วันนี้ (23 มีนาคม) นพดล มังกรชัย รองหัวหน้าพรรคไทยสร้างไทย กล่าวว่า พรรคได้ออกแถลงการณ์ เรื่องการเสนอแจกเครดิตให้ประชาชนแทนการแจกเงินดิจิทัล 10,000 บาท เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจให้ทุนตั้งตัวแก่ประชาชน เพราะถึงวันนี้ดูเหมือนว่าโครงการแจกเงินดิจิทัล 10,000 บาทใกล้จะถึงทางตัน
ขณะที่คนในรัฐบาลยังคงยืนยันจะเดินหน้านโยบายนี้ต่อไปท่ามกลางกระแสการคัดค้านจากผู้คนมากมาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากนักเศรษฐศาสตร์ นักวิชาการ และนักกฎหมายการคลัง ส่วนใหญ่มองว่าโครงการนี้อาจก่อให้เกิดความเสียหายต่อระบบการเงินการคลังของประเทศ ได้ไม่คุ้มเสีย
การเสนอนโยบายในช่วงหาเสียงเลือกตั้ง กับการแถลงข่าวของคนในรัฐบาลที่เกี่ยวข้องหลายคน ดูเหมือนยังไม่เป็นไปในทิศทางเดียวกัน จนมีผู้ออกมาวิพากษ์วิจารณ์กันมากมายว่าเป็นการนำเสนอและชี้แจงที่ไม่ตรงปก มีข้อบ่งชี้ในหลายประเด็นว่าเป็นนโยบายหาเสียงที่ไม่มีความพร้อม ไม่ได้พิจารณาปัจจัยต่างๆ อย่างรอบคอบทั้งในด้านเศรษฐกิจและกฎหมาย จึงเกิดปัญหาในทางปฏิบัติจนล่าช้าออกไปอย่างมาก
นพดลกล่าวอีกว่า ตนและพรรคไทยสร้างไทย เห็นว่าโครงการนี้เป็นเพียงนโยบายที่เน้นการกระตุ้นเศรษฐกิจระยะสั้นเท่านั้น และจะทำให้เกิดปัญหาในเรื่องการกำหนดเงื่อนไขในการขึ้นเงินของร้านค้าที่เข้าร่วมโครงการอย่างแน่นอน มีความเสี่ยงในการเอื้อประโยชน์ต่อบุคคลหรือกลุ่มบุคคลได้ ดังนั้น รัฐบาลต้องชี้แจงให้เห็นผลอย่างเป็นรูปธรรมว่าผู้ได้รับประโยชน์จากโครงการจะไม่ใช่บุคคลรายใดรายหนึ่งหรือกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง โดยเฉพาะกลุ่มผู้ประกอบการรายใหญ่ที่มีศักยภาพมากกว่าผู้ประกอบการรายย่อย
พร้อมกับต้องมีขั้นตอนและวิธีการที่เป็นรูปธรรมชัดเจน ให้โครงการสามารถกระจายการกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างทั่วถึง
นพดลกล่าวว่า ขอเสนอให้มีการถอดบทเรียนจากการแจกเงินที่เกิดขึ้นในรัฐบาลที่แล้วมาพิจารณาประกอบด้วย เนื่องจากได้เคยมีการสำรวจความพึงพอใจของผู้ประกอบการที่เข้าร่วมโครงการ พบว่าร้านค้ามากกว่าร้อยละ 60 กลับมีความรู้สึกและประสบการณ์ที่ไม่ดีต่อโครงการลักษณะนี้ และเห็นพ้องไปในทางเดียวกันว่า ไม่แน่ใจที่จะเข้าร่วม และบางส่วนยืนยันว่าจะไม่เข้าร่วมโครงการ เพราะมีความกังวลเรื่องภาษี และยังไม่รู้หลักเกณฑ์รายละเอียดการเข้าร่วม ทั้งยังกังวลว่าจะได้รับเงินล่าช้ากว่าการขายปกติ
พรรคไทยสร้างไทยเห็นว่า การจัดลำดับความสำคัญในการบริหารงบประมาณและการดำเนินนโยบายของรัฐบาล ต้องคำนึงถึงความคุ้มค่าและความจำเป็นในการกระตุ้นเศรษฐกิจ ตลอดจนผลกระทบและภาระทางการเงินการคลังในอนาคตของประเทศ โดยให้ความสำคัญสูงสุดกับเรื่องปากท้องของคนส่วนใหญ่ที่เป็นคนตัวเล็กที่ไม่มีเงินจะจับจ่ายใช้สอยและลงทุนทำมาหากินตามฐานานุรูปของตน คนตัวเล็กที่เรากำลังพูดถึงอยู่นี้มีจำนวนมากกว่า 36 ล้านคน คนเหล่านี้ไม่มีโอกาสเข้าสู่ระบบธนาคารที่ให้กู้ในอัตราดอกเบี้ยต่ำได้เลย พวกเขาต้องพึ่งเงินกู้นอกระบบที่อัตราดอกเบี้ยสูงมากคือ 10-20% ต่อเดือน หรือ 120-240% ต่อปี
จึงไม่มีทางจะมีชีวิตที่ดีและมั่นคงได้ รัฐมีหน้าที่ในการจัดหาแหล่งเงินทุนดอกเบี้ยต่ำมาช่วยเหลือคนเหล่านี้ ซึ่งพรรคไทยสร้างไทยได้เสนอให้แก้ปัญหาที่กล่าวมาด้วยการออกพันธบัตรกู้ยืมเงินจากคนที่มีเงินในอัตราดอกเบี้ยประมาณ 3.5-4% ต่อปี เพื่อมาปล่อยเครดิตให้กับคนตัวเล็กประมาณ 20 ล้านคน ในอัตราดอกเบี้ยไม่เกิน 12% ต่อปี หรือไม่เกิน 1% ต่อเดือน วิธีการนี้คือ การแจกเครดิตให้ประชาชน เริ่มต้นที่คนประมาณ 20 ล้านคน คนละ 10,000 บาท เพื่อนำร่อง ซึ่งจะใช้เงินประมาณ 2 แสนล้านบาท
การแจกเครดิตให้ประชาชน ไม่ใช่แจกเงินแบบให้เปล่า ผู้รับเงินไปยังคงมีหน้าที่ที่จะใช้คืนเงินต้นและดอกเบี้ยตามตารางเวลาที่กำหนด วิธีการนี้ไม่ต้องวุ่นวายกับร้านค้าที่จะรับเงินดิจิทัล ซึ่งต้องอยู่ในระบบ VAT ดังนั้น สินค้าและบริการระดับบ้านๆ เช่น ตลาดรถกระบะเปิดท้าย ตลาดนัดชุมชนในรูปแบบอื่นๆ ก็สามารถได้รับประโยชน์โดยถ้วนหน้า กลไกของเงินที่จะนำมาใช้ในโครงการจะมีลักษณะเป็น Revolving Fund ที่จะสามารถดูแลตนเองจากรายได้ที่ได้รับ สำหรับคนที่รักษาเครดิตไว้ได้อย่างดี ตั้งแต่ 6 เดือนขึ้นไป มีสิทธิขอเครดิตเพิ่มเติมจากรัฐได้ แต่ไม่เกิน 50,000 บาท ซึ่งรัฐจะพิจารณาประวัติ ความมุ่งหมายในการขอเครดิตเพิ่ม และความสามารถในการใช้คืน
รัฐไม่ต้องสร้างกลไกอะไรใหม่ สามารถใช้ระบบในแอปเป๋าตังที่มีอยู่โดยปรับปรุงบางส่วน ไม่ต้องไปเสียเวลาเขียนโปรแกรมใหม่เพื่อมารองรับเทคโนโลยีบล็อกเชน รัฐเพียงทำตัวเป็นคนกลางกู้เงินคนรวยในอัตราดอกเบี้ยต่ำมาปล่อยเป็นเครดิตให้ประชาชน ในอัตราดอกเบี้ยที่ต่ำกว่าเงินกู้นอกระบบ 10-20 เท่า โดยมอบให้ธนาคารของรัฐเป็นผู้ดำเนินการในเรื่องการดูแลระบบปฏิบัติการและกระบวนการสินเชื่อ ซึ่งจะมีค่าใช้จ่ายไม่มาก เพราะเป็นระบบที่มีและใช้อยู่ในปัจจุบันอยู่แล้ว
นพดลกล่าวด้วยว่า หากรัฐบาลต้องการช่วยเหลือประชาชนก็ควรมุ่งช่วยเหลือกลุ่มประชาชนที่มีฐานะยากจน กลุ่มคนเปราะบางที่ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ การแจกเครดิตให้ประชาชนโดยอาศัยแหล่งเงินจากการออกพันธบัตรรัฐบาล เป็นระบบการพึ่งพาตนเองจากแหล่งเงินภายในประเทศ มิใช่เงินกู้ที่จะทำให้ส่งผลกระทบกับฐานะการเงินการคลังของประเทศ ไม่สร้างภาระหนี้สาธารณะของประเทศในระยะยาว เป็นการช่วยพยุงการดำรงชีวิตของกลุ่มประชาชนที่ยากจน ด้วยวิธีการการกระจายการจ่ายเงินเป็นงวดๆ หลายงวดผ่านท่อน้ำเลี้ยงที่ช่วยอัดฉีดเงินให้ประชาชนเอาไปใช้ในสิ่งที่จำเป็นเพื่อการทำมาหากินแบบหมุนเวียนไม่จบสิ้น ทำให้เขาเข้าสู่ระบบเสมือนธนาคารโดยไม่ต้องมีหลักประกันอะไร
ทั้งจะเกิด Multiplier Effects ไปตลอด ซึ่งแตกต่างจากการแจกเงินดิจิทัล 10,000 บาท เป็นก้อนมหาศาลเพียงครั้งเดียว ที่เงินทั้งก้อนจะไหลไปสู่เจ้าสัว ทุนใหญ่ และทุนพรรคพวกเหมือนเดิม ถ้าขนาดของเงินหมุนเวียนมีถึง 5.6 แสนล้านบาท ในอนาคต ลองนึกภาพว่าจะสร้างการบริโภคภายใน (Local Consumption) ขนาดไหน
พรรคไทยสร้างไทยขอย้ำว่าเจตนารมณ์ของการเสนอให้แจกเครดิตให้ประชาชนแทนการแจกเงินดิจิทัล เพื่อให้ประชาชนคนตัวเล็กเข้าถึงเงินทุนดอกเบี้ยต่ำโดยเน้นการสร้างความรับผิดชอบและวินัยให้แก่พวกเขา เพื่อให้มีชีวิตอย่างมีศักดิ์ศรีและมั่นคง ไม่ใช่มองเขาแบบคนรอรับการแจกเงิน ถ้าประชาชนราว 36 ล้านคน มีเครดิตดอกเบี้ยต่ำใกล้เคียงกับธุรกิจขนาดใหญ่ พวกเขาจะเป็นพลังการผลิตและพลังบริโภคที่มหาศาลให้แก่ประเทศไทย