×

‘บทเรียนแด่หนุ่มสาว’ จากซีรีส์ Start-Up เมื่อชีวิตคือการเรียนรู้ไม่มีวันจบ

24.11.2020
  • LOADING...
‘บทเรียนแด่หนุ่มสาว’ จากซีรีส์ Start-Up เมื่อชีวิตคือการเรียนรู้ไม่มีวันจบ

HIGHLIGHTS

  • จุดอ่อนของวัยเยาว์คือความเขลา ความขาดประสบการณ์ ซัมซานเทคกับฮันจีพยองจึงมีรูปแบบความสัมพันธ์ต่อกันในเชิงครูแนะแนวปากร้ายกับนักเรียนเนิร์ดหน้าห้องที่เก่งแต่ไหวพริบเชิงธุรกิจยังสอบตก
  • ความสำเร็จของคนทะเยอทะยาน กับความสำเร็จของคนที่ไม่ได้อยากเด่นดังอะไรในชีวิต มันมีจุดหมายปลายทางที่ต่างกัน และไม่ได้แปลว่าความสำเร็จของใครมีค่าและมีความสุขกว่าใคร

* บทความนี้เปิดเผยเนื้อหาของซีรีส์ *

 

ซีรีส์ Start-Up เดินทางมาถึงอีพี 12 ด้วยการฟาดสายฟ้าลงมายังตัวละครหลัก ทั้งทีมซัมซานเทคที่คดีพลิก โดนเหลี่ยมคมทางธุรกิจจนต้องยุบบริษัท คิมยงซาน นัมโดซาน อีชอลซาน เดินทางไปทำงานให้กับทุสโทที่ซานฟรานซิสโก ซาฮากลับไปมีชีวิตของตัวเอง และซอดัลมีเลือกพลิกวิกฤตเป็นโอกาส สมัครงานกับอินแจคอมปะนี พี่สาวที่เธอเคยมองว่าเป็นคู่ตรงข้าม

 

ความน่าสนใจของซีรีส์ Start-Up นอกเหนือการถ่ายทำ ลำดับเรื่องราว การสวิงอารมณ์ขึ้นสุดลงสุดจนคนดูแทบไม่ได้พักใจ การแสดงยอดเยี่ยมของทีมนักแสดงทั้งบทนำและสมทบ อีกอย่างที่ต้องยอมรับก็คือผลงานการเขียนบทของพัคฮเยรยอน ที่ฉายภาพความจริงอยู่บนเรื่องสมมุติได้อย่างกลมกลืน ตัวละครมีแบ็กกราวด์ที่ยืนพื้นอยู่บนความเป็นไปได้ คนดูอย่างเราๆ จึงพอจะทาบทับตัวเองไปบนนั้นและอินไปกับเหตุการณ์ใน Sandbox ได้ด้วย

 

สิ่งสำคัญที่ซีรีส์เรื่องนี้มอบให้กับคนดูก็คือบทเรียนแด่หนุ่มสาว ที่เรามองเห็นผ่านชีวิตของตัวละคร มันสะท้อนให้เห็นการต่อสู้ การผ่านประสบการณ์ การค้นหาตัวตน-ความหมายของชีวิต และเดินตามฝันที่แต่ละคนตั้งหมุดหมายเอาไว้ 

 

มีฉากหนึ่งที่สมาชิกซัมซานเทคคุยกันว่าได้เงิน 3,000 ล้านวอนแล้ว อีก 3 ปีจะทำอะไรต่อไป ชอลซานบอกว่าเขาจะเอาเงินไปใช้หนี้แล้วเปิดรีสอร์ต ขณะที่ดัลมีตั้งใจจะหาธุรกิจใหม่ทำต่อไป มุมมองเหล่านี้ซีรีส์สอดแทรกความคิดที่แยบยลเอาไว้ มันทำให้เห็นว่าความสำเร็จของคนแต่ละคนไม่เหมือนกัน คนที่ทะเยอทะยานกับคนที่ไม่ได้อยากเด่นดังอะไรในชีวิตนั้นมีจุดหมายปลายทางที่ต่างกัน กระนั้นก็ไม่ได้แปลว่า ความสำเร็จของใครมีค่าและมีความสุขมากกว่าใคร 

 

 

#ซัมซานเทค กับการล้มเพื่อลุกขึ้นใหม่

ซัมซานเทคนับเป็นตัวอย่างของกลุ่มธุรกิจจำนวนมากมาย โดยเฉพาะในยุคสมัยนี้ที่หนุ่มสาวเลิกมองหางานประจำและกระโจนลงในโลกธุรกิจส่วนตัว ซึ่งเอาจริงๆ มันไม่ง่าย ถ้าไม่ใช่เรื่องราวในซีรีส์ ก็เป็นไปได้ว่าซัมซานเทคก็ยังคงเดินก้าวพลาดซ้ำๆ ต่อไป เพราะถ้าฮันจีพยองไม่ได้เข้ามา พวกเขาที่ชนะรางวัลโคด้า ก็คงเปิดเผยความลับทั้งหมดให้กับบริษัทใหญ่ที่แฝงตัวเหมือนจะมาลงทุน หรือคดีอาจพลิกที่อเล็กซ์มาชวนพวกเขาไปซิลิคอนแวลลีย์ สามหนุ่มได้ทำงานที่ทุสโท สร้าง AI อัจฉริยะออกมามากมาย ซึ่งอาจไม่ใช่นวัตกรรมที่ช่วยเหลือผู้มีปัญหาทางการมองเห็นอย่างเช่นในตอนนี้

 

จุดอ่อนของวัยเยาว์คือความเขลา ความขาดประสบการณ์ ซัมซานเทคกับฮันจีพยองจึงมีรูปแบบความสัมพันธ์ต่อกันในเชิงครูแนะแนวปากร้ายกับนักเรียนเนิร์ดหน้าห้องที่เรียนเก่งแต่ไหวพริบเรื่องการเข้าสังคมและมองคนให้ขาดยังสอบไม่ผ่าน

 

นอกจากนี้ข้อมูลจริงของวงการสตาร์ทอัพก็ไม่ได้สวยหรูอย่างที่หลายคนคิด แม้เราจะเห็นธุรกิจที่ประสบความสำเร็จมากมาย แต่นั่นเป็นเพียงยอดภูเขาน้ำแข็งที่รอดมาได้ ธุรกิจที่ล้มหายตายจากไปจำนวนมากมายนั้นต่างหากที่ไม่เคยถูกกล่าวถึง โดยสถิติของเกาหลีใต้เปิดเผยว่า สตาร์ทอัพ 62% มักจะล้มเหลวใน 3 ปีแรกของการเริ่มต้นธุรกิจ 

 

 

ความสำเร็จของ #วอนอินแจ 

วอนอินแจมองว่าธุรกิจที่ประสบความสำเร็จคือธุรกิจที่ทำกำไรมหาศาล เธอเริ่มต้นชีวิตแนวทางนี้ตั้งแต่ตอนที่เลือกอยู่กับแม่ เพราะรู้ดีว่าเงินทองและฐานะทางสังคมเป็นแต้มต่อที่ส่งให้อนาคตดีขึ้นได้ ซึ่งจริงๆ แล้วไม่ใช่ความผิดอะไรของอินแจเลย ดังนั้นการที่เธอเติบโตใต้เงาของพ่อเลี้ยงมหาเศรษฐี แม้ว่าตัวเธอจะมีความสามารถมากมาย แต่กลับไม่ได้รับผลของมันอย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย ทั้งยังได้รับการปฏิบัติที่ไม่เท่าเทียม จนทำให้อินแจตัดสินใจออกไปเริ่มต้นใหม่ 

 

อินแจได้เรียนรู้ว่าวันที่เธอยืนอยู่บนจุดสูงสุด มีเงินทองมากมาย มันกลับกลายเป็นความว่างเปล่า และตอบคำถามไม่ได้ด้วยซ้ำว่าเธอทำมันไปทั้งหมดนั้นเพื่ออะไร 

 

การได้เริ่มต้นใหม่ด้วยลำแข้งของตัวเองอย่างแท้จริงกลับกลายเป็นบทเรียนชีวิตครั้งสำคัญ บนเวที Demo Day อินแจได้ค้นพบความหมายของการทำธุรกิจ ซึ่งก็คือการทำงานเพื่อเกิดประโยชน์แก่ผู้คนและสร้างอนาคตที่ดีให้สังคม บนเวที Demo Day วันนั้นเป็น Coming of Age ที่พลิกให้อินแจกลายเป็นตัวละครที่งดงาม ตอบกลับภาพแข็งกระด้างทั้งหมดที่ผ่านมาให้คนดูได้เข้าใจ รวมถึงตัวดัลมีเองด้วยที่เริ่มมองเห็นภาพพี่สาวคนเดิมกลับมาอีกครั้ง

 

ท่ามกลางความเข้มงวด ทำงานหนัก และความทะเยอทะยานทั้งหมดที่มี อินแจอาจจะดูเป็นคนแข็งๆ กล้าพูด กล้าทำร้ายจิตใจทุกคน ราวกับว่าเธอเองเป็นวัตถุที่ไม่รู้สึกรู้สา แต่ในเปลือกนอกแข็งแกร่งนั้น เธอต้องการความรักจากพ่อ แม่ ย่า และน้องสาวมากกว่าใคร เพียงแต่ยังไม่เคยพูดออกไปเท่านั้น

 

 

#ซอดัลมี และ #ฮันจีพยอง กับชีวิตที่ต้อง ‘ทนมือทนเท้า’ 

ซอดัลมีเป็นตัวละครที่น่าสงสารลำดับต้นๆ ของเรื่อง เธอเจอมรสุมชีวิตตั้งแต่เล็ก แม่กับพี่สาวออกจากบ้านไป พ่อที่พยายามสร้างธุรกิจของตัวเองก็เสียชีวิต ย่ายอมขายร้านฮอตดอกเพื่อให้เธอได้เรียนต่อมหาวิทยาลัย แต่ดัลมีใช้เงินนั้นไม่ลง จึงออกมาหางานทำเพื่อซื้อ Food Truck คืนให้ย่า เรื่องการทำงาน ดัลมีนับว่าเป็นคนเก่งและมีประสบการณ์หลากหลาย แต่ก็ยังโดนบริษัทหลอกให้ทำงานในฐานะพนักงานชั่วคราวอยู่เป็นปีๆ กว่าจะได้เริ่มต้นชีวิตใหม่อย่างแท้จริงที่ Sandbox

 

ไม่ต่างจาก ฮันจีพยอง ที่เปิดตัวด้วยความหิวโหยและใบเกียรติบัตรนักลงทุนกระดาษ เด็กกำพร้าที่ใช้ชีวิตเพียงลำพัง ไม่มีบ้าน โดนหลอก โดนปฏิเสธอยู่บ่อยครั้ง มีเพียงย่าของซอดัลมีที่มองเห็นอะไรบางอย่างในตัวเขา และเปิดรับให้เข้ามาอยู่หลังร้านฮอตดอก คอยดูแล ทำอาหารให้อิ่มท้อง ก่อนที่โชคชะตาจะทำให้พวกเขาแยกย้ายไปจากกัน 

 

ซีรีส์ไม่ได้เล่าเรื่องสู้ชีวิตของฮันจีพยองมากนัก สุดท้ายเราได้แต่เห็นภาพของชายหนุ่มที่มีครบพร้อมทุกอย่าง ทั้งการงาน ทรัพย์สิน และฐานะทางสังคม ซึ่งแม้ว่าเขาจะดูประสบความสำเร็จทุกอย่าง มีอพาร์ตเมนต์สุดหรูริมแม่น้ำฮัน มีนาฬิกาเรือนที่ราคาแพงกว่ารถยนต์นำเข้า มีเงินในบัญชีมากมายจนใช้ไม่หมด แต่เขากลับไม่ได้เดือดร้อนกับการมีอยู่ของวัตถุเหล่านั้น 

 

ดูเหมือนว่าฮันจีพยองก้าวข้ามผ่านบาดแผลที่เคยมีในอดีตด้วยหน้าที่การงานที่มี แต่บาดแผลในเรื่องความสัมพันธ์ดูเหมือนเขายังต้องเรียนรู้อีกมาก เพราะเราได้เห็นกันชัดเจนแล้วว่าผลจากการเติบโตด้วยตัวคนเดียว ไม่ไว้ใจใครง่ายๆ มองโลกแง่ร้ายอยู่เสมอ ทำให้ฮันจีพยองไม่มีเพื่อนสนิท ไม่เคยลาหยุด การทำงานเป็นสิ่งเดียวที่เขามีอยู่ในชีวิต และเมื่อต้องเจอกับความรู้สึก ‘รัก’ ครั้งแรก ก็ยังทำอะไรหลายอย่างที่ผิดไปจากตัวเอง

 

ฉากที่ซอดัลมีและฮันจีพยองกินบะหมี่ริมทางด้วยกัน จีพยองพูดขึ้นว่า “เธอนี่มันทนมือทนเท้าดีนะ” ก็อาจเป็นได้ว่าทั้งคู่เชื่อมโยงกันด้วยบาดแผลเหวอะหวะที่ต่างมีในอดีต ที่ฝ่ายหนึ่งพยายามข้ามผ่าน ส่วนอีกฝ่ายหนึ่งเป็นพี่เลี้ยงให้รุ่นน้องก้าวผ่านมันไปให้ได้ด้วยการมอบคำพูดตรงไปตรงมาและเป็นความจริงให้เสมอ

 

บางทีจดหมายที่พวกเขาเขียนตอบโต้กันตลอด 1 ปีก็คงไม่ต่างอะไรกับ Sandbox ที่คอยรองรับเอาไว้ในวันที่ชีวิตร่วงหล่น เช่นเดียวกับคุณย่าชเววอนด็อกที่เป็นบุคคลที่รักที่สุดของทั้งคู่ บุญคุณก้อนใหญ่ที่ตอบแทนด้วยเงินเท่าไรก็ไม่ได้

 

 

ถ้ามีคำกล่าวว่า ‘ดูละครแล้วย้อนดูตน’ เรื่องราวในซีรีส์ Start-Up ก็เหมือนเป็นอีกครั้งที่บอกให้เรารู้ว่า ชีวิตของทุกๆ ตัวละครในเรื่องล้วนต้องผ่านประสบการณ์เพื่อเรียนรู้ ในวัยเด็กเรามีความฝัน ความหวังมากมาย แต่เมื่อเติบโต ระหว่างทางชีวิตคนแต่ละคนก็มีร่องรอยที่แตกต่าง บางคนผ่านมาบนเส้นทางที่เต็มไปด้วยดงหนาม บางคนผ่านมาบนเส้นทางที่โรยด้วยกลีบกุหลาบ หรือบางคนก็ระหกระเหินแทบต้องคลานมาบนพื้นปูนร้อนๆ 

 

เราบอกไม่ได้ว่าชีวิต ความหวัง ความสำเร็จของคนแต่ละคนเป็นอย่างไร คนที่ประสบความสำเร็จมากมายก็ไม่ได้หมายความว่าชีวิตส่วนตัวจะมีความสุข คนที่ไม่ประสบความสำเร็จอะไรเลย คนที่ล้มเหลวซ้ำแล้วซ้ำเล่าก็อาจมีชีวิตที่ยังพอไหว ถ้ายังมีหวังกับวันพรุ่งนี้เสมอ 

และนี่คือบทเรียนแด่หนุ่มสาว อย่างที่คุณย่าชเววอนด็อกเคยบอกกับซอดัลมีไว้ว่า “แกคือดอกคอสมอส ตอนนี้ยังเป็นฤดูใบไม้ผลินะ เดี๋ยวก็จะบานอย่างงดงามในฤดูใบไม้ร่วง… ดังนั้นอย่ารีบร้อนไปเลย”

 

พิสูจน์อักษร: พรนภัส ชำนาญค้า

  • LOADING...

READ MORE






Latest Stories

Close Advertising