×

ถอดคำให้การคดีดิไอคอนกรุ๊ป เปิดหลักฐานเอาผิดธุรกิจที่ไม่ใช่การขายตรง จากสำนวน 90,000 หน้า และผู้เสียหาย 9,000 คน

โดย THE STANDARD TEAM
26.11.2024
  • LOADING...
ดิไอคอนกรุ๊ป

คดี ‘ดิไอคอนกรุ๊ป’ ที่ดำเนินเรื่อยมาตั้งแต่ช่วงต้นเดือนตุลาคม 2567 จน ณ วันนี้ เป็นเวลาเดือนกว่าแล้วก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะจบลง และน่าจะลุกลามต่อไปจนถึงปีหน้า 

 

ที่กล่าวเช่นนี้ได้ เพราะในเวลาไม่ถึงหนึ่งเดือนเราได้เห็นตัวละครทางคดีมากมายออกมาปรากฏตัว ซึ่งลุกลามไปในหลายวงการไม่ว่าจะเป็นนักการเมือง นักธุรกิจ นักร้องเรียน หรือแม้แต่นักกฎหมาย

 

สถานะทางคดีเองก็มีความชัดเจนมากขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งในคดีนี้กรมสอบสวนคดีพิเศษหลังจากได้รับหนังสือ เรื่อง ส่งสำนวนการสอบสวนกรณีมีการร้องทุกข์กล่าวโทษในการกระทำความผิดอาญาอันเป็นคดีพิเศษ มาพร้อมสำนวนการสอบสวนคดีอาญาจำนวน 92,289 แผ่น 

 

ที่ประชุมมีมติเป็นเอกฉันท์ เห็นว่ากรณีดังกล่าวเข้าข่ายเป็นความผิดตาม พ.ร.ก.การกู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชน พ.ศ. 2527 ร่วมกันโดยทุจริตหรือโดยหลอกลวงนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่บิดเบือน หรือปลอมไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วน หรือข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ประชาชน เป็นการร่วมกันกระทำผิดที่มีลักษณะเป็นกลุ่มขบวนการ มีการแบ่งหน้าที่กันทำอย่างเป็นระบบ คดีมีความยุ่งยากสลับซับซ้อน ส่งผลกระทบต่อสังคมในวงกว้างทั่วราชอาณาจักร โดยมีประชาชนได้รับความเสียหายเป็นจำนวนมาก 

 

ถือว่าเป็นอาชญากรรมทางเศรษฐกิจที่ร้ายแรง ก่อให้เกิดความเสียหายทางเชิงเศรษฐกิจและสังคมในวงกว้าง อันมีลักษณะเป็นความผิดตาม พ.ร.บ.การสอบสวนคดีพิเศษ

 

ประกอบกับความผิดดังกล่าวเป็นความผิดตามประกาศบัญชีท้ายประกาศ กคพ. (ฉบับที่ 8) เรื่อง กำหนดรายละเอียดของลักษณะของการกระทำความผิดที่เป็นคดีพิเศษมาตรา 21 วรรคหนึ่ง (1) พ.ร.บ.การสอบสวนคดีพิเศษ ข้อ 1, 15 จึงเห็นควรเสนออธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษมีคำสั่งให้กรณีดังกล่าวเป็นคดีพิเศษ และมอบกองคดีธุรกิจการเงินนอกระบบเป็นผู้รับผิดชอบดำเนินการสอบสวน 

 

ในวันที่ 30 ตุลาคม 2567 อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษอนุมัติให้เป็นคดีพิเศษ จึงรับไว้เป็นคดีพิเศษที่ 119/2567 เพื่อดำเนินการสอบสวนตามกฎหมาย

 

ต่อมาคณะพนักงานสอบสวนคดีพิเศษสอบปากคำผู้กล่าวหา ซึ่งเป็นพนักงานเจ้าหน้าที่ตาม พ.ร.บ.ขายตรงและตลาดแบบตรง และพยานเจ้าหน้าที่จากสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง ปรากฏข้อเท็จจริงว่า 

 

คำให้การของนักสืบสวนสอบสวนชำนาญการพิเศษ สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค 

 

บริษัท ดิไอคอนกรุ๊ป จำกัด มีการโฆษณาผ่านเฟซบุ๊ก เพื่อชักชวนให้ประชาชนรวมทั้งผู้เสียหายเข้าร่วมธุรกิจกับบริษัท เพื่อสร้างรายได้จากการขายสินค้าออนไลน์ เมื่อผู้เสียหายสนใจและสมัครคอร์สออนไลน์ในราคา 98 บาท จะมีการชักชวนให้เป็นตัวแทนจำหน่าย ซึ่งมีลักษณะเครือข่ายเป็นแม่ทีม-ลูกทีม 


 

โดยเมื่อสมัครเป็นตัวแทนจำหน่ายแล้วจะมีการชักจูงให้มีการเปิดบิลในตำแหน่งตัวแทนรายย่อย Distributor เป็นจำนวนเงิน 2,500 บาท จะได้รับสินค้าและคะแนนจำนวน 10 TP (TP หมายถึงคะแนนของสินค้าแต่ละรายการที่บริษัทฯ เป็นผู้กำหนด โดยใน 1 สินค้าอาจมีคะแนน TP ที่ต่างกัน) 

 

หลังจากนั้นผู้ลงทุนจะชักชวนให้เพิ่มการลงทุนเป็นตำแหน่ง Supervisor โดยการลงเงินจำนวน 25,000 บาท และตำแหน่ง Dealer โดยการลงเงินจำนวน 250,000 บาท ซึ่งจะได้สินค้าจำนวนหนึ่งและได้คะแนนเพิ่มเป็น 1,050 TP อีกทั้งสามารถสร้างเครือข่ายโดยชักชวนให้บุคคลอื่นมาสมัครสมาชิก และจะได้ผลตอบแทนตามจำนวนสมาชิกที่แนะนำมาสมัคร 

 

ในส่วนของสินค้านั้น บริษัทฯ แจ้งว่าจะมีการจัดส่งสินค้าให้สมาชิก แต่ส่วนใหญ่สมาชิกจะฝากสินค้าไว้ในคลังของทางบริษัทฯ โดยไม่ได้นำสินค้าไปใช้เองหรือนำไปขายต่อแต่อย่างใด เนื่องจากบริษัทฯ อ้างว่ามีระบบในการรับฝากสินค้าในคลัง เพื่อจัดส่งสินค้าให้กับลูกค้ารายใหม่เมื่อมีคำสั่งซื้อ 

 

อีกทั้งยังปรากฏข้อเท็จจริงว่าตัวแทนจำหน่ายที่รับสินค้าไปไม่ได้นำสินค้าไปขายให้กับผู้บริโภคทั่วไป มีเพียงการขายกันระหว่างตัวแทนใต้สายงานของตนเอง ซึ่งตามข้อเท็จจริง ในการประกอบธุรกิจของบริษัท ดิไอคอนกรุ๊ป จำกัด มีลักษณะเป็นการชักชวนและมุ่งเน้นให้หาสมาชิกรายใหม่สมัครเป็นตัวแทนจำหน่ายสินค้า โดยมีการกำหนดเป็นตำแหน่งต่างๆ ดังนี้

 

  1. Distributor คือ ผู้จัดจำหน่ายรายย่อย ต้องเปิดบิลกับบริษัทฯ จำนวน 2,500 บาท

 

  1. Supervisor คือ ผู้จัดจำหน่ายรายใหญ่ขึ้นกว่า Distributor ต้องเปิดบิลกับบริษัทฯ จำนวน 25,000 บาท

 

  1. Dealer คือ ผู้จัดจำหน่ายรายใหญ่ ต้องเปิดบิลกับบริษัทฯ จำนวน 250,000 บาท

 

  1. ตำแหน่ง Gold Dealer เงื่อนไขการขึ้นตำแหน่ง: สะสมไม่ซ้ำสาย 2 Dealer

 

  1. ตำแหน่ง Grand Dealer เงื่อนไขการขึ้นตำแหน่ง: สะสมไม่ซ้ำสาย 3 Dealer

 

  1. ตำแหน่ง Platinum Dealer เงื่อนไขการขึ้นตำแหน่ง: สะสมไม่ซ้ำสาย 4 Dealer

 

  1. ตำแหน่ง Presidential Dealer เงื่อนไขการขึ้นตำแหน่ง: สะสมไม่ซ้ำสาย 6 Dealer

 

  1. ตำแหน่ง Wisdom Dealer เงื่อนไขการขึ้นตำแหน่ง: สะสมไม่ซ้ำสาย 8 Dealer

 

  1. ตำแหน่ง Crown Dealer เงื่อนไขการขึ้นตำแหน่ง: สะสมไม่ซ้ำสาย 9 Dealer

 

  1. ตำแหน่ง Royal Crown Dealer เงื่อนไขการขึ้นตำแหน่ง: สะสมไม่ซ้ำสาย 20 Dealer

 

ซึ่งหากมีการแนะนำตัวแทนจำหน่ายรายใหม่ให้ลงทุนในตำแหน่ง Dealer จะได้รับผลตอบแทนประมาณ 10,000-15,000 บาท ต่อ 1 Dealer อีกทั้งหากภายใน 1 เดือนสามารถแนะนำได้ 5 Dealer ผู้แนะนำจะได้รับผลตอบแทนเพิ่มจากอัตราส่วนต่างของสินค้าอีกประมาณ 50,000 บาท และยังได้ขึ้นเป็นตำแหน่ง Gold Dealer 

 

และจากการตรวจสอบพบว่า ‘แม่ทีม’ หรือ ‘บอส’ มีพฤติการณ์ชักชวนให้ผู้เสียหายมาลงทุนเปิดบิลในราคา 250,000 บาท ซึ่งเห็นได้ว่าวิธีการในการดำเนินธุรกิจนั้นเป็นลักษณะที่ไม่ได้มุ่งเน้นขายสินค้าให้แก่ผู้บริโภคโดยทั่วไป แต่กลับเน้นให้สมาชิกเก่าหาสมาชิกรายใหม่เพื่อเปิดบิล โดยนำผลตอบแทนจากการสมัครมาโน้มน้าวและจูงใจ 

 

รวมทั้งหากชักชวนบุคคลอื่นมาสมัครสมาชิกในจำนวนที่มากขึ้นก็จะได้รับผลตอบแทนที่มากขึ้นด้วย จึงทำให้เห็นว่ารายได้ของบริษัทฯ เกิดจากการที่มีผู้มาสมัครสมาชิก โดยเฉพาะสมาชิก Dealer ต่อๆ กันไป โดยรายได้ของบริษัทฯ มิได้เกิดจากการขายสินค้าที่แท้จริง ตัวแทนส่วนใหญ่ไม่เคยนำสินค้าไปขายต่อให้กับผู้บริโภคโดยตรง อีกทั้งผู้บริโภคก็ไม่สามารถสั่งซื้อสินค้าผ่านเว็บไซต์ของบริษัท ดิไอคอนกรุ๊ป จำกัด ได้เลย โดยทุกคนจะต้องสมัครเป็นตัวแทนถึงจะสามารถซื้อสินค้าได้ จะเห็นได้ว่าการประกอบธุรกิจของบริษัทฯ ไม่เป็นไปตามที่นายทะเบียนอนุญาตให้ประกอบธุรกิจตลาดแบบตรงแต่อย่างใด

 

จากข้อเท็จจริง พฤติการณ์และการกระทำของบริษัท ดิไอคอนกรุ๊ป จำกัด ซึ่งได้รับจดทะเบียนการประกอบธุรกิจตลาดแบบตรง แต่ประกอบธุรกิจมีลักษณะเป็นการชักชวนให้บุคคลเข้าร่วมเป็นเครือข่ายในการประกอบธุรกิจ โดยตกลงว่าจะให้ผลประโยชน์ตอบแทนจากการหาผู้เข้าร่วมเครือข่ายดังกล่าว ซึ่งคำนวณจากจำนวนผู้เข้าร่วมเครือข่ายที่เพิ่มขึ้น และมีรูปแบบการดำเนินธุรกิจในลักษณะมีตัวแทนหลายชั้นผ่านตัวแทนขายตรงหรือผู้จำหน่ายอิสระ เป็นการฝ่าฝืนมาตรา 19, 20 ต้องระวางโทษตามมาตรา 46, 48 แห่ง พ.ร.บ.ขายตรง

 

คำให้การของนิติกรประจำส่วนป้องปรามธุรกิจการเงินนอกระบบ กองนโยบายพัฒนาระบบการเงินภาคประชาชน สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง 

 

ได้ให้ถ้อยคำเกี่ยวกับการดำเนินกิจของบริษัท ดิไอคอนกรุ๊ป จำกัด อธิบายลักษณะที่เป็นการ ‘กู้ยืมเงิน’ ตามมาตรา 3 แห่ง พ.ร.ก.การกู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชน เนื่องจากเป็นการรับเงิน ทรัพย์สิน หรือประโยชน์อื่นไม่ว่าในลักษณะของการรับฝาก การกู้ การยืม การจำหน่ายบัตร หรือสิ่งอื่นใด การรับเข้าเป็นสมาชิก การรับเข้าร่วมลงทุน การรับเข้าร่วมกระทำการอย่างใดอย่างหนึ่ง หรือในลักษณะอื่นใด 

 

โดยผู้กู้ยืมเงินหรือบุคคลอื่นจ่ายผลประโยชน์ตอบแทน หรือตกลงว่าจะจ่ายผลประโยชน์ตอบแทนแก่ผู้ให้กู้ยืมเงิน ทั้งนี้ ไม่ว่าจะเป็นการรับเพื่อตนเองหรือรับในฐานะตัวแทน หรือลูกจ้างของผู้กู้ยืมเงิน หรือของผู้ให้กู้ยืมเงิน หรือในฐานะอื่นใด และไม่ว่าการรับหรือจ่ายเงิน ทรัพย์สินผลประโยชน์อื่นใด หรือผลตอบแทนนั้น จะกระทำด้วยวิธีใด 

 

ข้อเท็จจริงที่ได้รับจากพนักงานสอบสวนเห็นว่าแผนธุรกิจ โดยเฉพาะในระดับผู้ร่วมธุรกิจ Dealer ที่มีการลงทุนซื้อสินค้าราคา 250,000 บาท หากบุคคลดังกล่าวมีการชักชวนบุคคลอื่นมาเป็น Dealer ในเครือข่ายของตนตามแผนธุรกิจ (Dealer Get Dealer) ตั้งแต่ 2-5 คน จะทำให้ได้รับผลตอบแทนที่สามารถคำนวณเป็นอัตราดอกเบี้ยได้ร้อยละ 48-480 ต่อปี

 

ซึ่งจากหลักฐานพบว่า ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2561 – 10 ตุลาคม 2567 อันเป็นช่วงเวลาเกิดเหตุในคดีนี้ มีอัตราดอกเบี้ยสูงสุดของสถาบันการเงินตามกฎหมายว่าด้วยดอกเบี้ยเงินให้กู้ยืมของสถาบันการเงินฯ มีเพียงร้อยละ 4 ต่อปี จึงเป็นการให้ผลตอบแทนที่สูงเกินกว่าที่กฎหมายกำหนดตามมาตรา 4 วรรคหนึ่ง ซึ่งถ้าผลตอบแทนนั้นเกิดจากการประกอบกิจการที่มิชอบด้วยกฎหมาย ที่จะให้ผลประโยชน์ตอบแทนเพียงพอที่จะนำมาจ่ายในอัตรานั้นได้ หรือรู้หรือควรรู้อยู่แล้วว่าเป็นการนำเงินของผู้ให้กู้ยืมรายนั้นหรือรายอื่นมาหมุนเวียนจ่ายให้แก่ผู้ให้กู้ยืม ทั้งนี้ หากมีการชักชวนร่วมธุรกิจและมีการโฆษณา ย่อมเป็นองค์ประกอบความผิดตามมาตราเดียวกัน

 

คณะพนักงานสอบสวนคดีพิเศษมีการประชุมในวันที่ 4 พฤศจิกายน 2567 โดยนำข้อเท็จจริงที่พนักงานสอบสวน กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง สอบสวนและแจ้งข้อกล่าวหาแล้วมาพิจารณาประกอบกับคำให้การของผู้กล่าวหาและพยานเจ้าหน้าที่ เห็นว่า

 

บริษัท ดิไอคอนกรุ๊ป จำกัด เป็นบริษัทที่จดทะเบียนตามกฎหมาย มีวัตถุประสงค์หลักคือ การหากำไรจากการประกอบธุรกิจ ‘ตลาดแบบตรง’ ที่ต้องจำหน่ายสินค้าต่างๆ จำนวน 15 รายการ จากบริษัทฯ ตรงไปยังผู้บริโภคผ่านระบบออนไลน์ แต่จากข้อเท็จจริงที่ปรากฏในการสืบสวนสอบสวนในชั้นนี้รับฟังได้ความว่า 

 

บริษัท ดิไอคอนกรุ๊ป จำกัด กับพวก มีการโฆษณาหรือประกาศให้ปรากฏต่อประชาชนหรือกระทำด้วยประการใดๆ ให้ปรากฏกับบุคคลตั้งแต่ 10 คนขึ้นไปด้วยการโฆษณาบนเฟซบุ๊กของบริษัทฯ หรือของสมาชิก เพื่อชักชวนประชาชนทั่วไปเข้าเรียนหลักสูตรอบรมออนไลน์ที่บริษัทฯ จัดขึ้น รวมถึงการสัมมนาหรือการบอกกล่าวปากต่อปาก นำไปสู่การเชิญชวนบุคคลดังกล่าวเข้าร่วมธุรกิจเป็นตัวแทนขายสินค้าให้กับบริษัท ดิไอคอนกรุ๊ป จำกัด ด้วยการเปิดรับเข้าเป็นสมาชิกเพื่อซื้อสินค้าของบริษัทไปจำหน่ายต่อ 

 

โดยมีการให้สัญญาว่าจะจ่ายหรืออาจจ่ายผลตอบแทนตามแผนธุรกิจที่กำหนด จึงเป็นการกู้ยืมเงิน โดยมีบริษัท ดิไอคอนกรุ๊ป จำกัด เป็นผู้กู้ยืมเงิน และมีผู้สมัครเป็นสมาชิกในการร่วมธุรกิจเป็นตัวแทนขายสินค้าเป็นผู้ให้กู้ยืมเงิน ตามนิยามในมาตรา 3 ของ พ.ร.ก.การกู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชน และในการดำเนินธุรกิจเน้นการระดมสมาชิกเข้ามาเป็นเครือข่ายในระดับต่างๆ 

 

โดยเฉพาะระดับ Dealer โดยจูงใจด้วยผลตอบแทนที่สูง ประกอบกับผลตอบแทนในการประกอบธุรกิจในระดับ Dealer Get Dealer ขั้นต่างๆ มีผลตอบแทนคำนวณ เมื่อคำนวณเป็นอัตราดอกเบี้ยแล้วพบว่ามีอัตราสูงมากตั้งแต่ร้อยละ 48-480 ต่อปี 

 

ทั้งที่ช่วงเกิดเหตุในคดีนี้อัตราดอกเบี้ยสูงสุดของสถาบันการเงินตามกฎหมายว่าด้วยดอกเบี้ยเงินให้กู้ยืมของสถาบันการเงินสูงเพียงร้อยละ 4 ต่อปี จึงเป็นผลตอบแทนที่มีอัตราดอกเบี้ยที่สูงกว่าที่ พ.ร.ก.การกู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชน มาตรา 4 วรรคหนึ่ง กำหนดไว้

 

นอกจากนั้นในการดำเนินธุรกิจของบริษัท ดิไอคอนกรุ๊ป จำกัด ต้องมีรายได้จากการขายสินค้าสู่ผู้บริโภคโดยตรงตามรูปแบบธุรกิจที่จดทะเบียนไว้ 

 

แต่ในข้อเท็จจริง การดำเนินธุรกิจกลับไม่เน้นให้สมาชิกจำหน่ายสินค้าออกสู่ผู้บริโภค โดยในการชักชวนสัมมนาจะเน้นให้สมาชิกหาเครือข่ายสมาชิกของตน (Downline) เพื่อขายสินค้าจากตนลงไปภายในเครือข่ายจนถึงระดับล่างสุดเป็นหลัก ซึ่งอาจมีบางรายที่นำสินค้าไปขายจริงบางส่วนเท่านั้น โดยรายได้ของบริษัทที่นำไปจ่ายเป็นค่าตอบแทนสมาชิกในระดับต่างๆ โดยเฉพาะ Dealer ค่าตอบแทนที่เกิดขึ้นมาจากเงินส่วนแบ่งที่ได้จากสมาชิกระดับล่างในสายงานของตนลงไปทั้งในรูปแบบค่าชักชวน และ/หรือ ค่า TP เป็นองค์ประกอบสำคัญ 

 

นอกจากนั้นระบบของบริษัทฯ ก็ไม่อนุญาตให้ประชาชนทั่วไปสามารถซื้อสินค้าจากบริษัทไปบริโภคได้โดยตรง โดยต้องดำเนินการผ่านเครือข่ายสมาชิก และยังได้ปรากฏข้อเท็จจริงอีกว่าเป็นการดำเนินธุรกิจที่ฝ่าฝืนกฎหมายขายตรงและตลาดแบบตรง ดังนั้นเมื่อบริษัทฯ ไม่ได้มีรายได้หลักจากการประกอบธุรกิจด้วยการขายสินค้าสู่ผู้บริโภคที่เพียงพอและเป็นธุรกิจที่มิชอบด้วยกฎหมาย

 

จึงเป็นกรณีที่บริษัท ดิไอคอนกรุ๊ป จำกัด ในฐานะผู้กู้ยืมเงิน รู้หรือควรรู้ว่าในการประกอบธุรกิจตนจะนำเงินจากผู้ลงทุนรายหนึ่งมาจ่ายหมุนเวียนให้แก่ผู้ลงทุนอีกรายหนึ่ง และรู้หรือควรรู้อยู่แล้วว่าตนไม่สามารถประกอบกิจการใดๆ โดยชอบด้วยกฎหมายที่จะให้ผลประโยชน์ตอบแทนเพียงพอที่จะนำมาจ่ายในอัตรานั้นได้ 

 

ผู้ต้องหาตามลำดับความสำคัญของพฤติการณ์ในคดี มีดังนี้

 

  1. บริษัท ดิไอคอนกรุ๊ป จำกัด โดย วรัตน์พล วรัทย์วรกุล ผู้มีอำนาจดำเนินการแทนนิติบุคคล (เดิมคือผู้ต้องหาที่ 18) เป็นผู้ต้องหาที่ 1

 

  1. บอสพอล-วรัตน์พล วรัทย์วรกุล (เดิมคือผู้ต้องหาที่ 19) เปลี่ยนเป็นผู้ต้องหาที่ 2

 

  1. โค้ชแล็ป-จิระวัฒน์ แสงภักดี (เดิมคือผู้ต้องหาที่ 1) เปลี่ยนเป็นผู้ต้องหาที่ 3

 

  1. บอสปีเตอร์-กลด เศรษฐนันท์ (เดิมคือผู้ต้องหาที่ 2) เปลี่ยนเป็นผู้ต้องหาที่ 4

 

  1. บอสปัน-ปัญจรัศม์ กนกรักษ์ธนพร (เดิมคือผู้ต้องหาที่ 3) เปลี่ยนเป็นผู้ต้องหาที่ 5

 

  1. บอสหมอเอก-ดร.ฐานานนท์ หิรัญไชยวรรณ (เดิมคือผู้ต้องหาที่ 4) เปลี่ยนเป็นผู้ต้องหาที่ 6

 

  1. บอสสวย-นัฐปสรณ์ ฉัตรธนสรณ์ (เดิมคือผู้ต้องหาที่ 5) เปลี่ยนเป็นผู้ต้องหาที่ 7

 

  1. บอสโซดา-ญาสิกัญจน์ เอกชิสนุพงศ์ (เดิมคือผู้ต้องหาที่ 6) เปลี่ยนเป็นผู้ต้องหาที่ 8

 

  1. บอสโอม-นันท์ธรัฐ เชาวนปรีชา (เดิมคือผู้ต้องหาที่ 7) เปลี่ยนเป็นผู้ต้องหาที่ 9

 

  1. บอสวิน-ธวิณทร์ภัส ภูพัฒนรินทร์ (เดิมคือผู้ต้องหาที่ 8) เปลี่ยนเป็นผู้ต้องหาที่ 10

 

  1. บอสแม่หญิง-กนกธร ปูรณะสุคนธ์ (เดิมคือผู้ต้องหาที่ 9) เปลี่ยนเป็นผู้ต้องหาที่ 11

 

  1. บอสอูมมี่-เสาวภา วงษ์สาขา (เดิมคือผู้ต้องหาที่ 10) เปลี่ยนเป็นผู้ต้องหาที่ 12

 

  1. บอสทอมมี่-เชษฐ์ณภัฏ อภิพัฒนกานต์ (เดิมคือผู้ต้องหาที่ 11) เปลี่ยนเป็นผู้ต้องหาที่ 13

 

  1. บอสป๊อป-หัสยานนท์ เอกชิสนุพงศ์ (เดิมคือผู้ต้องหาที่ 12) เปลี่ยนเป็นผู้ต้องหาที่ 14

 

  1. บอสจอย-วิไลลักษณ์ เจ็งสุวรรณ (เดิมคือผู้ต้องหาที่ 13) เปลี่ยนเป็นผู้ต้องหาที่ 15

 

  1. บอสอ๊อฟ-ธนะโรจน์ ธิติจริยาวัชร์ (เดิมคือผู้ต้องหาที่ 14) เปลี่ยนเป็นผู้ต้องหาที่ 16

 

  1. บอสแซม-ยุรนันท์ ภมรมนตรี (เดิมคือผู้ต้องหาที่ 15) เปลี่ยนเป็นผู้ต้องหาที่ 17

 

  1. บอสมิน-พีชญา วัฒนามนตรี (เดิมคือผู้ต้องหาที่ 16) เปลี่ยนเป็นผู้ต้องหาที่ 18

 

  1. บอสกันต์-กันต์ กันตถาวร (เดิมคือผู้ต้องหาที่ 17) เปลี่ยนเป็นผู้ต้องหาที่ 19 

 

เมื่อวันที่ 11 พฤศจิกายนที่ผ่านมา คณะพนักงานสอบสวนคดีพิเศษเข้าแจ้งข้อกล่าวหาและฐานความผิดเพิ่มเติมแก่ผู้ต้องหาทุกรายให้ทราบว่า ร่วมกันกู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชน, ร่วมกันประกอบธุรกิจขายตรง ประกอบธุรกิจตลาดแบบตรงในลักษณะที่เป็นการชักชวนให้บุคคลเข้าร่วมเป็นเครือข่ายในการประกอบธุรกิจ โดยตกลงว่าจะให้ผลประโยชน์ตอบแทนจากการหาผู้เข้าร่วมเครือข่ายดังกล่าว ซึ่งคำนวณจากจำนวนผู้เข้าร่วมเครือข่ายที่เพิ่มขึ้น และร่วมกันประกอบธุรกิจขายตรงโดยไม่ได้รับอนุญาต

 

ผู้ต้องหาให้การปฏิเสธตลอดข้อกล่าวหา

 

ในท้ายคำร้อง คณะพนักงานสอบสวนคดีพิเศษระบุว่า หากผู้ต้องหาขอปล่อยตัวชั่วคราว พนักงานสอบสวนคดีพิเศษขอคัดค้านการประกันตัวผู้ต้องหา เนื่องจากคดีนี้เป็นคดีที่มีอัตราโทษสูง ประกอบกับมีผู้เสียหายจำนวนเบื้องต้นประมาณ 9,000 คน มีมูลค่าความเสียหายถึงจำนวน 2,956,274,931 บาท ซึ่งผู้ต้องหาอาจหลบหนีหรือไปยุ่งเหยิงกับพยานหลักฐานได้

  • LOADING...

READ MORE




Latest Stories

Close Advertising
X