บรรดาผู้นำประเทศและผู้นำองค์กรระหว่างประเทศเกือบ 40 ชีวิต เข้าร่วมการประชุมสุดยอดผู้นำ NATO Summit 2025 ซึ่งจัดขึ้นที่เดอะเฮก ประเทศเนเธอร์แลนด์ ระหว่างวันที่ 24-25 มิถุนายน โดยบรรดาผู้นำจะร่วมหารือกันในวันนี้ (25 มิถุนายน) เพื่อรับมือกับความท้าทายต่างๆ ที่เกิดขึ้นในประชาคมโลก
ใครเข้าร่วม Summit ในปีนี้บ้าง
บรรดาผู้นำประเทศสมาชิก NATO ทั้ง 32 ประเทศต่างเข้าร่วมการประชุมในครั้งนี้ โดยเฉพาะ โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา, เคียร์ สตาร์เมอร์ นายกรัฐมนตรีอังกฤษ, เอ็มมานูเอล มาครง ประธานาธิบดีฝรั่งเศส, ฟรีดริช เมอซ์ นายกรัฐมนตรีเยอรมนี รวมถึงมาร์ก รุตเตอ อดีตนายกรัฐมนตรีเนเธอร์แลนด์ เลขาธิการ NATO คนปัจจุบันก็จะทำหน้าที่ประธานการประชุมครั้งนี้เป็นปีแรก หลังเข้ารับตำแหน่งเมื่อช่วงปลายปี 2024
นอกจากนี้ยังมี อัวร์ซูลา ฟอน แดร์ ไลเอิน ประธานคณะกรรมาธิการยุโรป, อันโตนิโอ กอสตา ประธานคณะมนตรียุโรป, คริสโตเฟอร์ ลักซอน นายกรัฐมนตรีนิวซีแลนด์ และโวโลดิเมียร์ เซเลนสกี ประธานาธิบดียูเครน ตอบรับเข้าร่วมการประชุมในครั้งนี้ด้วย ขณะที่ผู้นำประเทศนอกสมาชิก NATO คนอื่นๆ ที่ได้รับเชิญ เช่น แอนโทนี อัลบานีส นายกรัฐมนตรีออสเตรเลีย, ชิเงรุ อิชิบะ นายกรัฐมนตรีญี่ปุ่น และอีแจมยอง ประธานาธิบดีเกาหลีใต้ ไม่เข้าร่วม Summit ในปีนี้
ประเด็นร้อนที่คาดว่าจะหารือกันมีอะไรบ้าง
- ความขัดแย้งระหว่างอิสราเอล-อิหร่าน
ตลอดระยะเวลาเกือบ 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา ทั่วโลกต่างเฝ้าติดตามพัฒนาการของความขัดแย้งระหว่างอิสราเอล-อิหร่านที่เปิดฉากขึ้น หลังกองทัพอิสราเอลเปิดปฏิบัติการโจมตีโครงการนิวเคลียร์และโครงสร้างทางทหารของอิหร่านโดยตรง ตั้งแต่วันที่ 13 มิถุนายนที่ผ่านมา ก่อนที่ทรัมป์จะมีคำสั่งให้กองทัพสหรัฐฯ เปิดปฏิบัติการ ‘Midnight Hammer’ เมื่อช่วงค่ำวันที่ 21 มิถุนายน ตามเวลาท้องถิ่นสหรัฐฯ เพื่อโจมตีโครงการนิวเคลียร์ที่สำคัญ 3 แห่งของอิหร่าน และผลักดันให้เกิดการเจรจาหยุดยิงของทั้งสองฝ่าย แม้อิหร่านจะยืนยันมาโดยตลอดว่า โครงการนิวเคลียร์ของตนเป็นไปในเชิงสันติและเพื่อการพัฒนาประเทศ
โฆษกจากรัฐบาลเยอรมนีเปิดเผยเมื่อช่วงปลายสัปดาห์ที่ผ่านมาว่า สมาชิก NATO จะพูดถึงความขัดแย้งนี้ในที่ประชุม ขณะที่รัฐบาลเยอรมนี ฝรั่งเศส และสหราชอาณาจักรก็ได้หารือกับ อับบาส อารัคชี รัฐมนตรีต่างประเทศอิหร่านที่เมืองเจนีวา ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ เพื่อหาทางหลีกเลี่ยงการขยายตัวของสงครามในตะวันออกกลาง แม้ทรัมป์จะประกาศว่า ข้อตกลงหยุดยิงระหว่างอิสราเอล-อิหร่านจะมีผลบังคับใช้แล้ว แต่สถานการณ์ความรุนแรงอาจปะทุขึ้นใหม่ได้ทุกเมื่อ
- สงครามรัสเซีย-ยูเครน
สงครามในยูเครนเป็นประเด็นสำคัญของที่ประชุม NATO ตั้งแต่ปี 2022 ซึ่งสมาชิกแต่ละประเทศต่างมองว่า การรุกรานของรัสเซียเป็นภัยคุกคามที่ใหญ่ที่สุดของพวกเขา และ NATO ควรมีบทบาทสำคัญในการสนับสนุนยูเครนในการต่อต้านรัสเซีย โดย NATO Summit 2024 ที่กรุงวอชิงตัน ดี.ซี. สหรัฐอเมริกา พันธมิตร NATO ประกาศว่า “อนาคตของยูเครนอยู่ใน NATO” และสัญญาจะให้ความช่วยเหลือด้านความมั่นคงระยะยาว โดยมีเงินสนับสนุนอย่างน้อย 50,000 ล้านยูโรต่อปี
แม้ว่ายูเครนจะไม่ใช่สมาชิกของ NATO แต่ยูเครนก็มุ่งหวังที่จะเข้าเป็นสมาชิก NATO มาอย่างยาวนาน โดยยูเครนหวังจะได้รับประโยชน์จาก มาตรการ 5 ของสนธิสัญญา NATO ซึ่งเป็นหลักการที่สำคัญที่สุดที่มีเนื้อหาว่า หากประเทศสมาชิกหนึ่งถูกโจมตีหรือถูกทำร้ายจากการกระทำของภายนอก จะถือว่าเป็นการโจมตีสมาชิก NATO ทั้งหมดและสมาชิก NATO ทุกประเทศจะต้องช่วยกันป้องกันประเทศที่ถูกโจมตี โดยการตอบโต้ทางทหารเป็นไปตามความเหมาะสม
อย่างไรก็ตาม การเป็นสมาชิกของยูเครนใน NATO เป็นประเด็นสำคัญสำหรับรัสเซีย และเป็นหนึ่งในเหตุผลที่รัสเซียอ้างเพื่อเริ่มต้นสงคราม เนื่องจากรัสเซียมองว่า ยูเครนเปรียบเสมือนหลังบ้านของตน การขยายตัวของ NATO เข้ามาประชิดพรมแดนรัสเซียจึงเป็นสิ่งที่ไม่สามารถยอมรับได้
สงครามรัสเซีย-ยูเครนกำลังเข้าสู่ปีที่ 4 แต่ยังไม่มีแนวโน้มว่า ทั้งสองประเทศจะสามารถหาข้อยุติในความขัดแย้งครั้งนี้ได้ แม้ทรัมป์จะพยายามเข้ามาเป็นตัวกลางในการเจรจาระหว่างเซเลนสกี กับวลาดิเมียร์ ปูติน ประธานาธิบดีรัสเซีย แต่ก็ยังไม่มีผลลัพธ์ที่เป็นรูปธรรม ทำให้สมาชิก NATO ต้องเดินหน้าหาแนวทางสนับสนุนยูเครนในสนามรบต่อไป
- การเพิ่มงบกลาโหม
เมื่อปี 2023 บรรดาผู้นำ NATO ได้ตกลงที่จะเพิ่มงบกลาโหมให้ไม่น้อยกว่า 2% ของ GDP ภายในปี 2024 ซึ่งเพิ่มขึ้นจากระดับเดิมที่ 1.5% อย่างไรก็ตาม มีหลายประเทศสมาชิกที่ไม่สามารถบรรลุเป้าหมายนี้ได้ในปีที่ผ่านมา เช่น แคนาดา อิตาลี สเปน และโปรตุเกส
พันธมิตรของ NATO ยังถูกวิพากษ์วิจารณ์จากรัฐบาลทรัมป์ 2.0 ที่มองว่า NATO พึ่งพาการเงินจากสหรัฐฯ ‘มากเกินไป’ และได้เรียกร้องให้ประเทศอื่นๆ เพิ่มการใช้จ่ายในงบกลาโหมเป็น 5% ของ GDP โดยปัจจุบันสหรัฐฯ มีส่วนร่วมในการใช้จ่ายประจำปีของ NATO อยู่ที่ 15.8% จากการใช้จ่ายทั้งหมด 3.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งทรัมป์ยังคงตั้งคำถามว่า NATO ควรปกป้องประเทศที่ไม่ลงเงินในงบประมาณทางทหารอย่างเพียงพอหรือไม่
แรงกดดันจากทรัมป์และรัฐบาลสหรัฐฯ ทำให้รุตเตอเตรียมขอให้ประเทศสมาชิกตั้งเป้าหมายใหม่ในการใช้จ่ายงบประมาณทางการป้องกันที่ 5% ของ GDP ภายในปี 2032 โดยประมาณ 1.5% ของงบนั้นจะต้องนำไปใช้สำหรับการใช้จ่ายในโครงสร้างพื้นฐานและความมั่นคงไซเบอร์ ซึ่งมีสมาชิกบางประเทศ เช่น สเปน เริ่มคัดค้านแนวทางดังกล่าว
นอกจากนี้รุตเตอยังเรียกร้องให้สมาชิก NATO เพิ่มการผลิตอาวุธและระบบป้องกันให้มากยิ่งขึ้น เพื่อรับมือกับความท้าทายด้านความมั่นคงต่างๆ โดยสหราชอาณาจักรเป็นหนึ่งในประเทศที่ประกาศแผนการเตรียมความพร้อมด้านการป้องกัน และจัดการกับภัยสงคราม ซึ่งจะเพิ่มงบกลาโหมจาก 2.3% มาเป็น 2.5% ภายในปี 2027 และอาจเพิ่มเป็น 3% ในช่วงหลังปี 2029
- ผู้นำยุโรปกับบทบาทนำใน NATO
บรรดาประเทศสมาชิกในยุโรปกำลังมองหาบทบาทผู้นำที่แข็งแกร่งมากขึ้น หากทรัมป์ตัดสินใจหันหลังให้กับ NATO ในอนาคต ซึ่งความไม่แน่นอนนี้ทำให้ผู้นำสหราชอาณาจักร ฝรั่งเศส เยอรมนี และอีกหลายประเทศ เริ่มหารือว่าจะรับมืออย่างไร หากทรัมป์พาสหรัฐฯ ถอนตัวหรือรักษาระยะห่างจาก NATO
แม้ว่าทรัมป์จะยังไม่ประกาศอย่างเป็นทางการ แต่ท่าทีของรัฐบาลทรัมป์ 2.0 ที่ไม่พอใจการทำงานของสมาชิก NATO ทำให้ผู้นำยุโรปเริ่มตระหนักถึงความเสี่ยงนี้ ในการประชุมครั้งนี้อาจมีการพูดถึงข้อเสนอจากผู้นำยุโรปว่าจะมีแผนสร้างหลักประกันความมั่นคงอย่างไร โดยไม่พึ่งพาสหรัฐฯ มากเกินไป
โดยมีการคาดการณ์ว่าสหรัฐฯ ใช้จ่ายด้านกลาโหมราว 3.19% ของ GDP ในปี 2024 ซึ่งลดลงจาก 3.68% ในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา เมื่อทุกประเทศสมาชิกเคยให้คำมั่นว่าจะเพิ่มการใช้จ่าย หลังจากที่รัสเซียผนวกแหลมไครเมียของยูเครนในปี 2014 ซึ่งอาจจะต้องใช้เวลา 5-10 ปีในการเพิ่มการใช้จ่ายของบรรดาประเทศในยุโรป เพื่อทดแทนความสามารถและแรงสนับสนุนของสหรัฐฯ ในปัจจุบัน
ภาพ: Haiyun Jiang / Pool via Reuters
อ้างอิง: