370 บาทต่อคนต่อเดือน เพิ่มขึ้นจาก 2.4%YoY เช่นเดียวกับค่าจ้างเฉลี่ยของแรงงานในระบบอยู่ที่ 15,712 บาทต่อคนต่อเดือน เพิ่มขึ้น 2.5%YoY

 

ขณะที่ ‘ชั่วโมงการทำงานเฉลี่ยในภาพรวม’ ลดลง 0.4% หรืออยู่ที่ 42.7 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ ส่วนผู้ทำงานล่วงเวลา (Over Time: OT) ที่มีชั่วโมงการทำงานมากกว่า 50 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ขึ้นไป มีจำนวน 6.3 ล้านคน ลดลง 8.0%

จากช่วงเดียวกันของปีก่อน 

 

อัตราการว่างงานที่เพิ่มขึ้น ค่าจ้างที่ลดลง และชั่วโมงการทำงานที่ลดลง เกิดขึ้นท่ามกลางการชะลอตัวของเศรษฐกิจไทย โดย GDP ไทยในไตรมาสที่ 2 ของปี 2568 ขยายตัว 2.8% YoY ‘ชะลอลง’ จากการขยายตัว 3.2% YoY ในไตรมาสแรกของปี 2568 และชะลอตัวเป็นไตรมาสที่ 2 ติดต่อกัน โดยการเติบโตของ GDP ไตรมาสล่าสุดนี้ ยังเป็นอัตรา ‘ต่ำสุด’ ในรอบ 3 ไตรมาส

 

นายจ้างเร่งปรับรูปแบบการจ้างงาน 25% จ่อลดคน เหตุเศรษฐกิจไม่แน่นอนสูง

 

สภาพัฒน์ยังเปิดเผย ผลการสำรวจในรายงาน Hiring,Compensation & Benefits Report 2025 ของ Jobsdb พบว่า ในปี 2567 25% ขององค์กรในไทย มีแนวโน้มจะลดพนักงานลง เพื่อลดต้นทุนและปรับโครงสร้างองค์กรให้มีความยืดหยุ่นมากขึ้น

 

โดยส่วนมากเป็นการลดการจ้างงานพนักงานประจำเต็มเวลา (Permanent Full-Time) และหันไปใช้รูปแบบการจ้างงานแบบพนักงานประจำไม่เต็มเวลา (Permanent Part-Time) รวมถึงพนักงานสัญญาจ้าง/พนักงานชั่วคราวไม่เต็มเวลา (Contractual Temporary Part-Time) มากขึ้น 

 

โดยทิศทางเช่นนี้เกิดขึ้นในองค์กร ‘ทุกขนาด’ โดยเฉพาะองค์กรขนาดใหญ่ที่มีสัดส่วนของพนักงานประจำไม่เต็มเวลา (Permanent Part-Time) เพิ่มขึ้นจาก 6% ในปี 2565 เป็น 42% ในปี 2567

 

เช่นเดียวกับสัดส่วนของพนักงานสัญญาจ้าง/พนักงานชั่วคราวไม่เต็มเวลา (Contractual Temporary Part-Time) ที่เพิ่มขึ้นจาก 4% เป็น 28% ในช่วงเวลาเดียวกัน

 

ด้านสภาพัฒน์เตือน ในปี 2568 ที่เศรษฐกิจมีความไม่แน่นอนสูงอาจส่งผลให้สถานประกอบการเปลี่ยนรูปแบบการจ้างงานมากขึ้นอีก เพื่อให้สามารถแข่งขันได้

 

อย่างไรก็ตาม พฤติกรรมดังกล่าวอาจกระทบต่อความมั่นคงในการทำงาน และระดับรายได้ที่อาจไม่เพียงพอต่อการดำรงชีพ รวมทั้ง แรงงานอาจไม่ได้รับสิทธิตามกฎหมายอย่างครบถ้วน

 

ดังนั้น สภาพัฒน์จึงแนะว่า หน่วยงานที่เกี่ยวข้องอาจต้องมีการตรวจสอบการจ่ายค่าจ้าง รวมถึงการให้สวัสดิการต่าง ๆ ของสถานประกอบการให้เป็นไปตามกฎหมาย

 

จับตาผลกระทบจาก ‘ภาษีทรัมป์’ อาจนำไปสู่การลดพนักงานเพิ่ม

 

ดนุชากล่าวอีกว่า ต้องจับตาดูผลกระทบจากการปรับอัตราภาษีนําเข้าของสหรัฐฯ ต่อการจ้างงานในประเทศไทย เนื่องจาก อัตราภาษีที่เพิ่มขึ้นจะส่งผลให้สหรัฐฯ ลดคำสั่งซื้อจากไทย นอกจากนี้ ไทยยังต้องเปิดตลาดให้สหรัฐฯ โดยลดภาษีให้ 0% กว่าหมื่นรายการ อาจส่งผลให้ผู้ประกอบการไทยแข่งขันได้ยากขึ้น และอาจต้องมีการปรับโครงสร้างองค์กร อาทิ การลดจำนวนพนักงานเพื่อลดต้นทุนการผลิต หรือมีรายได้ลดลงจากการปรับลดเวลาการทำงาน ลดหรือตัดโอที ตามการปรับลดกำลังการผลิต 

 

ดนุชาจึงแนะว่า ภาครัฐควรสนับสนุนการขยายการเปิดตลาดใหม่ของกลุ่มสินค้าดังกล่าว รวมทั้งหามาตรการในการปกป้องสินค้าไทย โดยอาจกำหนดเงื่อนไขในการนำเข้าสินค้าจากสหรัฐฯ สนับสนุนการใช้สินค้าไทย เพื่อให้สินค้าไทยยังแข่งขันได้ และผู้ประกอบการยังสามารถรักษากำลังการผลิตและรักษาระดับการจ้างงานแรงงานไว้ได้ นอกจากนี้ ควรตรวจสอบ สินค้าที่มีการสวมสิทธิ์และลดการนำเข้าวัตถุดิบเพื่อไม่ให้กลายเป็นเงื่อนไขในการเพิ่มภาษีการค้า

  • LOADING...

READ MORE




Latest Stories

Close Advertising