×

‘เพิ่มงบทหาร-ใช้นิวเคลียร์ป้องปราม’ สรุปประชุมฉุกเฉินผู้นำ EU ย้ำจุดยืนหนุนยูเครน

07.03.2025
  • LOADING...

วานนี้ (6 มีนาคม) ผู้นำ 27 ประเทศสมาชิกสหภาพยุโรป พร้อมด้วย โวโลดิเมียร์ เซเลนสกี ประธานาธิบดีของยูเครน ร่วมการประชุมสุดยอดผู้นำสหภาพยุโรปวาระพิเศษที่กรุงบรัสเซลส์ ประเทศเบลเยียม 

 

โดยวาระหลักของการประชุมครั้งนี้ คือการเพิ่มงบใช้จ่ายในการป้องกันตนเองของสมาชิก EU และเพิ่มการสนับสนุนและการรับประกันสันติภาพที่ยั่งยืนแก่ยูเครน ท่ามกลางความไม่แน่นอนจากท่าทีของสหรัฐฯ ภายใต้การนำของ โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดี ที่หันไปพูดคุยกับรัสเซียและเริ่มถอยห่างออกจากยุโรปและยูเครน

 

และนี่คือสิ่งที่เกิดขึ้นจากการประชุมครั้งนี้

 

เพิ่มงบป้องกันยุโรปครั้งใหญ่

 

หนึ่งในผลลัพธ์ที่สำคัญจากการประชุม คือการที่ผู้นำยุโรปให้คำมั่นในการเพิ่มงบประมาณด้านกลาโหมครั้งใหญ่ ซึ่งสะท้อนความพยายามลดการพึ่งพาการสนับสนุนจากสหรัฐฯ และแสดงให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในทางภูมิรัฐศาสตร์ที่เป็นผลจากท่าทีของ โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดี ซึ่งเน้นย้ำความมั่นคงของสหรัฐฯ เป็นหลัก และลดบทบาทและความร่วมมือในการช่วยปกป้องประเทศยุโรปที่มีมายาวนานตั้งแต่หลังสงครามโลกครั้งที่ 2

 

อัวร์ซูลา ฟอน แดร์ ไลเอิน (Ursula von der Leyen) ประธานคณะกรรมาธิการยุโรป กล่าวหลังการประชุมว่า ยูเครนและยุโรปได้มาถึง “จุดเปลี่ยนสำคัญ” โดยกำลังเผชิญกับอันตรายที่ชัดเจนและใกล้ตัว ดังนั้นยุโรปจึงต้องสามารถปกป้องตัวเองได้ และต้องทำให้ยูเครนอยู่ในตำแหน่งที่จะปกป้องตัวเองได้ และผลักดันให้เกิดสันติภาพที่ยั่งยืนและยุติธรรม

 

บรรดาผู้นำ EU ยังแสดงความชื่นชมข้อเสนอของคณะกรรมาธิการยุโรป ในการผ่อนปรนข้อจำกัดทางการคลังเพื่อการใช้จ่ายด้านการป้องกันประเทศ และให้เงินกู้ 150,000 ล้านยูโร (ราว 162,000 ล้านดอลลาร์) สำหรับการลงทุนด้านกลาโหมในส่วนที่อาจเป็นประโยชน์ต่อการป้องกันประเทศของสหภาพยุโรปโดยรวม

 

อย่างไรก็ตาม ข้อเสนอของคณะกรรมาธิการยุโรป ยังไม่แน่ชัดว่าจะก่อให้เกิดประโยชน์ในระยะสั้นได้อย่างไร เนื่องจากค่าใช้จ่ายด้านการป้องกันประเทศที่เพิ่มขึ้น ส่วนใหญ่จะต้องมาจากงบประมาณของประเทศในช่วงเวลาที่หลายประเทศ EU ต่างมีภาระหนี้เกินตัวอยู่แล้ว

 

EU สนับสนุนยูเครน ยกเว้นฮังการี 

 

แถลงการณ์ร่วมของผู้นำ EU ยังแสดงจุดยืนในการสนับสนุนยูเครน โดยได้รับความเห็นชอบจาก 26 ประเทศสมาชิก ยกเว้นฮังการี 

 

โดย วิกเตอร์ ออร์บาน นายกรัฐมนตรีของฮังการี ซึ่งสนับสนุนทรัมป์และถือเป็นพันธมิตรที่ใกล้ชิดที่สุดของ วลาดิเมียร์ ปูติน ในยุโรป ปฏิเสธที่จะรับรองส่วนหนึ่งของแถลงการณ์ ที่ระบุว่าจะไม่มีการเจรจาเกี่ยวกับยูเครนหากไม่มียูเครนเข้าร่วม และให้คำมั่นว่า EU จะให้ความช่วยเหลือยูเครนต่อไป

 

ด้านประธานาธิบดีเซเลนสกีแสดงความขอบคุณผู้นำ EU ที่ยืนหยัดเคียงข้างยูเครน โดยเขาชี้ว่านี่คือสิ่งสำคัญที่แสดงให้เห็นว่ายูเครนไม่ได้ต่อสู้กับการรุกรานของรัสเซียเพียงลำพัง

 

“มันสำคัญมากที่คุณได้ส่งสัญญาณที่ชัดเจนไปยังประชาชนยูเครน”

 

ขณะที่ โอลาฟ โชลซ์ นายกรัฐมนตรีเยอรมนี ย้ำว่า “สิ่งสำคัญคือต้องแน่ใจว่ายูเครนจะไม่ต้องยอมรับสันติภาพที่ถูกบีบบังคับ แต่ต้องเป็นสันติภาพที่ยุติธรรม ซึ่งรับรองอำนาจอธิปไตยและเอกราชของยูเครน”

 

ทั้งนี้ เซเลนสกียังเปิดเผยว่า ในสัปดาห์หน้าจะมีการจัดการเจรจาระหว่างยูเครนและสหรัฐฯ เกี่ยวกับการยุติสงครามขึ้นที่ซาอุดีอาระเบีย โดยเขาจะเดินทางไปยังซาอุดีอาระเบียในวันที่ 10 มีนาคม เพื่อพบกับมกุฎราชกุมารโมฮัมเหม็ด บิน ซัลมาน นายกรัฐมนตรีแห่งซาอุดีอาระเบีย และทีมงานของเขาจะอยู่ต่อเพื่อหารือกับเจ้าหน้าที่ของสหรัฐฯ

 

ใช้อาวุธนิวเคลียร์คุ้มครองพันธมิตรยุโรป

 

อีกประเด็นสำคัญคือข้อเสนอจาก เอ็มมานูเอล มาครง ประธานาธิบดีของฝรั่งเศส ที่เสนอให้ขยายขอบเขตการคุ้มครองให้กับพันธมิตรในยุโรป ด้วยการป้องปรามด้วยอาวุธนิวเคลียร์ (Nuclear Deterrent) ในกรณีที่เผชิญกับภัยคุกคามจากรัสเซีย 

 

โดยก่อนเข้าร่วมการประชุม มาครงยังได้แถลงผ่านทางโทรทัศน์ เตือนว่าทวีปยุโรปกำลังอยู่ในช่วงจุดเปลี่ยนแห่งประวัติศาสตร์ และยืนยันว่ายุโรปต้องมีแผนสันติภาพระยะยาวและต้องเสริมอาวุธเพื่อป้องกันตนเองให้ดียิ่งขึ้น พร้อมทั้งย้ำว่ารัสเซียเป็นภัยคุกคามของฝรั่งเศสและยุโรป

 

อย่างไรก็ตาม ผู้นำ EU มีทั้งที่เห็นด้วยและไม่เห็นด้วยกับแนวคิดดังกล่าว โดยโปแลนด์และประเทศแถบบอลติกสนับสนุนข้อเสนอของมาครง ในขณะที่ผู้นำบางประเทศก็สนับสนุน แต่แสดงความกังวลเกี่ยวกับความซับซ้อนของนโยบายนิวเคลียร์ภายใน EU

 

โอลาฟ โชลซ์ แสดงความกังวลต่อข้อเสนอของมาครง โดยเน้นย้ำถึงระบบการยับยั้งการโจมตีที่มีอยู่ของ NATO และสนับสนุนให้เพิ่มการใช้จ่ายด้านการป้องกันประเทศในยุโรปแทน

 

เตือนมาครง ระวังบทเรียนนโปเลียน

 

ปูตินตอบกลับข้อเสนอของมาครง โดยกล่าวว่า “ยังมีคนที่ต้องการกลับไปสู่ยุคของนโปเลียน โดยลืมไปว่ายุคนั้นจบลงอย่างไร” ซึ่งหมายถึงความพ่ายแพ้ในการสู้รบที่จักรพรรดินโปเลียน โบนาปาร์ต แห่งฝรั่งเศส เผชิญในรัสเซียเมื่อปี 1812

 

ขณะที่ เซอร์เกย์ ลาฟรอฟ รัฐมนตรีต่างประเทศรัสเซีย มองว่าข้อเสนอของมาครงเป็นภัยคุกคามต่อรัสเซีย 

 

ส่วน ดมิทรี เมดเวเดฟ อดีตประธานาธิบดี ตอบโต้มาครงโดยล้อเลียนส่วนสูงของเขาและเรียกเขาว่า “ไมครอน” โดยกล่าวว่า “ไมครอนเองก็ไม่ได้เป็นภัยคุกคามร้ายแรงอะไร เขาจะหายตัวไปตลอดกาลไม่เกินวันที่ 14 พฤษภาคม 2027 และจะไม่มีใครคิดถึงเขา” ซึ่งคาดว่าเป็นวันที่จะมีการจัดเลือกตั้งประธานาธิบดีฝรั่งเศสครั้งต่อไป

 

ภาพ: Stephanie Lecocq / Reuters

อ้างอิง:

  • LOADING...

READ MORE






Latest Stories

Close Advertising