ท่ามกลางความเจริญของเมือง เราสูญเสียความเป็นธรรมชาติไปอย่างน่าเสียดาย นั่นคือราคาที่คนเมืองอย่างเราต้องจ่าย และดัชนีชี้วัดความอุดมสมบูรณ์อย่างหนึ่งของธรรมชาติที่หายไปก็คือหิ่งห้อย ซึ่งแทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่คนเมืองหรือแม้แต่คนต่างจังหวัดหลายๆ แห่งในทุกวันนี้จะได้เจอแมลงเรืองแสงดังกล่าว
ไม่น่าเชื่อว่าใจกลางเมืองหลวงยังมีที่ให้เราได้ยลความงดงามของแมลงเรืองแสงวิบวับ วังหิ่งห้อย ไม่ได้เป็นเพียงแค่ร้านอาหาร แต่เป็นสถานที่ซึ่งผู้สร้างสรรค์จำลองประสบการณ์ รูป รส กลิ่น เสียง และแสง ในพื้นที่กว่า 1,000 ตารางเมตรใจกลางมหานคร โดยให้ความสำคัญกับธรรมชาติ สร้างระบบนิเวศจำลองที่หิ่งห้อยสามารถใช้ชีวิตอยู่ได้ เชื่อมร้อยความเป็นเมือง ป่า และสถาปัตยกรรมเข้าไว้ด้วยกัน โดยจะมีระยะเวลาให้บริการอยู่เพียง 18 เดือนเท่านั้น
ผู้ที่มาเยือนเป็นแขกของวังหิ่งห้อยแห่งนี้ จะได้สัมผัสประสบการณ์ Fine Dining พร้อมชมความงดงามของหิ่งห้อย พร้อมดื่มด่ำกับอาหาร Modern Thai เลิศรส ที่สร้างสรรค์ขึ้นมาภายใต้คอนเซปต์ ‘ธาตุแห่งชีวิต’
The Vibe
ทางเข้าโอ่อ่า สถาปัตยกรรม แนวคิดป่าพบเมือง
เพียงแค่ก้าวเท้าเข้าไปบรรยากาศก็เปลี่ยน
เพียงแค่ก้าวเท้าลงจากรถ เราไม่คิดว่าจะมีสิ่งก่อสร้างที่ใหญ่ซ่อนอยู่ในเมืองอย่างนี้ อาคารหลังใหญ่ที่เพียงก้าวเข้าไปข้างในบรรยากาศก็เปลี่ยน ด้วยสถาปัตยกรรมแปลกตา ซึ่งสื่อสะท้อนถึงความเป็นเมืองที่มาพบป่า ทางเดินยาวทอดเข้าสู่ด้านในเป็นไม้ เข้าสู่ตัวอาคารหลักที่มีวัสดุด้านนอกทำด้วยโลหะสีดำ และเมื่อเข้าไปข้างในของวังหิ่งห้อย ก็จะพบกับบรรยากาศปิดแสงสลัว และตู้กระจกซึ่งเป็นระบบนิเวศปิด ที่สร้างขึ้นเพื่อให้หิ่งห้อยสามารถมีชีวิตอยู่ได้แม้จะอยู่ในเมืองใหญ่อย่างในกรุงเทพฯ ก็ตาม นับเป็นเรื่องน่าทึ่งที่เราจะได้ชมความงามของหิ่งห้อยในตู้กระจก ซึ่งจะมีจำนวนหิ่งห้อยในวัยวิบวับไม่น้อยกว่าวันละ 100-300 ตัว แต่จริงๆ แล้วเพื่อให้มีหิ่งห้อยวิบวับซึ่งโตเต็มวัย ที่จะมีชีวิตอยู่ได้เพียงไม่กี่วันเช่นนี้ ในระบบปิดดังกล่าวจึงต้องมีหนอนหิ่งห้อยหมุนเวียนอยู่ไม่ต่ำกว่า 1,000 ตัวตลอดเวลา นอกจากพื้นที่ของห้องอาหารแล้วยังมีบาร์ให้นั่งรอ และมีพื้นที่จัดแสดงงานศิลปะตามคอนเซปต์ ‘ธาตุแห่งชีวิต’ ที่จะหมุนเวียนเปลี่ยนกันไปอีกด้วย
ชมแสงงดงามของหิ่งห้อยในระบบนิเวศน์ปิด ระหว่างอาหารมื้อค่ำ
The Dishes
เซตอาหารจากคอนเซปต์ ธาตุ ‘ดิน’
ดิน น้ำ ลม และไฟ คือคีย์เวิร์ดที่เชฟนิค-ณัฏฐพล ภวไพบูลย์ นําไปใช้ เพื่อตีความออกมาเป็นเมนูอาหาร Modern Thai หลากหลาย กลายมาเป็นคอร์สเมนูขนาด 6 คอร์ส ที่จะค่อยๆ ผลัดเปลี่ยนพร้อมนําเสนอตามธีมและช่วงเวลา ได้แก่ ‘ดิน’ พฤศจิกายน 2017 ถึงกุมภาพันธ์ 2018 ‘น้ำ’ กุมภาพันธ์ถึงมิถุนายน 2018 ‘ลม’ มิถุนายนถึงตุลาคม 2018 ‘ไฟ’ ตุลาคม 2018 ถึงกุมภาพันธ์ 2019 ตบท้ายด้วย ‘บทสรุปแห่งชีวิต’ ที่จะตามมาในช่วง กุมภาพันธ์ถึงพฤษภาคม 2019
Amuse Bouche
สำหรับเมนูธาตุดิน ที่ใช้ในการเปิดตัววังหิ่งห้อย ซึ่งเราได้ชิมนั้นเริ่มต้นที่ขนมปังสองสีที่เสิร์ฟแบบวางตกแต่งไว้บนโต๊ะโดยปราศจากภาชนะ ราวกับก้อนดินอันเป็นบ่อเกิดของชีวิตและอาหาร จานแรกที่มาถึงโต๊ะ Amuse Bouche จานเรียกน้ำย่อยขนาดพอดีคำที่เสิร์ฟอย่างเก๋มาบนขอนไม้ ได้แก่ ลาบ แคบหมูน้ำพริกหนุ่ม ฯลฯ ซึ่งไอเท็มแต่ละอย่างจะหมุนเวียนเปลี่ยนกันไปในแต่ละวัน แค่เพียงเราชิม Amuse Bouche ไปเพียงไม่กี่คำก็รู้เลยว่าถึงจะเป็นอาหารโมเดิร์นไทยหน้าตาสมัยใหม่ แต่รสแบบนี้รสไทยเด็ดๆ
ซี่โครงหมูสะเต๊ะ
จานต่อมาเป็น ซี่โครงหมูสะเต๊ะ ที่ใช้เวลาซูวีด์ (Sous Vide) นานถึง 48 ชั่วโมง เพียงใช้มีดสะกิดนิดเดียวเนื้อติดซี่โครงก็หลุดออกมาอย่างว่าง่าย แถมยังนุ่มและหอมอุดมกลิ่นเครื่องเทศ กินคู่กับซอสถั่วพิสตาชิโอ กระเทียมย่าง เมล็ดทับทิม และแตงกวาดองที่เชฟดองเองยิ่งออกรส
ต้มยำกุ้งเข้มข้น
จานต่อไปคือ ต้มยำกุ้ง ที่เข้มข้นราว ล็อบสเตอร์บิสอย่างแซ่บ รสชาติดีงามชนิดที่ว่าเราสามารถกลับมาที่นี่ได้อีกครั้งเพื่อที่จะกินจานนี้เพียงจานเดียว ต่อไปเป็น ยำส้มโอ กับหยดซอสพิสตาชิโอและสตรอว์เบอร์รี ที่รสชาติสดชื่นช่วยเพิ่มความอยากอาหารให้อย่างเต็มเปี่ยม แม้มื้อนี้เราจะเดินทางผ่านมาได้ครึ่งทางแล้วก็ตาม
แกงเผ็ดเป็ดย่าง ที่ทำมาในรูปแบบเป็ดกงฟี
จานหลักคือ แกงเผ็ดเป็ดย่าง ที่ปรุงมาในรูปแบบเป็ดกงฟี ซอสแกงเผ็ดรสเลิศดีงามอย่างร้ายกาจ จนเราต้องชั่งใจอยู่นานว่า ระหว่างจานนี้และจานที่แล้วจะให้ใครเป็นผู้ชนะดี ส่วนของหวานคือ ขนมเปียกปูน ที่หุ้มด้วยไวต์ช็อกโกแลตของ Valrhona กับคุกกี้ครัมเบิลที่สื่อถึงธาตุดินอีกเช่นเคย เป็นคำหวานอร่อยที่ชวนให้จิตใจเบิกบานไปพร้อมๆ กับชมแสงวิบวับของหิ่งห้อย
ขนมเปียกปูนที่หุ้มด้วยไวต์ช็อกโกแลต
นอกจากอาหารของเชฟนิคแล้ว ในอนาคตวังหิ่งห้อยยังจะมีแคมเปญพิเศษที่จะเชิญเชฟระดับมิชลินสตาร์มาร่วมเป็นเชฟรับเชิญตีความและนําเสนออาหารตามธีมต่างๆ ที่กล่าวเอาไว้แล้วอีกด้วย ใครที่อยากจะลองสัมผัสประสบการณ์ Fine Dining ท่ามกลางบรรยากาศของแสงหิ่งห้อยใจกลางเมืองหลวงแบบนี้ ต้องลอง
วังหิ่งห้อย
Open: ช่วง Soft Opening ให้บริการตั้งแต่ 19.00-24.00 น. (เวลาอาจจะมีการปรับเปลี่ยนได้หลังจากร้านเปิดอย่างเป็นทางการ)
Address: 149 ถนนริมทางรถไฟสายแปดริ้ว (ถนนโลคัลโรด) แขวงบางกะปิ เขต ห้วยขวาง กรุงเทพมหานคร 10310
Budget: 5 คอร์ส ราคาเริ่มต้นที่ 2,400 บาท++ (สามารถสั่งแบบจานเดี่ยวได้ในช่วง Soft Opening)
Contact: โทร. 091 979 6226
Page: www.facebook.com/WangHingHoi/
Map: