เวลาพูดถึง ‘ไฟ’ เรามักจะคิดถึงความเร่าร้อน ความสว่างเจิดจ้า อาจตีความได้ถึงแสงสว่าง ความโชติช่วงชัชวาล หรือแม้แต่การตีความถึงเรื่องราวของราคะ ความโกรธ โทมนัสต่างๆ ซึ่งเจ้าเปลวไฟร้อนระอุนี้ได้กลายมาเป็นโจทย์หลักโจทย์สุดท้ายในซีรีส์ 4 Elements ของร้านอาหาร วังหิ่งห้อย ที่เตรียมตัวนำเสนอรสชาติใหม่ในคอร์สที่มีชื่อว่า Spirit of Fire ภายใต้คอนเซปต์แห่งธาตุไฟที่ว่า ‘ไฟคือพลังแห่งชีวิต เปรียบดั่งแสงสว่างที่เปล่งประกายออกมาจากตัวหิ่งห้อย’
ครั้งนี้ THE STANDARD POP ได้รับเกียรติมาร่วมเป็นสักขีพยานในเมนูคอร์สใหม่ล่าสุดของพวกเขาที่พร้อมนำเสนอรสชาติอันเร่าร้อนผ่านการตีความที่มีชั้นเชิงด้วยคำว่า ‘ไฟ’ เพียงคำเดียว แต่เราอยากบอกไว้ตรงนี้ว่าพวกเขาสามารถนำเสนอความหลากหลายของเรื่องราวผ่านมื้อนี้ได้อย่างน่าประทับใจ ผ่านการครีเอตจาก 3 เชฟคนเก่ง เชฟนิค-ณัฏฐพล ภวไพบูลย์, เชฟอ๊อฟ-ณัฐวุฒิ ธรรมพันธุ์ และเชฟอ้น-สุวิจักขณ์ แก้วสิริมงคล
เชฟนิค-ณัฏฐพล ภวไพบูลย์ หนึ่งในเชฟผู้ร่วมครีเอตเมนู
เริ่มต้นจิตวิญญาณแห่งไฟอันเร่าร้อนด้วยเมนู ‘ชนวน’ ข้าวเกรียบอินเดียขนาดพอดีคำ เสิร์ฟพร้อมกับชัทนีย์อบแห้ง เคี้ยวให้กรุบกรอบ ก่อนจะดื่มซุปขิงในแก้วไซส์น่ารักที่โปะโฟมเบคอนมาด้านบน ให้ความเผ็ดร้อนแต่หอมหวนอยู่ในที เป็นการเริ่มต้นที่น่าสนใจ ก่อนจะเริ่มปลุกพลังงานด้วยจานที่ชื่อว่า ‘ปลุก’ หอยนางรมตัวโตเสิร์ฟพร้อมเครื่องเคียงคลาสสิกอย่างใบกระถินและหอมแดงทอด แต่เชฟเลือกเสิร์ฟหอยนางรมนี้กับซอสฮอลลันเดสที่เพิ่มความเผ็ดร้อนเข้าไปเล็กน้อย ด้วยความสดของหอยนางรมตัวเต็มคำ ทำให้เรารู้สึกฉ่ำปากและพร้อมจะเริ่มต้นมื้อในทันที!
ซุปขิงเร่าร้อนเสิร์ฟพร้อมข้าวเกรียบอินเดีย (บน) และหอยนางรมตัวใหญ่ สด ฉ่ำ ในจานที่ชื่อว่า ‘ปลุก’
เริ่มต้นแอปพิไทเซอร์กับหนึ่งจานที่เรารักมากในชื่อ ‘เถ้าถ่าน’ หรือ Ashes ซึ่งตีความมาจากเมนูยำปลาสลิดที่เราคุ้นเคย โดยเชฟเลือกทำน้ำยำรสเด็ดออกมาในรูปแบบของชาร์โคล วางเรียงตัวสวยดั่งถ่านร้อนระอุ เติมสีสันด้วยมะเขือเทศ ก่อนจะโชว์ชิ้นปลาทอดกรอบพอดีคำด้านบน โดยคุณจะต้องตักรับประทานพร้อมๆ กันในหนึ่งคำเพื่อให้ได้รสชาติของยำปลาสลิดครบรส ความน่าสนใจคือภาพของจานนี้ที่คล้ายจะดูร้อนระอุ แต่กลับเพิ่มความชุ่มชื่นให้กับรสสัมผัสอย่างยอดเยี่ยม
ทางร้านจะเสิร์ฟซุปแสงเหนือร้อนๆ ทุกจาน เตรียมกล้องในมือไว้ดีๆ
จานถัดมาที่เราต้องยอมรับจริงๆ ว่ามันสร้างอากัปกิริยาประหลาดใจให้กับเรามากๆ จานนี้คือ ‘แสงเหนือ’ หรือ Aurora แสงสีเขียวสุดพิเศษที่เกิดขึ้นบริเวณขั้วโลก เชฟนำเอาความสวยงามของสีและแสงดังกล่าวมาตีความเป็นรสชาติคุ้นเคยด้วยการนำเอาต้มจับฉ่ายรสเยี่ยมมาผ่านกระบวนการพิเศษจนกลายเป็นซุปสีเขียวสวย เสิร์ฟพร้อมกับหมูสามชั้นที่ผ่านการซูวีด์จนนุ่มฉ่ำแทบละลายบนลิ้น เติมรสสัมผัสที่แตกต่างด้วยเต้าหู้ทอดกรอบเคี้ยวเพลินๆ คิดถึงจับฉ่ายรสมือคนที่บ้านขึ้นมาเชียวล่ะ
ความสดชื่นระหว่างพักจากพลุไฟหลากสี
ก่อนจะเข้าถึงช่วงเมนคอร์ส จานที่มาเบรกรสชาติเพื่อเตรียมพร้อมสู่จานหลักก็สนุกมาก และทำให้เราคิดถึงวัยเด็กของตัวเองที่ชอบกินลูกอมเป๊าะแป๊ะ (นึกออกไหมนะ ลูกอมที่อมเข้าไปแล้วมันจะแตกเป๊าะแป๊ะในปาก) ซึ่งเจ้าลูกอมนี้ล่ะที่กลายมาเป็นไอเดียหลักของจานที่ชื่อว่า ‘พลุ’ หรือ Firework ผลไม้แช่แข็งเต็มผลวางตรงกลาง เสิร์ฟมาพร้อมกับซอสหลากสีที่ทำมาจากผักหลากชนิด ปาดช้อนรับประทานพร้อมกับแคนดี้ป๊อปที่โรยอยู่บนซอสเวอร์จินพินาโคลาดา สนุกทั้งตอนเห็นและยังสนุกตอนแตะลิ้นอีกด้วย
ทุกจานหลักที่เราได้ชิมกันในคอร์ส Spirit of Fire นับว่าเป็นประสบการณ์ที่น่าประทับใจมากๆ เพราะเชฟได้จัดการรสชาติของทุกๆ จานให้ออกมาถูกปาก เข้าใจง่าย แต่ได้ภาพของจานและรสชาติที่น่าจดจำ เริ่มต้นด้วย ‘เดือดดาล’ หรือ Rage ที่ได้แรงบันดาลใจมาจากรสชาติเข้มๆ ของก๋วยเตี๋ยวน้ำตก เชฟเลือกใช้สเต๊กเทนเดอร์ลอยน์ชิ้นเบิ้มวางอยู่บนแฮชบราวน์กรุบกรอบที่ดีไซน์ออกมาเหมือนเส้นหมี่ เสิร์ฟพร้อมซอสจากเครื่องเทศจีน ถูกปากคุณได้ไม่ยากเลยจริงๆ
หน้าตาสุดเข้มของ ‘เดือดดาล’
อีกจานหลักที่เราชื่นชอบมากคือการนำเอากุ้งแม่น้ำเผามานำเสนอในรูปแบบที่แตกต่างไปเล็กน้อยกับ Erupt กุ้งแม่น้ำเผาตัวเขื่องผ่ากลาง เผามาจนเนื้อสุกกรอบ และยังเสิร์ฟมาพร้อมรีซอตโตน้ำพริกมะขามอ่อนบริเวณหัวกุ้ง ให้รสชาติเปรี้ยวนิด เฝื่อนหน่อย และคุณก็ต้องรับประทานร่วมกับแก้วข้างๆ ที่เสิร์ฟมา ซึ่งมันคือชาอุ่นๆ ที่เชฟนำเอาดีกุ้งจากบริเวณข้อต่อระหว่างหัวกุ้งกับส่วนเนื้อออกมาปรุง ดื่มตัดความเลี่ยน ทั้งยังช่วยชูรสที่เป็นเอกลักษณ์ของเนื้อกุ้งและมะขามอ่อนได้อย่างยอดเยี่ยม
ในคอร์สนี้ยังนำเสนอรสชาติค็อกเทลที่ตีความมาในเรื่องราวเดียวกันอีกด้วย ซึ่งล้วนแต่มีความน่าสนใจทั้งการนำเสนอและรสชาติ เริ่มต้นที่ ‘แผดเผา’ (Phaet Phao) ได้แรงบันดาลใจมาจากพิธีกรรมเผาพริกเผาเกลือที่เราคุ้นเคยกัน ฉะนั้นเขาจึงเสิร์ฟมาเป็นหม้อให้คุณได้สัมผัสความรู้สึกจากเครื่องดื่มได้จริงๆ โดยแผดเผาแก้วนี้มีส่วนผสมของพริกหัวเรืออีปาดจากจังหวัดศรีสะเกษที่มีความเผ็ดร้อนแรง นำมาตากแห้ง เติมแต่งรสด้วยเกลือสินเธาว์ ซึ่งรสชาติหลักๆ จะมีส่วนผสมของมะเขือเทศสดจากโครงการหลวงอีกด้วย
‘แผดเผา’ หม้อค็อกเทลที่มีพริกกับเกลือเสิร์ฟมาด้วย (ซ้าย) และ ‘รมควัน’ ความสวยงามของการเสิร์ฟที่น่าประทับใจ
ส่วนอีกแก้วที่เราประทับใจการเสิร์ฟของเขามากคือ ‘รมควัน’ ซึ่งมีความเกี่ยวข้องกับเรื่องไฟ นั่นคือในสมัยก่อนหากต้องการจะเก็บน้ำผึ้งจากรัง เราก็ต้องใช้การรมควันเป็นตัวช่วยเพื่อหลีกเลี่ยงการปะทะกับเจ้าตัวผึ้ง มิกโซโลจิสต์จึงเลือกนำเสนอให้มีชิ้นรวงผึ้งอยู่ด้านบนแก้วที่มีหยาดน้ำผึ้งค่อยๆ หยดลงมาในแก้ว สวยงามน่าดูชม ส่วนด้านในเป็นค็อกเทลที่เบสด้วยวอดก้าผสมกับน้ำส้มสีทองจากจังหวัดน่าน รวงผึ้ง และพืชจากโครงการหลวง เติมรสขอบแก้วด้วยผงโกโก้รสเข้ม นับเป็นอีกรสชาติที่ควรค่าแก่การชิม
คอร์สเมนู Spirit of Fire พร้อมให้คุณได้สัมผัสประสบการณ์รสชาติที่เต็มไปด้วยเรื่องราวและการนำเสนอที่น่าสนใจ ไม่น่าเชื่อว่าจากโจทย์เพียงคำว่า ‘ไฟ’ จะสามารถรังสรรค์เป็นรสชาติที่หลากหลาย ทั้งยังมีวัตถุดิบและเทคนิคการปรุงที่ตื่นตาตื่นใจ ให้รสสัมผัสใหม่ๆ อย่างที่คุณอาจจะไม่เคยชิมที่ไหนมาก่อน โดยคุณสามารถร่วมชิมซีรีส์ส่งท้ายของ 4 Elements ที่ร้านอาหาร ‘วังหิ่งห้อย’ ได้ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป จำกัดเพียง 40 ที่นั่งต่อวัน ราคาท่านละ 2,890++ บาท
What You Should Know
- นอกจากอาหารรสชาติเยี่ยมแล้ว วังหิ่งห้อยยังนำเสนอผลงานศิลปะที่น่าสนใจที่ตีความจากไฟเช่นกัน อันหมายถึงแรงผลักดันทั้งทางจิตใจและร่างกายที่กระตุ้นให้เกิดแรงขับเคลื่อนและพลังงานคล้ายๆ กับการปะทุของลาวา ซึ่งถือเป็นความตั้งใจของศิลปินที่จะนำเสนอต้นกำเนิดของชีวิต ความสมดุล และความคิดสร้างสรรค์ ทั้งยังสื่อสารพลังงานผ่านแสงและสีที่ติดตั้งอยู่ในส่วนของกำแพงดินเพื่อให้ผู้ที่มาเยือนได้ครบทุกสัมผัสของประสบการณ์แห่งธาตุไฟ
วังหิ่งห้อย
Open: เปิดบริการทุกวัน เวลา 18.30-00.00 น.
Address: ร้านอยู่บริเวณสนามกอล์ฟ RCA บนถนนกำแพงเพชร 7 หรือจะนั่ง MRT ลงสถานีเพชรบุรี แล้วต่อรถมายังร้านได้เช่นกัน
Budget: เริ่มต้นที่คอร์สละ 2,890 บาท
Contact: 09 1979 6226
Website: www.wanghinghoi.com
Page: www.facebook.com/WangHingHoi
Map:
พิสูจน์อักษร: ภาสิณี เพิ่มพันธุ์พงศ์