การประชุมสุดยอดผู้นำ NATO Summit 2025 ที่เดอะเฮก ประเทศเนเธอร์แลนด์ ปิดฉากลงไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ด้วยผลลัพธ์ที่อาจถือว่าเป็นหนึ่งใน ‘ก้าวสำคัญ’ ด้านความมั่นคงของแอตแลนติกเหนือ ซึ่งครอบคลุมยุโรปและอเมริกาเหนือ เพื่อรับมือกับความท้าทายต่างๆ ที่เกิดขึ้นในประชาคมโลก โดยมีผู้นำประเทศและผู้นำองค์กรระหว่างประเทศเกือบ 40 ชีวิตเข้าร่วมประชุมในครั้งนี้
นี่คือ ผลลัพธ์สำคัญที่เกิดขึ้นจาก NATO Summit 2025
1. ตั้ง ‘เป้าหมายใหม่’ เรื่องการใช้จ่ายด้านป้องกันประเทศ
หนึ่งในผลลัพธ์ที่สำคัญที่สุดคือ การที่สมาชิก NATO ทั้ง 32 ประเทศ ‘เห็นพ้อง’ กับการตั้งเป้าหมายใหม่ด้านกลาโหม โดยตั้งเป้าจะเพิ่มการใช้จ่ายด้านป้องกันประเทศเป็น 5% ของ GDP ภายในปี 2035 หลังได้รับแรงกดดันจากโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา ที่พิจารณาว่า สหรัฐฯ กำลังแบกรับภาระค่าใช้จ่ายด้านกลาโหมใน NATO มากเกินไปหรือไม่ และสอดคล้องกับนโยบาย America First ที่ตนผลักดันหรือเปล่า
ทรัมป์ระบุว่า แนวทางการเพิ่มการใช้จ่ายนี้ เป็น ‘ชัยชนะที่ยิ่งใหญ่’ สำหรับสหรัฐฯ ยุโรป และโลกตะวันตก โดยนักวิเคราะห์มองว่า การเห็นพ้องกันในแนวทางนี้ อาจช่วยลดความเสี่ยงที่ทรัมป์จะพิจารณานำพาสหรัฐฯ ออกจากการเป็นสมาชิก NATO หากทรัมป์มองว่า สหรัฐฯ ถูกเอาเปรียบและไม่ได้รับความเป็นธรรมจากประเทศสมาชิกอื่นๆ
โดย ตัวเลข 5% นี้ ประกอบไปด้วย 2 ส่วนหลัก ส่วนแรก 3.5% ของ GDP จะถูกใช้ในด้านการป้องกันหลัก (Core Defences) ขณะที่อีก 1.5% จะถูกนำไปใช้จ่าย ‘ที่เกี่ยวข้องกับการป้องกัน’ ซึ่งเปิดโอกาสให้สมาชิก NATO สามารถจัดสรรการใช้จ่ายส่วนนี้ เพื่อปกป้องโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญ, ปกป้องเครือข่ายและพันธมิตร, เตรียมความพร้อมให้กับประชาชน, ส่งเสริมนวัตกรรม และเสริมสร้างฐานอุตสาหกรรมการป้องกันของ NATO
ปัจจุบันสหรัฐฯ มีส่วนร่วมในการใช้จ่ายประจำปีของ NATO อยู่ที่ราว 15.8% จากการใช้จ่ายทั้งหมด 3.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งทรัมป์ตั้งคำถามว่า NATO ควรปกป้องประเทศที่ไม่ลงเงินในงบประมาณด้านกลาโหมอย่างเพียงพอหรือไม่
เมื่อปี 2023 บรรดาผู้นำ NATO ได้ตกลงที่จะเพิ่มงบกลาโหมให้ไม่น้อยกว่า 2% ของ GDP ภายในปี 2024 ซึ่งเพิ่มขึ้นจากระดับเดิมที่ 1.5% อย่างไรก็ตาม มีหลายประเทศสมาชิกที่ไม่สามารถบรรลุเป้าหมายนี้ได้ในปีที่ผ่านมา เช่น แคนาดา อิตาลี สเปน และโปรตุเกส เป็นต้น ดังนั้น แนวทางการเพิ่มการใช้จ่ายหลักด้านกลาโหม (Core Defences) เป็น 3.5% หรือขยับเป้ารวมเป็น 5% จึงถือเป็น ‘ความท้าทายครั้งใหญ่’ สำหรับหลายประเทศสมาชิกใน NATO
สมาชิก NATO จึงตกลงที่จะเสนอแผนรายปีเพื่อให้สามารถบรรลุเป้าที่ 5% โดยจะต้องปฏิบัติตาม ‘เส้นทางที่เชื่อถือได้และค่อยเป็นค่อยไป’ และทบทวนแนวทางปฏิบัติที่จะไปสู่เป้าหมายนี้อีกครั้งในปี 2029
สหราชอาณาจักรเป็นหนึ่งในประเทศที่ประกาศแผนการเตรียมความพร้อมด้านการป้องกัน และจัดการกับภัยสงคราม ซึ่งจะเพิ่มงบกลาโหมจาก 2.3% มาเป็น 2.5% ภายในปี 2027 และอาจเพิ่มเป็น 3% ในช่วงหลังปี 2029 โดยเคียร์ สตาร์เมอร์ นายกรัฐมนตรีสหราชอาณาจักร ประกาศจะจัดซื้อเครื่องบินขับไล่ F-35A ซึ่งสามารถติดตั้งอาวุธนิวเคลียร์ยุทธวิธีได้ จำนวนอย่างน้อย 12 ลำ พร้อมระบุว่าเป็นการตอบสนองต่อ ‘ภัยคุกคามนิวเคลียร์’ ที่เพิ่มขึ้นและเป็นการเสริมความแข็งแกร่งให้กับภารกิจนิวเคลียร์ของ NATO
2. เน้นย้ำความสำคัญของ มาตรา 5 ของ NATO
ก่อนหน้านี้ทรัมป์เคยหาเสียงว่า ถ้าประเทศไหนไม่จ่ายส่วนแบ่งในค่าใช้จ่ายด้านกลาโหม สหรัฐฯ จะไม่ปกป้องประเทศของคุณ ตามมาตรา 5 ของ NATO ทั้งยังขู่ว่า เขาอาจสนับสนุนวลาดิเมียร์ ปูติน ประธานาธิบดีรัสเซีย ให้ทำสิ่งต่างๆ ตามที่เขาต้องการก็ได้
แต่ความกังวลในเจตนานี้ของทรัมป์ดูเหมือนจะค่อยๆ หมดไปในสายตาของสมาชิก NATO หลังทรัมป์แสดงถึงความมุ่งมั่นที่มีต่อ ‘หลักการป้องกันร่วม’ (Collective Defence) ซึ่งบัญญัติไว้ในมาตรา 5 ของสนธิสัญญา NATO ซึ่งเป็นหลักการที่สำคัญที่สุดที่มีเนื้อหาว่า หากประเทศสมาชิกหนึ่งถูกโจมตีหรือถูกทำร้ายจากการกระทำของภายนอก จะถือว่าเป็นการโจมตีสมาชิก NATO ทั้งหมดและสมาชิก NATO ทุกประเทศจะต้องช่วยกันป้องกันประเทศที่ถูกโจมตี โดยการตอบโต้ทางทหารเป็นไปตามความเหมาะสม
ทรัมป์ระบุว่า “ผมยืนหยัดกับมาตรา 5 นั่นคือเหตุผลที่ผมมาที่นี่”
แถลงการณ์สุดท้ายของ NATO Summit 2025 ยังเป็นจุดที่บ่งชี้ว่า สมาชิก NATO ทุกประเทศยึดมั่นในมาตรา 5 พร้อมเน้นย้ำว่า การโจมตีประเทศใดประเทศหนึ่งใน NATO ถือเป็นการโจมตีต่อทุกประเทศสมาชิก NATO
3. ทรัมป์กับสงครามรัสเซีย-ยูเครน
สงครามในยูเครนกำลังเข้าสู่ปีที่ 4 หลายประเทศที่ตั้งอยู่ไม่ไกลจากสมรภูมิรบต่างมองว่า รัสเซียอาจกลายเป็นภัยคุกคามโดยตรงต่อพวกเขาในอนาคตอันใกล้ มาร์ก รุตเตอ เลขาธิการ NATO คาดการณ์ว่า รัสเซียอาจใช้กำลังทางทหารต่อพันธมิตร NATO ภายในเวลา 5 ปีข้างหน้า
ในขณะที่ทรัมป์กลับมีท่าทีที่นุ่มนวลในการรับมือกับปูติน โดยทรัมป์เลือกที่จะเข้าไปเป็น ‘ตัวกลาง’ ในการเจรจาไกล่เกลี่ยระหว่างปูติน และโวโลดิเมียร์ เซเลนสกี ประธานาธิบดียูเครน แต่ยังไม่มีผลลัพธ์ที่เป็นรูปธรรม และสงครามก็ยังไม่มีทีท่าว่ายุติลงโดยเร็ว
ทรัมป์เผยหลังได้หารือกับเซเลนสกีราว 50 นาที ขณะที่ทั้งคู่พบกันที่ซัมมิทครั้งนี้ว่า สหรัฐฯ จะพิจารณาคำขอของยูเครนที่ต้องการให้สหรัฐฯ จัดหาระบบป้องกันภัยทางอากาศ ‘แพทริออต’ เพื่อป้องกันการโจมตีจากรัสเซีย แม้ทรัมป์จะระบุว่า “มันยากมากที่จะได้มา” พร้อมชี้ว่า สงครามรัสเซีย-ยูเครน “มีความซับซ้อนและยากลำบากมากกว่าสงครามอื่นๆ”
ทรัมป์เผยว่า ตัวเขาจะพูดคุยกับปูตินอีกครั้งในอนาคตอันใกล้ โดยระบุว่า “วลาดิเมียร์ ปูตินต้องยุติสงครามนี้จริงๆ สักที”
แม้ยูเครนจะไม่ได้รับคำสัญญาใหม่เกี่ยวกับการจัดหาอาวุธจากบรรดาประเทศพันธมิตรในยุโรปเหมือนที่เคยเกิดขึ้นในการประชุมครั้งก่อนๆ แต่พันธมิตรในยุโรปก็ยังยืนยันว่า ยูเครนยังคงอยู่ท่ามกลางเพื่อนๆ เสมอ
เสียงสะท้อนจากสื่อจีน ชี้ NATO ยังคงใช้ ‘ภัยคุกคามจากจีน’ เป็นข้ออ้าง
บทบรรณาธิการของ Global Times ที่ถูกมองเป็นสื่อกระบอกเสียงจีน ได้ตอบโต้และวิพากษ์วิจารณ์ผลลัพธ์สำคัญที่เกิดขึ้นจากการประชุมครั้งนี้ โดยระบุว่า เลขาธิการ NATO ได้ ‘หลอกล่อ’ ให้ประเทศยุโรปยอมใช้จ่ายด้านกลาโหมมากขึ้น เมื่อ ‘ภัยคุกคามจากรัสเซีย’ ไม่เพียงพอ เขาก็หยิบ ‘ภัยคุกคามจากจีน’ ขึ้นมา ทั้งยังกล่าวถึงประเด็นไต้หวันอย่างขาดความรับผิดชอบ และยังโยงจีนกับปัญหาในยูเครนอีกด้วย สิ่งเหล่านี้ไม่เพียงแต่เป็นการขุดหลุมพรางให้ยุโรปเท่านั้น แต่ยังสร้างปัญหาและความปั่นป่วนให้กับโลกด้วย
การเพิ่มงบประมาณกลาโหมจาก 2% เป็น 5% ของ GDP ภายในสิบปี ซึ่งมากกว่าเดิมถึงสองเท่า จะทำให้มีค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นเป็นหลายล้านล้านดอลลาร์ และทำให้ NATO กลายเป็นองค์กรที่มีการใช้จ่ายทางทหารเติบโตเร็วที่สุดในโลก โดยครั้งล่าสุดที่ NATO เรียกร้องให้เพิ่มงบประมาณทางทหารอย่างจริงจังคือปี 2014 หลังรัสเซียผนวกรวมแหลมไครเมีย ทำให้ประเทศยุโรปตะวันออกส่วนใหญ่ตัดสินใจเพิ่มงบกลาโหม คำถามสำคัญคือ ผ่านมา 10 ปี ประเทศเหล่านั้นปลอดภัยขึ้นหรือไม่? คำตอบนี้ชัดเจนอยู่แล้ว ไม่เพียงแต่ยุโรปตะวันออกจะถูกดึงเข้าไปในสงคราม แต่ทั้งยุโรปยังถูกลากเข้าสู่วิกฤตยูเครน และเศรษฐกิจโลกก็ได้รับผลกระทบอย่างมาก ส่วนหนึ่งเป็นเพราะการขยายตัวทางทหารของ NATO อย่างไร้การควบคุม
การกล่าวอ้างว่า จีนมีกองทัพเรือเทียบเท่าสหรัฐฯ หรือจีนจะมีหัวรบนิวเคลียร์ 1,000 ลูกภายในปี 2030 บรรณาธิการของ Global Times ระบุว่า ทั้งหมดเป็นเพียงความพยายามทำให้การแทรกซึมของ NATO เข้าสู่เอเชีย-แปซิฟิกดูมีเหตุผล โดยใช้ภาพความเป็น “ภัยคุกคามจากจีน” เป็นข้ออ้างในการขยายกำลังทหาร NATO และถ้าหาก NATO ยืนกรานขยายบทบาทมาสู่เอเชีย ยิ่งต้องเพิ่มงบประมาณทางทหาร ยุโรปก็จะยิ่งต้องรับภาระทางยุทธศาสตร์มากขึ้น
อีกทั้งยังระบุว่า เหตุผลส่วนหนึ่งที่ 3 ใน 4 ของบรรดาผู้นำประเทศหุ้นส่วนอินโด-แปซิฟิก (IP4) ตัดสินใจไม่เดินทางเข้าร่วมซัมมิทครั้งนี้ ส่วนหนึ่งเพราะกังวลว่าท่ามกลางความวุ่นวายในตะวันออกกลาง การประชุมนี้ ‘อาจกลายเป็นกับดัก’ ประเทศเหล่านี้ไม่ต้องการเข้าไปยุ่งกับความขัดแย้งในตะวันออกกลางหรือถูกบังคับให้เพิ่มงบประมาณกลาโหม
พฤติกรรมที่ไม่แน่นอนของสหรัฐฯ ในช่วงหลัง ทำให้หลายประเทศในยุโรปเห็นว่าควรเสริมสร้างการป้องกันตนเองและลดการพึ่งพาสหรัฐฯ แต่การเพิ่มงบประมาณทางทหารของ NATO อย่างมากกลับขัดแย้งกับแนวทางดังกล่าว พร้อมชี้ว่า ยุคของ NATO จบไปนานแล้ว ภายใต้นโยบาย “อเมริกาต้องมาก่อน” ของทรัมป์ สหรัฐฯ ทำให้ NATO กลายเป็นเครื่องต่อรองทางภูมิรัฐศาสตร์ การจัดสรรงบประมาณกลาโหม 5% ของ GDP เป็นภาระหนักสำหรับยุโรป แต่ก็ยังไม่เพียงพอต่อความต้องการของสหรัฐฯ และจะยิ่งทำให้สหรัฐฯ เรียกร้องมากขึ้น ประเทศยุโรป โดยเฉพาะผู้ที่ไม่ต้องการถูกลากเข้าสู่สงคราม ต้องมีสติและพิจารณาอย่างรอบคอบ
ภาพ: Piroschka Van De Wouw / Reuters
อ้างอิง:
- https://www.bbc.com/news/articles/cvg8pd2y80go
- https://www.bbc.com/news/live/cm2ld0e0rzkt
- https://www.reuters.com/world/europe/zelenskiy-hails-substantive-meeting-with-trump-2025-06-25/
- https://www.france24.com/en/live-news/20250625-sidelined-zelensky-still-gets-trump-face-time-at-nato-summit
- https://www.globaltimes.cn/page/202506/1336995.shtml