×

ผลกระทบไทยกับนโยบาย Reciprocal Tariffs ของ Trump

23.03.2025
  • LOADING...
นโยบาย Reciprocal Tariffs ของทรัมป์ส่งผลกระทบต่อไทยที่มีดุลการค้าเกินดุลสูงถึง 48,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ

นโยบายการค้าของสหรัฐฯ ภายใต้แนวคิด America First และ Reciprocal Trade and Tariffs อาจก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในระบบการค้าทั่วโลก ซึ่งจากบันทึกคำสั่งของประธานาธิบดีทรัมป์ล่าสุด ได้กำหนดให้หน่วยงานต่างๆ มุ่งเป้าไปยังประเทศคู่ค้าที่มีแนวทางการค้าที่ไม่เป็นธรรม เช่น การตั้งภาษีศุลกากรกับสหรัฐฯ ที่สูงเมื่อเทียบกับประเทศอื่น การมีมูลค่าเกินดุลการค้ากับสหรัฐฯ อย่างมีนัย และมีข้อกำหนดด้านกฎระเบียบที่เข้มงวด ในส่วนของประเทศไทย ซึ่งมีดุลการค้าระหว่างประเทศเกินดุลกับสหรัฐฯ ที่อยู่ในระดับสูง และมีมาตรการกีดกันการนำเข้า อาจตกเป็นเป้านโยบาย Reciprocal Trade and Tariffs

 

มีเหตุผลหลายประการที่ทำให้เชื่อว่า ประเทศไทยอาจเป็นหนึ่งในประเทศที่ได้รับผลกระทบจากนโยบายดังกล่าว เนื่องจาก 

 

1. ในปี 2567 ประเทศไทยมียอดเกินดุลการค้ากับสหรัฐฯ จำนวนถึง 48,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ทำให้เป็นประเทศที่มีดุลการค้าเกินดุลกับสหรัฐฯ มากเป็นอันดับที่ 11 ในบรรดาประเทศที่ค้าขายกับสหรัฐฯ ทั้งหมดทั่วโลก  

 

2. ประเทศไทยมีช่องว่างด้านภาษีศุลกากรกับสหรัฐฯ ในระดับสูง โดยอัตราภาษีเฉลี่ยที่กำหนดกับสินค้าสหรัฐฯ อยู่ที่ 9.5% ในขณะที่สหรัฐฯ กำหนดอัตราภาษีเพียง 0.8% เท่านั้น (ข้อมูลจาก ITC, World Bank, กุมภาพันธ์ 2568) 

 

3. ประเทศไทยใช้มาตรการที่ไม่ใช่ภาษีศุลกากร (Non-tariff measures) หลายประการที่เป็นอุปสรรคต่อการนำเข้าสินค้าจากต่างประเทศและปกป้องอุตสาหกรรมภายในประเทศ โดยเฉพาะภาคเกษตรกรรม มาตรการสำคัญ ได้แก่ มาตรการด้านสุขอนามัย อุปสรรคทางเทคนิค (เช่น ข้อกำหนดด้านการติดฉลาก) โควตาการนำเข้า และค่าธรรมเนียมการตรวจสอบความปลอดภัยของอาหาร

 

ทั้งนี้ หากสหรัฐฯ ปรับขึ้นภาษีนำเข้าบนสินค้านำเข้าจากไทยจะส่งผลกระทบด้านลบต่อมูลค่าสินค้าส่งออกหลักของไทยไปยังสหรัฐฯ เช่น ฮาร์ดดิสก์ ยางรถยนต์ เป็นต้น รวมไปถึงสินค้าที่เข้าข่ายเป็นสินค้าจีน อย่างเช่น แผงโซลาร์เซลล์ หม้อแปลงไฟฟ้า และโมเด็ม/เราเตอร์ (Modem Router) ที่ส่งผ่านจากประเทศไทยไปยังตลาดสหรัฐฯ ที่ปัจจุบันเริ่มเห็นแนวโน้มนี้เกิดขึ้นแล้ว โดยนับตั้งแต่ครึ่งหลังของปี 2567 เป็นต้นมา มูลค่าการส่งออกของสินค้าเหล่านี้ ปรับตัวลดลงกว่า 80% เนื่องจากบริษัทจีนเริ่มย้ายฐานการส่งออกออกจากไทยไปตั้งฐานการส่งออกที่ประเทศลาวและอินโดนีเซีย เพื่อหลีกเลี่ยงภาษีนำเข้าที่สูงขึ้น จากประเด็นนี้สะท้อนว่า ในช่วงที่ผ่านมาการลงทุน FDI จากจีนที่เพิ่มขึ้นอาจลดลง หากสหรัฐฯ มีนโยบายกีดกันทางการค้าเพิ่มเติมกับประเทศที่ได้รับประโยชน์จากเรื่อง China +1 ในช่วงที่ผ่านมา

 

อย่างไรก็ดี ประเทศไทยยังมีทางเลือกหลายประการในการแก้ไขปัญหาดุลการค้าเกินดุลกับสหรัฐฯ และลดความเสี่ยงจากการถูกสหรัฐฯ เรียกเก็บภาษีที่สูงขึ้น โดยแต่ละทางเลือกมีข้อจำกัดและอุปสรรคที่สำคัญ คือ

 

1. ประเทศไทยสามารถนำเข้าน้ำมันดิบและก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG) จากสหรัฐฯ มากขึ้นเพื่อช่วยลดดุลการค้าเกินดุล ปัจจุบัน ประเทศไทยมีการนำเข้าน้ำมันดิบจากสหรัฐฯ มูลค่า 4.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ และ LNG มูลค่า 1.1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ คิดเป็น 13% และ 16% ของการนำเข้าทั้งหมดตามลำดับ การเพิ่มการนำเข้าสินค้าเหล่านี้อาจช่วยลดดุลการค้าเกินดุลกับสหรัฐฯ ได้ อย่างไรก็ตาม ข้อจำกัดสำคัญอยู่ที่คุณภาพของน้ำมันดิบจากสหรัฐฯ เนื่องจากโรงกลั่นน้ำมันของไทยได้รับการออกแบบให้เหมาะสมกับน้ำมันดิบที่มาจากตะวันออกกลางมากกว่า

 

2. ประเทศไทยสามารถเพิ่มการนำเข้าสินค้าเกษตรจากสหรัฐฯ โดยเฉพาะวัตถุดิบอาหารสัตว์ เช่น ถั่วเหลือง ข้าวโพด และข้าวสาลี ซึ่งในปัจจุบัน ประเทศไทยนำเข้าถั่วเหลืองส่วนใหญ่มาจากบราซิล แม้ว่าการยกเลิกโควตาการนำเข้าอาจช่วยเพิ่มการนำเข้าถั่วเหลืองจากสหรัฐฯ ที่แม้จะช่วยลดปัญหาการเกินดุลการค้ากับทางสหรัฐฯ แต่ราคาถั่วเหลืองของสหรัฐฯ ที่สูงกว่าบราซิล อาจลดความน่าสนใจของการนำเข้าจากสหรัฐฯ ในขณะเดียวกัน ข้าวโพดและข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ส่วนใหญ่นำเข้าจากประเทศในอาเซียน เช่น เมียนมา ลาว และกัมพูชา ภายใต้ข้อตกลงการค้าเสรีอาเซียน (FTA) ที่อนุญาตให้มีการนำเข้าโดยปลอดภาษีจากประเทศเพื่อนบ้านในขณะที่ข้าวโพดจากสหรัฐฯ จะมีอัตราภาษีที่สูงกว่า 

 

3. ประเทศไทยสามารถเสนอมาตรการจำกัดการส่งออกสินค้าจากจีนที่ถูกส่งผ่านไทยไปยังสหรัฐฯ เพื่อหลีกเลี่ยงภาษีที่ถูกกำหนดมาตั้งแต่สงครามการค้าครั้งแรก ตัวอย่างของสินค้าได้แก่ แผงโซลาร์เซลล์ โมเด็ม/เราเตอร์ และตัวแปลงไฟฟ้าสถิต อาจเป็นส่วนหนึ่งของกลยุทธ์การส่งออกผ่านไทย (transshipment strategy) เพื่อหลีกเลี่ยงภาษีจากสหรัฐฯ จากการประเมินโดยอิงจากสินค้าดังกล่าว การส่งออกที่ถูกส่งผ่าน (re-routed exports) อาจมีส่วนทำให้ดุลการค้าเกินดุลกับสหรัฐฯ อย่างน้อย 8-10 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ อย่างไรก็ตาม ขนาดที่แท้จริงของกิจกรรมทางการค้าประเภทนี้ยังไม่สามารถระบุได้แน่ชัด และอาจมีมูลค่าสูงกว่าที่ประเมินไว้มาก และยังไม่แน่ชัดว่ามีกี่อุตสาหกรรมที่เข้าข่ายว่าเป็นกิจกรรมประเภทนี้

 

ความไม่แน่นอนทางการค้าที่เกิดจากนโยบายของประธานาธิบดีทรัมป์จะส่งผลกระทบไม่เพียงแต่กับภาคการส่งออกของประเทศไทย แต่ยังอาจกดดันให้ประเทศไทยต้องยอมผ่อนปรนมาตรการกีดกันทางการค้า ลดภาษีนำเข้าเพื่อเพิ่มโอกาสในการเข้าถึงตลาด หรือยื่นข้อเสนอพิเศษแก่สหรัฐฯ ซึ่งจะส่งผลให้บางภาคส่วนในประเทศต้องเผชิญกับการแข่งขันจากต่างประเทศที่เพิ่มขึ้น ซึ่งต้องติดตามบทบาทของรัฐบาลไทยในการเจรจาการค้ากับสหรัฐฯ ต่อไป เนื่องจากแนวนโยบาย Reciprocal Trade and Tariffs ของสหรัฐฯ ดังกล่าวจะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยและสถานการณ์การลงทุนอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

 

ภาพ​: Luis Diaz Devesa/Getty Images 

  • LOADING...

READ MORE






Latest Stories

Close Advertising