×

A Complete Unknown (2024) อัจฉริยะกับความไม่น่ารัก

28.02.2025
  • LOADING...
a-complete-unknown-2024

HIGHLIGHTS

  • สิ่งที่หนัง A Complete Unknown ของ James Mangold (Walk the Line, Logan, Ford v Ferrari, ฯลฯ) พยายามสำรวจและค้นหาวนเวียนอยู่กับคำถามที่ว่า Bob Dylan คือใคร ตัวตนแท้จริงเป็นอย่างไร เพราะขณะที่ใครๆ ก็สามารถค้นหาข้อมูลเบื้องต้น ตลอดจนชีวประวัติของ Bob Dylan ในฐานะ นักร้อง/นักแต่งเพลง/กวี/ผู้รับรางวัลโนเบลสาขาวรรณกรรม จากเว็บไซต์อย่างวิกิพีเดียได้เหมือนๆ กัน แต่ตื้นลึกหนาบางของบุคลิกนี้ก็เป็นอย่างที่ชื่อหนังจั่วไว้ เขาเป็นใครก็ไม่รู้ จะเรียกว่ามืดแปดด้านก็น่าจะได้

 

  • Bob Dylan ตัวจริงเคยให้สัมภาษณ์ในรายการ 60 Minutes ของช่อง CBS ทำนองว่าเขาเปลี่ยนชื่อเรียกมาหลายชื่อ และโดยที่ไม่ได้คิดว่าเป็นเรื่องสลักสำคัญ เมื่อถูกถามว่าทำไมถึงใช้ชื่อ Bob Dylan เจ้าตัวบอกแบบกวนๆทำนองว่า ‘คนเราเรียกตัวเองอย่างที่อยากจะเรียก เพราะที่นี่คือดินแดนแห่งเสรีภาพ’ และ ‘เขาไม่เคยนึกถึงตัวเองในชื่อเดิม Robert Zimmanman มาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว’

 

  • ประเด็นที่สมควรอภิปรายต่อเนื่องก็คือ อะไรที่นำพาให้ทั้งบรรดาผู้คนที่รายล้อม Bob Dylan ไปจนถึงพวกเราคนดู ต้องแคร์ตัวละครนี้ ผู้ซึ่งตามที่หนังของ Mangold นำเสนอ หาความน่ารักแทบไม่ได้ คำตอบก็ง่ายดายมาก เพราะเขาคือคนที่เขียนบทเพลงที่ไพเราะเพราะพริ้ง ถ้อยคำและท่วงทำนองของแต่ละบทเพลงก็ทั้งคมคายและสละสลวยราวบทกวี หรือจริงๆ แล้ว มันก็คือบทกวีนั่นเอง

อย่างที่แฟนเพลงของ Bob Dylan รับรู้รับทราบ ชื่อหนัง A Complete Unknown ของ James Mangold หยิบยืมมาจากท่อนหนึ่งของซิงเกิล Like a Rolling Stone ที่วางจำหน่ายในปี 1965 ซึ่งในเชิงประวัติศาสตร์ เพลงเพลงนี้เป็นเหมือนจุดหักเหและพลิกผันบนเส้นทางดนตรีของ Bob Dylan อย่างมีนัยสำคัญ จะเรียกว่าเป็นการสิ้นสุดของช่วงชีวิตหนึ่ง และการเริ่มต้นของอีกช่วงชีวิตหนึ่งก็น่าจะได้ อีกทั้งคนทำหนังก็ใช้เพลงนี้เป็นเสมือนปมสำคัญของหนังทั้งเรื่อง แต่ไม่ว่าจะอย่างไร ข้อที่ควรระบุก่อนเพื่อนก็คือ A Complete Unknown เป็นชื่อหนังที่ตั้งได้ล้ำลึกจริงๆ

 

 A Complete Unknown (2024) อัจฉริยะกับความไม่น่ารัก

 

หรือพูดอย่างย่นย่อ สิ่งที่หนังของ James Mangold (Walk the Line, Logan, Ford v Ferrari, ฯลฯ) พยายามสำรวจและค้นหาวนเวียนอยู่กับคำถามที่ว่า Bob Dylan คือใคร ตัวตนแท้จริงเป็นอย่างไร เพราะขณะที่ใครๆก็สามารถค้นหาข้อมูลเบื้องต้น ตลอดจนชีวประวัติของ Bob Dylan ในฐานะ นักร้อง/นักแต่งเพลง/กวี/ผู้รับรางวัลโนเบลสาขาวรรณกรรม จากเว็บไซต์อย่างวิกิพีเดียได้เหมือนๆ กัน แต่ตื้นลึกหนาบางของบุคลิกนี้ก็เป็นอย่างที่ชื่อหนังจั่วไว้ เขาเป็นใครก็ไม่รู้ จะเรียกว่ามืดแปดด้านก็น่าจะได้ กระทั่งกล่าวได้ว่าแม้แต่คนรอบข้างก็หยั่งไม่ถึงก้นบึ้งของตัวละคร (ฉากหนึ่งของหนังถึงให้เห็นว่าแฟนสาวของเขาซึ่งใช้เวลาด้วยกันมาสักพัก ถึงกับพูดออกมาตรงๆ ว่าเธอแทบจะไม่รู้อะไรเกี่ยวกับตัวเขาเลย) หรือว่ากันตามจริง ชื่อเรียกของเขาก็ยังไม่ตรงปกด้วยซ้ำ ในตอนเริ่มต้น ตัวละครนี้แนะนำตัวเองว่าชื่อ Bobby หรือ Bob Dylan (ซึ่งน่าสงสัยว่า มันอาจจะเป็นชื่อที่ถูกคิดขึ้นมาสดๆ ร้อนๆ) แต่ในอีกราวครึ่งชั่วโมงต่อมา เราก็ได้รู้ชื่อจริงของเขาจากพัสดุที่บุรุษไปรษณีย์มาส่งว่าเขาชื่อ Robert Zimmerman

 

สมมติว่าจะหมายเหตุสักเล็กน้อย Bob Dylan ตัวจริงเคยให้สัมภาษณ์ในรายการ 60 Minutes ของช่อง CBS ทำนองว่าเขาเปลี่ยนชื่อเรียกมาหลายชื่อ และโดยที่ไม่ได้คิดว่าเป็นเรื่องสลักสำคัญ เมื่อถูกถามว่าทำไมถึงใช้ชื่อ Bob Dylan เจ้าตัวบอกแบบกวนๆ ทำนองว่า ‘คนเราเรียกตัวเองอย่างที่อยากจะเรียก เพราะที่นี่คือดินแดนแห่งเสรีภาพ’ และ ‘เขาไม่เคยนึกถึงตัวเองในชื่อเดิม Robert Zimmanman มาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว’

 

 A Complete Unknown (2024) อัจฉริยะกับความไม่น่ารัก

 

แต่ถ้าหากใครคาดหวังว่าหนังเรื่อง A Complete Unknown จะสามารถไขปริศนาตัวละครนี้ได้ทะลุปรุโปร่งก็อาจจะเป็นการร้องขอมากเกินไป เพราะหลังจากดูหนังจบ ใครลองเหลือบขึ้นไปมองชื่อหนังอีกครั้ง วลีเดียวกันนี้ก็อาจจะฟังเหมือนกับการยกธงขาวยอมแพ้ได้เหมือนกัน จนบางครั้งก็ชวนให้นึกสงสัยว่า เราไม่มีทางรู้จักตัวละครนี้อย่างลึกซึ้งถ่องแท้ หรือว่ามันไม่มีอะไรให้เราได้รู้จักตัวละครนี้นอกจากสิ่งที่เขาแสดงให้เห็นหรือประกอบสร้างเบื้องหน้าเท่านั้น 

 

อีกทั้งวิธีการที่คนทำหนังเลือกจับจ้องตัวละครก็มีลักษณะก้ำกึ่ง คาบลูกคาบดอกและคลุมเครือ และดูเหมือนว่าระหว่างพวกเราคนดูกับตัวละคร ถูกคั่นไว้ด้วยระยะห่างหรือพื้นที่ที่มองไม่เห็น ที่แน่ๆ หนังไม่พยายามจะอธิบายตื้นลึกหนาบางของตัวละคร หรือชวนคนดูไปสอดส่องปมทางจิตในแบบที่หนังแนวศึกษาบุคลิกตัวละครชอบทำ ทั้งหมดทั้งมวลก็ยิ่งทำให้ดีกรีความน่าฉงนสนเท่ห์ของตัวละครเพิ่มขึ้นทบทวี

 

 A Complete Unknown (2024) อัจฉริยะกับความไม่น่ารัก

 

แต่ก็อีกนั่นแหละ ข้อมูลที่หนังไล่ลำดับให้คนดูได้ปะติดปะต่อเชื่อมโยงก็นับว่าหนักแน่นเพียงพอที่เราจะสรุปได้ว่า Dylan (Thimothée Chalamet ในบทบาทการแสดงที่น่าทึ่ง นั่นรวมถึงการร้องและเล่นกีตาร์ด้วยตัวเอง) เป็นคนจำพวกมองเห็นตัวเองเป็นศูนย์กลางจักรวาล เป็นนักฉวยโอกาส คนที่ยโสโอหังและที่แน่ๆ ปากหมา ซึ่งจะว่าไปแล้ว ก็เป็นเรื่องสมเหตุสมผลที่ Joan Baez (Monica Barbaro) นักร้อง/นักแต่งเพลงชื่อดัง และเป็นหนึ่งในคนรักของ Dylan จะเรียกเขาตรงๆ ว่า ‘asshole’ ซึ่งแปลเป็นภาษาไทยเบาะๆ ก็คงราวๆ ‘ไอ้คนสารเลว’ หรือหนักหน่อยก็ ‘ไอ้เหี้-’  นั่นเอง

 

ว่ากันตามจริง ความสัมพันธ์ระหว่าง Dylan กับ Baez จากที่หนังของ Mangold บอกเล่า ก็มีลักษณะผลประโยชน์ต่างตอบแทน เพราะฝ่ายแรกใช้ความโด่งดังของฝ่ายหลังเป็นใบเบิกทาง ขณะที่หญิงสาวก็ได้ร้องเพลงของ Dylan ที่แต่งได้หมดจดงดงาม หรือเราอาจจะเรียกสิ่งที่เกิดขึ้นระหว่างคนทั้งสองเป็นความสัมพันธ์แบบติดๆ ดับๆ ก็น่าจะได้ และถ้าเปรียบเทียบกับคนอื่นแล้ว Baez อาจไม่ได้รับความกระทบกระเทือนทางจิตใจจากความงี่เง่าของเขาเท่าไหร่นัก ยกเว้นตอนที่เขาวิจารณ์งานเขียนของเธอว่าเป็นเหมือนภาพวาดสีน้ำมันที่แขวนโชว์ในร้านหมอฟัน

 

 A Complete Unknown (2024) อัจฉริยะกับความไม่น่ารัก

 A Complete Unknown (2024) อัจฉริยะกับความไม่น่ารัก

 

คนที่บอบช้ำกว่าเพื่อนก็คือ Sylvia (Elle Fanning) ผู้ซึ่งกล่าวได้ว่า เธอแทบจะไม่ได้รับประโยชน์โพดผลใดๆ จากความสัมพันธ์ เพราะระหว่างที่ Dylan คบเธอ เขาก็คบซ้อน Baez ไปด้วย ซึ่งก็เป็นเรื่องที่หญิงสาวระแคะระคายตั้งแต่ต้น ฉากที่บั่นทอนความรู้สึกของตัวละครอย่างรุนแรงก็คือตอนที่เจ้าตัวต้องเฝ้ามอง Dylan กับ Baez แสดงออกอย่างดูดดื่มหวานซึ้งบนเวที (จริงๆ แล้วมันเป็นเพียงการแสดง และ Baez ก็ไม่น่าจะใช่ชนวนแตกหักเท่ากับนิสัยห่วยแตกของ Dylan) และนั่นกลายเป็นฟางเส้นสุดท้าย

 

แต่ก็นั่นแหละ วิธีการที่ Bob Dylan ตอบแทนความสัมพันธ์ระหว่างเขากับหญิงสาวก็ด้วยการเขียนเพลงบอกเลิกที่โด่งดังและในเวลาต่อมา กลายเป็นเพลงยุติความสัมพันธ์ระดับคลาสสิกซึ่งถูกร้องในหนังแบบเต็มเพลงด้วย นั่นคือ Don’t Think Twice, It’s All Right และประโยคที่เจ้าตัวปรักปรำฝ่ายหญิงก็นับว่าเลือดเย็นทีเดียว แปลความหมายคร่าวๆ ได้ประมาณว่า ‘ผมเคยรักผู้หญิงคนหนึ่ง หรือจริงๆ แล้ว เธอเป็นเพียงเด็กสาวที่เอาแต่ใจ ผมมอบหัวใจให้ทั้งดวง แต่เธอกลับต้องการครอบครองจิตวิญญาณ เพราะฉะนั้น ก็สมควรบอกเลิก ไม่ต้องคิดมาก’

 

 A Complete Unknown (2024) อัจฉริยะกับความไม่น่ารัก

 A Complete Unknown (2024) อัจฉริยะกับความไม่น่ารัก

 

อีกคนหนึ่งที่เปรียบไปแล้วก็เหมือนถูก Bob Dylan งับมือทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้ เขาเป็นคนที่คอยหยิบยื่นอาหารให้ นั่นก็คือ Pete Seeger (Edward Norton) นักร้อง นักแต่งเพลง นักเคลื่อนไหวทางการเมือง และโต้โผใหญ่ในการจัดเทศกาลดนตรีโฟล์กที่เมือง New Port ซึ่งได้รับการตอบรับในวงกว้างมากขึ้นเรื่อยๆ จะว่าไปแล้ว Seeger ก็เหมือนกับคนธรรมะธัมโมทางดนตรี เขาเชื่อว่าเพลงโฟล์กซองคือเครื่องมือประท้วงสงครามและความไม่ยุติธรรมในสังคมที่ทรงพลัง ด้วยเหตุนี้เอง Seeger จึงพยายามทัดทาน Dylan ในทันทีที่เขาระแคะระคายว่าฝ่ายหลังกำลังจะขึ้นไปเล่นดนตรีวันปิดเทศกาลด้วยแนวเพลงที่ผิดเพี้ยนไปจากอุดมการณ์ของความเป็น ‘เทศกาลดนตรีพื้นบ้าน’ ทั้งการเปลี่ยนจากกีตาร์โปร่งไปเป็นกีตาร์ไฟฟ้า เปลี่ยนจากเพลงโฟล์กเป็นเพลงร็อกแอนด์โรล

 

ผลลัพธ์ก็เป็นอย่างที่หน้าประวัติศาสตร์บันทึกเหตุการณ์ที่แสนวุ่นวายเมื่อครั้งกระนั้นไว้นั่นเอง หรือคนที่อยากรู้ก็คงต้องไปค้นหาเอาเองในหนัง กระนั้นก็ตาม สิ่งที่อาจจะสรุปได้อย่างรวบรัดก็คือ คนเดียวที่ Bob Dylan ยอมอยู่ใต้อาณัติหรือเป็นข้ารับใช้ก็คือตัวเขาเอง

 

 A Complete Unknown (2024) อัจฉริยะกับความไม่น่ารัก

 

ประเด็นที่สมควรอภิปรายต่อเนื่องก็คือ อะไรที่นำพาให้ทั้งบรรดาผู้คนที่รายล้อม Bob Dylan ไปจนถึงพวกเราคนดู ต้องแคร์ตัวละครนี้ ผู้ซึ่งตามที่หนังของ Mangold นำเสนอ หาความน่ารักแทบไม่ได้ คำตอบก็ง่ายดายมาก เพราะเขาคือคนที่เขียนบทเพลงที่ไพเราะเพราะพริ้ง ถ้อยคำและท่วงทำนองของแต่ละบทเพลงก็ทั้งคมคายและสละสลวยราวบทกวี หรือจริงๆ แล้ว มันก็คือบทกวีนั่นเอง อาทิ เพลง Blowin’ in the Wind ที่กลายเป็นเพลงเอกของการต่อต้านสงครามที่ศิลปินนับไม่ถ้วนนำไปร้องใหม่ในสไตล์และแบบฉบับของแต่ละคน, เพลง A Hard Rain’s A Gonna Fall ก็เช่นเดียวกัน, Mr.Tambourine Man, Like a Rolling Stone, The Times They Are A-Changin, ‘Knockin’ on Heaven’s Door และอีกนับไม่ถ้วน ก็ล้วนเป็นผลงานที่ถ้าพูดเล่นๆ คงต้องบอกว่าศิลปินรุ่นหลังล้วนกราบไหว้บูชา

 

ข้อน่าครุ่นคิดก็อาจจะเป็นแง่มุมเดียวกับที่หนังหลายเรื่องก่อนหน้าเคยชักชวนคนดูตั้งข้อสงสัยมาแล้ว (อาทิ Tar ของ Todd Field หรือ Amadeus ของ Miloš Forman) นั่นก็คือ เราจะแยกแยะศิลปินนิสัยเลว จองหอง อหังการ พูดจาสุนัขไม่รับประทาน ออกจากการสร้างสรรค์ผลงานศิลปะของเขาที่สะท้อนถึงความละเมียดละไม อ่อนไหว อ่อนโยนได้อย่างไร ซึ่งสุดท้ายแล้ว เป็นไปได้หรือไม่ว่าคำตอบของคนดูน่าจะไม่เหมือนกัน และคงต้องวินิจฉัยเป็นกรณีๆ ไป เพราะถ้าหากพวกเราตั้งแง่ว่าคนสร้างงานศิลปะต้องเป็นคนน่าคบ มีนิสัยดิบดี จิตใจงดงามเท่านั้น คนดูหนังฟังเพลงอย่างเราๆ ท่านๆ ก็อาจจะไม่มีผลงานชั้นเลิศให้ดื่มด่ำกำซาบ และเหลือเพียงความเงียบให้นั่งฟัง จอภาพเปล่าๆ ให้จ้องมอง

 

 A Complete Unknown (2024) อัจฉริยะกับความไม่น่ารัก

 

รวมๆ แล้ว A Complete Unknown เป็นหนังแนว biopic ที่หลบเลี่ยงกับดักความซ้ำซากจำเจของหนังแนวนี้ได้แยบยล ที่แน่ๆ มันไม่ได้เป็นแค่หนังที่พูดถึงการก้าวไปสู่ความสำเร็จและการมีชื่อเสียงของ Bob Dylan ก่อนจะลงเอยด้วยราคาที่ต้องจ่ายหรือสิ่งที่เจ้าตัวต้องแลก เพราะก็ดังที่กล่าวก่อนหน้า Dylan แทบจะไม่ได้แคร์อะไรเลยนอกจากตัวเอง และถ้าหากจะสรุปแง่มุมที่หนังถ่ายทอดอย่างกะทัดรัด Bob Dylan ก็เหมือนกับ Bette Davis ในหนังขาวดำคลาสสิกเรื่อง Now, Voyager (1942) ที่ Dylan กับ Sylvia แฟนสาวชวนกันเข้าไปดูช่วงต้นเรื่อง ตัวนางเอกในหนังเรื่องนั้นทิ้งชีวิตเก่าของการเป็นสาวทึนทึกและสร้างตัวเองขึ้นมาใหม่ในแบบที่เธออยากจะเป็น (หรือจะเรียกว่า re-invent ก็น่าจะได้) กล่าวสำหรับ Dylan ตัวตนที่เขาประกอบสร้างขึ้นมา ก็สามารถถูกรื้อและประกอบสร้างเป็นอย่างอื่นได้ตลอดเวลา

 

พูดซ้ำอีกครั้งหนึ่ง ถ้าหากใครคาดหวังว่าหนังเรื่อง A Complete Unknown จะสามารถเฉลยให้พวกเราได้รับรู้ตัวตนแท้จริงของ Bob Dylan ได้อย่างหมดเปลือก ก็อาจจะขอหยิบยืมวรรคทองจากหนังเรื่อง Now, Voyager มาปลอบโยนคนดู และนั่นคือ 

 

“อย่าเพิ่งไปร้องขอดวงจันทร์ ในเมื่อเราอยู่ท่ามกลางหมู่ดวงดาว”

 

A Complete Unknown (2024)

กำกับ-JAMES MANGOLD

ผู้แสดง-Timothée Chalamet, Edward Norton, Elle Fanning, Monica Barbaro

  • LOADING...

READ MORE




Latest Stories

Close Advertising