×

SCB CIO คาดเศรษฐกิจจีน-เวียดนามเสี่ยงชะลอตัวแรง ส่งออก-อสังหาฉุด แนะทยอยสะสมหุ้นกู้คุณภาพสูงและหุ้น Quality Growth

01.12.2023
  • LOADING...
เศรษฐกิจจีน-เวียดนาม

SCB CIO มองแนวโน้มเศรษฐกิจปี 2567 สหรัฐอเมริกา-ญี่ปุ่นควงแขนชะลอตัวแบบจัดการได้ ส่วนจีน-เวียดนามเสี่ยงชะลอตัวแรงจากแรงถ่วงภาคส่งออกและอสังหาริมทรัพย์ คาดครึ่งปีหลังปีหน้าเริ่มเห็นลดดอกเบี้ย แต่ต้องระมัดระวัง ปี 2567-2568 เริ่มมีหุ้นกู้ครบอายุ เสี่ยง Rollover หนี้มากขึ้น โดยเฉพาะ High Yield แนะทยอยสะสมหุ้นกู้คุณภาพสูง 

 

ดร.กำพล อดิเรกสมบัติ ผู้อำนวยการอาวุโส และหัวหน้าทีม SCB Chief Investment Office (SCB CIO) ธนาคารไทยพาณิชย์ เปิดเผยว่า แนวโน้มเศรษฐกิจและการลงทุนในปี 2567 มี 4 ปัจจัยสำคัญ ดังนี้ 

 

  1. ภาพรวมเศรษฐกิจโลกในปี 2567 จะอยู่ในภาวะที่แต่ละประเทศชะลอตัวไม่เหมือนกัน (Uneven Slowdown) จากภาวะดอกเบี้ยสูงขึ้นต่อเนื่องและค้างไว้เป็นเวลานาน (Higher for Longer) ในหลายประเทศทั่วโลก ซึ่งคาดว่าจะอยู่ไปจนถึงช่วงกลางปี 2567 เป็นอย่างน้อย โดยการชะลอตัวของเศรษฐกิจจะมาจากการชะลอตัวของภาคการส่งออก รวมทั้งภาคธุรกิจที่อ่อนไหวสูงต่อดอกเบี้ย ได้แก่ ภาคอสังหา และภาคก่อสร้าง ทั้งนี้ประเทศที่ยังมีตลาดแรงงานและค่าจ้างเติบโตจะมีกำลังซื้อในประเทศ ช่วยทำให้ภาพรวมเศรษฐกิจยังชะลอตัวแบบจัดการได้ (Soft Landing) เช่น สหรัฐฯ และญี่ปุ่น ส่วนประเทศที่พึ่งพาการส่งออกมาก และมีปัจจัยถ่วงเฉพาะตัว เช่น การฟื้นตัวช้าของภาคอสังหา มีโอกาสที่เศรษฐกิจจะชะลอตัวค่อนข้างมาก เช่น จีน และเวียดนาม   

 

  1. ดอกเบี้ยแม้จะสูงนาน แต่ตลาดก็มีความคาดหวังจะเห็นการลดดอกเบี้ยในครึ่งปีหลัง (Market Expectation on Policy Rate Cuts) จากการชะลอตัวของเศรษฐกิจและอัตราเงินเฟ้อ โดยในส่วนของ SCB CIO มีมุมมองว่า ธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) และธนาคารกลางยุโรป (ECB) จะเริ่มลดดอกเบี้ยในไตรมาส 3/67 ขณะที่ธนาคารกลางญี่ปุ่นคาดว่าจะปรับมาตรการควบคุมเส้นอัตราผลตอบแทนพันธบัตร (Yield Curve Control: YCC) ให้เข้มงวดขี้นในช่วงเดือนเมษายน 2567 แล้วจึงจะยกเลิกทั้งมาตรการ YCC และนโยบายอัตราดอกเบี้ยติดลบ (NIRP) ในเดือนตุลาคม 2567 

 

โดยธนาคารกลางกลุ่มประเทศ Emerging Markets ส่วนใหญ่ เช่น จีน เวียดนาม อินโดนีเซีย และอินเดีย มีแนวโน้มปรับลดดอกเบี้ยในปี 2567 อย่างไรก็ดี แม้ตลาดคาดหวังการผ่อนคลายนโยบายการเงินของธนาคารกลางต่างๆ แต่ในส่วนของนโยบายการคลังนั้น หากประเทศที่มีหนี้สาธารณะสูงอยู่แล้วมีแนวโน้มจะทำมาตรการการคลังขนาดใหญ่ ก็จะทำให้ตลาดมีความกังวล และส่งผลให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรสูงขึ้นและค่าเงินอ่อนค่าลง

 

  1. ความเสี่ยงที่นักลงทุนควรติดตาม ได้แก่ ความเสี่ยงด้าน Stagflation คือเศรษฐกิจโตช้าแต่เงินเฟ้อสูง โดย SCB CIO ประเมินว่ากลุ่มประเทศในยุโรป โดยเฉพาะอังกฤษมีความเสี่ยงที่จะเกิดภาวะนี้สูงกว่าภูมิภาคอื่น ในขณะที่ภาคธุรกิจที่มีหนี้ใกล้ครบกำหนดจำนวนมากก็อาจมีความเสี่ยงที่จะต้องกู้ยืมใหม่ (Rollover) ในอัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้นมาก สะท้อนจากอัตราผลตอบแทนตราสารหนี้ (Yield to Worst) ของกลุ่มหุ้นกู้ที่ให้ผลตอบแทนสูง (High Yield) ในสหรัฐฯ ที่ล่าสุดอยู่ในระดับ 8.6% (เทียบกับ 5.1% ในช่วงต้นปี 2563) หรือกรณี Yield หุ้นกู้ไทย Rating BBB อายุ 5 ปี ที่ล่าสุดอยู่ที่ 5.6% (เทียบกับ 4.2% ในช่วงต้นปี 2563)

 

  1. ความไม่แน่นอนด้านการเมืองและนโยบายจากการเลือกตั้งในหลายประเทศเศรษฐกิจหลักเป็นอีกปัจจัยเสี่ยงสำคัญที่ต้องจับตา เพราะอาจนำมาสู่ความไม่แน่นอนทางการเมืองและนโยบาย รวมถึงความเสี่ยงภูมิรัฐศาสตร์ได้ โดยในปี 2567 จะมีการเลือกตั้งในไต้หวันในวันที่ 13 มกราคม, อินโดนีเซียในวันที่ 14 กุมภาพันธ์, อินเดียในช่วงเดือนเมษายน-พฤษภาคม และสหรัฐฯ ในวันที่ 5 พฤศจิกายน เป็นต้น ซึ่งในช่วงการหาเสียงและประกาศนโยบายอาจมีผลทำให้ตลาดการลงทุนเกิดความผันผวนจากความไม่แน่นอนของนโยบายการค้าและการลงทุนระหว่างประเทศได้

 

มองดอกเบี้ย Fed ผ่านจุดสูงสุดแล้ว

 

“เราคาดการณ์ว่าดอกเบี้ยได้ผ่านจุดสูงสุดไปแล้ว (Interest Rates Peaked) ขณะที่เม็ดเงินลงทุนในช่วงที่ผ่านมากระจุกตัวอยู่ในเงินฝาก และตลาดเงิน (Money Markets) ค่อนข้างมาก ฉะนั้นในปี 2567 จึงคาดว่านักลงทุนจะมีความต้องการลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงมีมากขึ้น (Increasing Risk Appetite) อย่างไรก็ตาม ด้วยสภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว ดอกเบี้ยที่ยังอยู่ในระดับสูงแม้เริ่มลดลงมาบ้าง รวมถึงหนี้สินในบางภาคธุรกิจที่อยู่ในระดับสูง นักลงทุนควรเน้นคัดเลือกลงทุนในกลุ่มสินทรัพย์ที่มีคุณภาพสูง”

 

ในส่วนของการลงทุนตราสารหนี้ จากข้อมูลในอดีตพบว่า หลังจากที่ Fed หยุดขึ้นอัตราดอกเบี้ย 12 เดือน สินทรัพย์ส่วนใหญ่ให้ผลตอบแทนเฉลี่ยเป็นบวก ยกเว้นเพียงปี 2000 ที่เกิดวิกฤตฟองสบู่กับหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีในสหรัฐฯ ส่งผลลบต่อตลาดหุ้นและตราสารหนี้ มีโอกาสให้ผลตอบแทนเป็นบวกในช่วงที่ Fed ลดดอกเบี้ยครั้งแรกด้วย แต่เศรษฐกิจที่มีแนวโน้มชะลอตัวจนนำไปสู่การปรับลดดอกเบี้ยของ Fed อาจทำให้ส่วนต่างระหว่างผลตอบแทนของหุ้นกู้เอกชนเทียบกับพันธบัตรรัฐบาล (Credit Spread) ปรับเพิ่มขึ้นได้ โดยเฉพาะหุ้นกู้ที่ให้ผลตอบแทนสูง (High Yield) ประกอบกับในปี 2567-2568 จะเริ่มมีหุ้นกู้ทยอยครบกำหนดเพิ่มมากขึ้น นำไปสู่ความเสี่ยงการ Rollover หนี้ในกลุ่มนี้มากขึ้น ดังนั้นจึงแนะนำลงทุนในหุ้นกู้คุณภาพสูง (Investment Grade Bonds)

 

แนะทยอยสะสมหุ้นกลุ่ม Quality Growth

 

ส่วนการลงทุนในหุ้นแนะนำให้ทยอยสะสมหุ้นในตลาดหุ้นสหรัฐฯ ญี่ปุ่น อินเดีย และไทย ที่เป็นกลุ่ม Quality Growth มีกำไรเติบโตสม่ำเสมอ มีงบดุลที่แข็งแกร่ง โดยสาเหตุที่ทำให้ตลาดหุ้นสหรัฐฯ น่าสนใจ ได้แก่ เราคาดการณ์ว่ากำไรบริษัทจดทะเบียนในสหรัฐฯ จะเร่งตัวขึ้นในปี 2567 และความชัดเจนของนโยบายการเงินที่ส่งสัญญาณการขึ้นดอกเบี้ยนโยบายผ่านจุดสูงสุดไปแล้ว โดยควรให้น้ำหนักกับหุ้นกลุ่มที่ทนทานกับทุกสภาวะเศรษฐกิจ (Defensive) มากขึ้น ส่วนตลาดหุ้นญี่ปุ่นเรามองว่าทยอยสะสมได้ เพราะผลการดำเนินงานบริษัทจดทะเบียนมีแนวโน้มขยายตัวได้ดี และคาดว่าจะมีแรงซื้อหุ้นญี่ปุ่นจากนักลงทุนต่างๆ มากขึ้น  

 

สำหรับตลาดหุ้นอินเดียแนะนำทยอยลงทุนจากปัจจัยการเติบโตทางเศรษฐกิจที่อยู่ในระดับสูง ผลตอบแทนต่อส่วนผู้ถือหุ้น (ROE) อยู่ในช่วงของการขยายตัว และมูลค่าหุ้นอยู่ในระดับที่ไม่แพงมากเมื่อเทียบกับในอดีต ขณะที่ตลาดหุ้นไทยมีความน่าสนใจมากขึ้นจากมูลค่าหุ้นที่คุ้มค่าขึ้น เมื่อพิจารณาในแง่ผลตอบแทนเทียบกับความเสี่ยง

  • LOADING...

READ MORE






Latest Stories

Close Advertising