วานนี้ (6 มีนาคม) ผู้นำ 27 ประเทศสมาชิกสหภาพยุโรป พร้อมด้วย โวโลดิเมียร์ เซเลนสกี ประธานาธิบดีของยูเครน ร่วมการประชุมสุดยอดผู้นำสหภาพยุโรปวาระพิเศษที่กรุงบรัสเซลส์ ประเทศเบลเยียม
โดยวาระหลักของการประชุมครั้งนี้ คือการเพิ่มงบใช้จ่ายในการป้องกันตนเองของสมาชิก EU และเพิ่มการสนับสนุนและการรับประกันสันติภาพที่ยั่งยืนแก่ยูเครน ท่ามกลางความไม่แน่นอนจากท่าทีของสหรัฐฯ ภายใต้การนำของ โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดี ที่หันไปพูดคุยกับรัสเซียและเริ่มถอยห่างออกจากยุโรปและยูเครน
และนี่คือสิ่งที่เกิดขึ้นจากการประชุมครั้งนี้
เพิ่มงบป้องกันยุโรปครั้งใหญ่
หนึ่งในผลลัพธ์ที่สำคัญจากการประชุม คือการที่ผู้นำยุโรปให้คำมั่นในการเพิ่มงบประมาณด้านกลาโหมครั้งใหญ่ ซึ่งสะท้อนความพยายามลดการพึ่งพาการสนับสนุนจากสหรัฐฯ และแสดงให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในทางภูมิรัฐศาสตร์ที่เป็นผลจากท่าทีของ โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดี ซึ่งเน้นย้ำความมั่นคงของสหรัฐฯ เป็นหลัก และลดบทบาทและความร่วมมือในการช่วยปกป้องประเทศยุโรปที่มีมายาวนานตั้งแต่หลังสงครามโลกครั้งที่ 2
อัวร์ซูลา ฟอน แดร์ ไลเอิน (Ursula von der Leyen) ประธานคณะกรรมาธิการยุโรป กล่าวหลังการประชุมว่า ยูเครนและยุโรปได้มาถึง “จุดเปลี่ยนสำคัญ” โดยกำลังเผชิญกับอันตรายที่ชัดเจนและใกล้ตัว ดังนั้นยุโรปจึงต้องสามารถปกป้องตัวเองได้ และต้องทำให้ยูเครนอยู่ในตำแหน่งที่จะปกป้องตัวเองได้ และผลักดันให้เกิดสันติภาพที่ยั่งยืนและยุติธรรม
บรรดาผู้นำ EU ยังแสดงความชื่นชมข้อเสนอของคณะกรรมาธิการยุโรป ในการผ่อนปรนข้อจำกัดทางการคลังเพื่อการใช้จ่ายด้านการป้องกันประเทศ และให้เงินกู้ 150,000 ล้านยูโร (ราว 162,000 ล้านดอลลาร์) สำหรับการลงทุนด้านกลาโหมในส่วนที่อาจเป็นประโยชน์ต่อการป้องกันประเทศของสหภาพยุโรปโดยรวม
อย่างไรก็ตาม ข้อเสนอของคณะกรรมาธิการยุโรป ยังไม่แน่ชัดว่าจะก่อให้เกิดประโยชน์ในระยะสั้นได้อย่างไร เนื่องจากค่าใช้จ่ายด้านการป้องกันประเทศที่เพิ่มขึ้น ส่วนใหญ่จะต้องมาจากงบประมาณของประเทศในช่วงเวลาที่หลายประเทศ EU ต่างมีภาระหนี้เกินตัวอยู่แล้ว
EU สนับสนุนยูเครน ยกเว้นฮังการี
แถลงการณ์ร่วมของผู้นำ EU ยังแสดงจุดยืนในการสนับสนุนยูเครน โดยได้รับความเห็นชอบจาก 26 ประเทศสมาชิก ยกเว้นฮังการี
โดย วิกเตอร์ ออร์บาน นายกรัฐมนตรีของฮังการี ซึ่งสนับสนุนทรัมป์และถือเป็นพันธมิตรที่ใกล้ชิดที่สุดของ วลาดิเมียร์ ปูติน ในยุโรป ปฏิเสธที่จะรับรองส่วนหนึ่งของแถลงการณ์ ที่ระบุว่าจะไม่มีการเจรจาเกี่ยวกับยูเครนหากไม่มียูเครนเข้าร่วม และให้คำมั่นว่า EU จะให้ความช่วยเหลือยูเครนต่อไป
ด้านประธานาธิบดีเซเลนสกีแสดงความขอบคุณผู้นำ EU ที่ยืนหยัดเคียงข้างยูเครน โดยเขาชี้ว่านี่คือสิ่งสำคัญที่แสดงให้เห็นว่ายูเครนไม่ได้ต่อสู้กับการรุกรานของรัสเซียเพียงลำพัง
“มันสำคัญมากที่คุณได้ส่งสัญญาณที่ชัดเจนไปยังประชาชนยูเครน”
ขณะที่ โอลาฟ โชลซ์ นายกรัฐมนตรีเยอรมนี ย้ำว่า “สิ่งสำคัญคือต้องแน่ใจว่ายูเครนจะไม่ต้องยอมรับสันติภาพที่ถูกบีบบังคับ แต่ต้องเป็นสันติภาพที่ยุติธรรม ซึ่งรับรองอำนาจอธิปไตยและเอกราชของยูเครน”
ทั้งนี้ เซเลนสกียังเปิดเผยว่า ในสัปดาห์หน้าจะมีการจัดการเจรจาระหว่างยูเครนและสหรัฐฯ เกี่ยวกับการยุติสงครามขึ้นที่ซาอุดีอาระเบีย โดยเขาจะเดินทางไปยังซาอุดีอาระเบียในวันที่ 10 มีนาคม เพื่อพบกับมกุฎราชกุมารโมฮัมเหม็ด บิน ซัลมาน นายกรัฐมนตรีแห่งซาอุดีอาระเบีย และทีมงานของเขาจะอยู่ต่อเพื่อหารือกับเจ้าหน้าที่ของสหรัฐฯ
ใช้อาวุธนิวเคลียร์คุ้มครองพันธมิตรยุโรป
อีกประเด็นสำคัญคือข้อเสนอจาก เอ็มมานูเอล มาครง ประธานาธิบดีของฝรั่งเศส ที่เสนอให้ขยายขอบเขตการคุ้มครองให้กับพันธมิตรในยุโรป ด้วยการป้องปรามด้วยอาวุธนิวเคลียร์ (Nuclear Deterrent) ในกรณีที่เผชิญกับภัยคุกคามจากรัสเซีย
โดยก่อนเข้าร่วมการประชุม มาครงยังได้แถลงผ่านทางโทรทัศน์ เตือนว่าทวีปยุโรปกำลังอยู่ในช่วงจุดเปลี่ยนแห่งประวัติศาสตร์ และยืนยันว่ายุโรปต้องมีแผนสันติภาพระยะยาวและต้องเสริมอาวุธเพื่อป้องกันตนเองให้ดียิ่งขึ้น พร้อมทั้งย้ำว่ารัสเซียเป็นภัยคุกคามของฝรั่งเศสและยุโรป
อย่างไรก็ตาม ผู้นำ EU มีทั้งที่เห็นด้วยและไม่เห็นด้วยกับแนวคิดดังกล่าว โดยโปแลนด์และประเทศแถบบอลติกสนับสนุนข้อเสนอของมาครง ในขณะที่ผู้นำบางประเทศก็สนับสนุน แต่แสดงความกังวลเกี่ยวกับความซับซ้อนของนโยบายนิวเคลียร์ภายใน EU
โอลาฟ โชลซ์ แสดงความกังวลต่อข้อเสนอของมาครง โดยเน้นย้ำถึงระบบการยับยั้งการโจมตีที่มีอยู่ของ NATO และสนับสนุนให้เพิ่มการใช้จ่ายด้านการป้องกันประเทศในยุโรปแทน
เตือนมาครง ระวังบทเรียนนโปเลียน
ปูตินตอบกลับข้อเสนอของมาครง โดยกล่าวว่า “ยังมีคนที่ต้องการกลับไปสู่ยุคของนโปเลียน โดยลืมไปว่ายุคนั้นจบลงอย่างไร” ซึ่งหมายถึงความพ่ายแพ้ในการสู้รบที่จักรพรรดินโปเลียน โบนาปาร์ต แห่งฝรั่งเศส เผชิญในรัสเซียเมื่อปี 1812
ขณะที่ เซอร์เกย์ ลาฟรอฟ รัฐมนตรีต่างประเทศรัสเซีย มองว่าข้อเสนอของมาครงเป็นภัยคุกคามต่อรัสเซีย
ส่วน ดมิทรี เมดเวเดฟ อดีตประธานาธิบดี ตอบโต้มาครงโดยล้อเลียนส่วนสูงของเขาและเรียกเขาว่า “ไมครอน” โดยกล่าวว่า “ไมครอนเองก็ไม่ได้เป็นภัยคุกคามร้ายแรงอะไร เขาจะหายตัวไปตลอดกาลไม่เกินวันที่ 14 พฤษภาคม 2027 และจะไม่มีใครคิดถึงเขา” ซึ่งคาดว่าเป็นวันที่จะมีการจัดเลือกตั้งประธานาธิบดีฝรั่งเศสครั้งต่อไป
ภาพ: Stephanie Lecocq / Reuters
อ้างอิง:
- https://www.aljazeera.com/news/2025/3/6/key-takeaways-from-europes-emergency-summit-on-ukraine
- https://www.dw.com/en/ukraine-updates-eu-leaders-back-new-defense-spending-plans/live-71840506
- https://apnews.com/article/eu-europe-defense-trump-ukraine-germany-france-e4362b1107c3b41c026147466dd582ce
- https://www.reuters.com/world/europe/eu-leaders-back-defence-surge-support-zelenskiy-after-us-aid-freeze-2025-03-06/