×

ตลาดฤดูหนาวที่โคตรบ้าคลั่ง พรีเมียร์ลีกทุบทุกสถิติการย้ายทีม

01.02.2023
  • LOADING...
เมธา พันธุ์วราทร

ความเชื่อแต่ดั้งเดิมสำหรับวงการฟุตบอลว่าการซื้อขายผู้เล่นในช่วงตลาดการซื้อขายรอบฤดูหนาว (Winter Transfer Window) เป็นเรื่องของการเสี่ยงที่อาจไม่คุ้มค่าได้ถูกทำลายลงอย่างสิ้นเชิงในปี 2023 ด้วยน้ำมือของสโมสรในพรีเมียร์ลีก

 

นับเฉพาะในวันปิดตลาดนักเตะอย่างเดียว เมื่อถึงเวลาปิดตลาดในเวลา 23.00 น. มีตัวเลขเงินสะพัดมากถึง 275 ล้านปอนด์ ซึ่งทุบสถิติเดิมที่เคยทำไว้ในปี 2018 ที่มีการซื้อขายในวันสุดท้ายที่ 150 ล้านปอนด์แบบยับเยิน คิดเป็นเปอร์เซ็นต์อยู่ที่ 83 เปอร์เซ็นต์เลยทีเดียว

 

ในขณะที่ภาพรวมของตลาดการซื้อขายในรอบเดือนมกราคมเดิมสถิติสูงสุดอยู่ที่ 430 ล้านปอนด์ในปี 2018 เช่นกัน มาในปีนี้ตัวเลขเพิ่มขึ้นเป็น 815 ล้านปอนด์ มากกว่าสถิติเดิมถึงเกือบ 90 เปอร์เซ็นต์ และมากกว่าตัวเลขเมื่อปี 2022 ถึงเกือบ 3 เท่า (295 ล้านปอนด์) ตามสถิติที่ได้รับการบันทึกโดย Deloitte 

 

แบบนี้แล้วสถิติการซื้อขายผู้เล่นตลอดกาลนั้นไม่ต้องพูดถึง เพราะได้ถูกทำลายลงอย่างย่อยยับเช่นกัน ซึ่งความจริงสถิตินั้นถูกทำลายลงตั้งแต่ช่วงฤดูร้อนแล้วเมื่อทีมพรีเมียร์ลีกซื้อผู้เล่นในตลาดซัมเมอร์มากถึง 1.9 พันล้านปอนด์ ทำลายสถิติเดิมที่เคยทำไว้ 1.4 พันล้านปอนด์ในปี 2017

 

ตัวเลขสุดท้ายของ 2 รอบตลาดการซื้อขายอยู่ที่ 2.8 พันล้านปอนด์ หรือกว่า 1.13 แสนล้านบาท!

 

เรื่องนี้มันกำลังบอกอะไรกับเรา?

 

พรีเมียร์ลีก = Super League

 

ผู้เชี่ยวชาญในด้าน Sports Business Group จาก Deloitte อย่าง ทิม บริดจ์ บอกว่า “สถิติของทีมพรีเมียร์ลีกในฤดูกาลนี้เป็นสิ่งที่อยู่นอกเหนือไปจากสิ่งที่เราเคยเห็น

 

“สโมสรจากพรีเมียร์ลีกใช้จ่ายเหนือกว่าลีกอื่นๆ ในกลุ่ม ‘Big Five’ ในระดับ 4 ต่อ 1 ในช่วงตลาดการซื้อขายรอบนี้ และทำให้พวกเขานอกจากจะรั้งตัวดาวเด่นเอาไว้ได้ยังสามารถดึงดูดนักฟุตบอลพรสวรรค์จากต่างแดนได้อีกด้วย”

 

นับเฉพาะแค่เชลซีทีมเดียวในช่วงตลาดการซื้อขายฤดูหนาวที่ผ่านมานั้นใช้จ่ายมากกว่าสโมสรในบุนเดสลีกา, ลาลีกา, เซเรีย อา และลีกเอิง ใช้รวมกันด้วยซ้ำไป เมื่อพวกเขาใช้เงินมากกว่า 300 ล้านปอนด์

 

ในขณะที่ค่าเฉลี่ยสโมสรของอังกฤษนั้นมีการใช้จ่ายเพิ่มขึ้นจากเดิมในช่วงปีที่แล้วที่ 20 ล้านปอนด์ไปอีก 25 ล้านปอนด์ หรือเพิ่มมากกว่า 1 เท่าเลยทีเดียว

 

เรื่องนี้สะท้อนให้เห็นถึงพลังอำนาจที่เริ่มเกินการควบคุมของพรีเมียร์ลีกซึ่งได้มาจากส่วนแบ่งมูลค่าลิขสิทธิ์การถ่ายทอดสดที่แต่ละสโมสรพรีเมียร์ลีกได้เพิ่มมากขึ้นอีกจากการเจรจาลิขสิทธิ์รอบล่าสุด โดยเดิมอย่างน้อยจะได้ทีมละ 100 ล้านปอนด์เป็นขั้นต่ำ ไปจนถึง 160 ล้านปอนด์สำหรับแชมป์หรือทีมที่มีการออกหน้าจอมากที่สุด

 

จุดนี้เมื่อรวมกับเงินรายได้ทางอื่นทำให้สโมสรจากพรีเมียร์ลีกทรงพลังมากขึ้นเรื่อยๆ จนถึงในปัจจุบันที่ไม่เฉพาะทีมระดับท็อปเท่านั้นที่มีพลังอำนาจทางการเงิน สโมสรในระดับกลางของพรีเมียร์ลีกก็สามารถที่จะต่อกรกับทีมใหญ่เพื่อกระชากตัวนักเตะอนาคตไกลมาปั้นได้เหมือนกัน

 

นั่นทำให้สิ่งที่มีการพูดกันว่า จริงๆ แล้วในเวลานี้ซูเปอร์ลีกได้เกิดขึ้นแล้ว และมันคือพรีเมียร์ลีก อาจเป็นเรื่องที่หลายคนเห็นด้วยมากขึ้น

 

ใต้ความบ้าคลั่งของเชลซี

อย่างไรก็ดี ทีมที่มีส่วนสำคัญในการทำให้ตลาดการซื้อขายรอบนี้คึกคักในระดับบ้าคลั่งคือเชลซี

 

ภายหลังจากที่ใช้เงินไปมากกว่า 270 ล้านปอนด์ในตลาดช่วงฤดูร้อน ซึ่งเป็นสถิติของพรีเมียร์ลีก และเป็นอันดับ 2 ของโลกรองจากเรอัล มาดริดที่เคยใช้เงินในช่วงซัมเมอร์สูงที่สุด 292 ล้านปอนด์ในปี 2019 ทอดด์ โบห์ลี เจ้าของสโมสรใหม่ก็แสดงความบ้าดีเดือดให้เห็นเพิ่มเติมอีกด้วยการจ่ายเงินมากกว่า 300 ล้านปอนด์ไปกับผู้เล่น 8 คนด้วยกัน

 

เริ่มตั้งแต่ มิไคโล มูดริก (89 ล้านปอนด์), มาโล กุสโต (30.7), เบอนัวต์ บาเดียชิล (35), โนนี มาดูเอเก (30.7), อันเดรย์ ซานโตส (18), ดาวิด ดาโทร โฟฟานา (8-10), ชูเอา เฟลิกซ์ (ยืมตัว 9.7) และปิดท้ายตลาดอย่างยิ่งใหญ่ด้วยการย้ายทีมของ เอนโซ เฟร์นานเดซ 105.6 ล้านปอนด์

 

คิดแล้วเชลซีมีส่วนถึง 37 เปอร์เซ็นต์ในจำนวนยอดการใช้จ่ายของสโมสรในพรีเมียร์ลีก และนับเฉพาะในฤดูกาลนี้พวกเขาใช้เงินไปแล้วถึง 550 ล้านปอนด์

 

การใช้จ่ายในระดับนี้เป็นเหมือนภาพสะท้อนของ ‘โรมันจอมคลั่ง’ หรือ โรมัน อบราโมวิช อดีตเจ้าของสโมสรที่เข้ามาเปลี่ยนแปลงโฉมหน้าของทีมด้วยนักเตะระดับท็อปของลีกมากมายในระยะเวลาอันรวดเร็ว และสามารถนำทีมไปสู่ความสำเร็จได้ในเวลาแค่ 2 ฤดูกาล

 

เล่นของสูง ต้องกล้าเสี่ยง

ย้อนกลับไปที่อำนาจทางการเงินของสโมสรในพรีเมียร์ลีกที่เพิ่มมากขึ้น ทำให้สโมสรทุกแห่งมีอำนาจทางการเงินที่จะซื้อนักเตะฝีเท้าดีเข้ามาปรับทัพเสริมทีมเพื่อสู้ศึกได้มากขึ้นเรื่อยๆ

 

และนั่นทำให้นโยบายของหลายสโมสรเริ่มเปลี่ยนไป ไม่เฉพาะทีมใหญ่ที่สามารถซื้อนักเตะระดับสตาร์จากต่างแดนมาได้ ทีมระดับกลางตารางหรือทีมท้ายตารางเองก็พร้อมจะขยับเช่นกัน ซึ่งด้วยนักเตะคุณภาพสูงที่ย้ายเข้ามา ไปจนถึงผู้จัดการทีมฝีมือดี (ฆูเลน โลเปเตกี อดีตโค้ชทีมชาติสเปนยังอยู่แค่กับวูล์ฟส์ทีมระดับท้ายตาราง) ทำให้การแข่งขันในพรีเมียร์ลีกทวีความเข้มข้นมากยิ่งขึ้น

 

ส่วนหนึ่งเพราะ ‘เดิมพัน’ ของความสำเร็จในพรีเมียร์ลีกนั้นมีราคาสูงมาก ไม่ว่าจะในกลุ่มหัวตารางที่สามารถ ‘พลัส’​ เงินรายได้เข้าไปอีกจากการเข้าร่วมรายการสโมสรยุโรป (ซึ่งมีความหมายมากกว่าแค่เรื่องเงิน แต่รวมถึงเครดิต ชื่อเสียง การตลาด และการดึงดูดนักฟุตบอลฝีเท้าดี) หรือในกลุ่มท้ายตารางที่การตกชั้นอาจหมายถึงการสูญรายได้มากกว่า 300 ล้านปอนด์ไปแบบหายต๋อม 

 

ที่สำคัญเดิมพันในแต่ละกลุ่มไม่ว่าจะลุ้นแชมป์ ลุ้นไปสโมสรยุโรป หรือลุ้นหนีตกชั้น ล้วนต่างยังอยู่ในช่วงที่มีเวลาในการจัดกระบวนทัพสำหรับอีกเกือบครึ่งฤดูกาลที่เหลืออยู่ เรียกว่าพอได้ลุ้นทุกอย่าง

 

เมื่อมันเป็นการเดิมพันที่ไม่มีใครอยากเสีย และเมื่อคิดจะเล่นของสูงบางครั้งก็ต้องกล้าเสี่ยง อาการหน้ามืดแบบอุปาทานหมู่จึงเกิดขึ้นแบบที่เห็น

 

ไม่มีเวลาสำหรับแผนระยะยาว?

นอกจากระยะห่างระหว่างทีมใหญ่กับทีมเล็กถูกบีบให้แคบลง และระยะเวลาสำหรับการสร้างทีมเพื่อความสำเร็จก็ถูกบีบให้เหลือน้อยลงด้วยเช่นกัน

 

แนวทางการวางแผนสร้างทีมในแบบ ‘ระยะยาว’ ที่เคยเป็นที่นิยมในช่วงก่อนหน้านี้ดูเหมือนว่าอาจจะไม่ตอบโจทย์ในเวลานี้แล้ว สะท้อนได้จากทีมที่เคยครองหัวตารางอย่างลิเวอร์พูลที่ในฤดูกาลนี้ประสบปัญหาอย่างหนักและไม่คิดที่จะแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าในแดนกลาง ซึ่งอาจจะเป็นผลเสียต่ออีกครึ่งฤดูกาลที่เหลือ โดยซื้อเพียง โคดี กักโป เข้ามาเสริมแนวรุกคนเดียวเท่านั้น

 

ในขณะที่ทีมอย่างเชลซีเลือกที่จะเสริมผู้เล่น 8 ราย หรือแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดที่คว้าตัว มาร์เซล ซาบิตเซอร์ กองกลางระดับทีมชาติออสเตรียมาจากบาเยิร์น มิวนิก เพื่อทดแทน คริสเตียน อีริกเซน คีย์แมนแดนกลางที่บาดเจ็บหนักไปจนเกือบจบฤดูกาล

 

หรือจ่าฝูงอย่างอาร์เซนอลก็พยายามอย่างหนักที่จะหานักเตะเข้ามาเสริมทีมเพื่อลุ้นแชมป์เต็มตัว ซึ่งแม้จะพลาดเป้าหมายหลักอย่าง ชูเอา เฟลิกซ์ และ มิไคโล มูดริก รวมถึง มอยเซส ไกเซโด แต่ก็ได้ เลอันโดร ทรอสซาร์ด, ยาคุบ คีวิออร์ และ จอร์จินโญ มาเสริมทีม ซึ่งก็เป็นการเสริมทีมที่ไม่ขี้เหร่เลย

 

ตลาดฤดูหนาวจะไฟลุกตลอดไป?

เรื่องนี้ยังตอบได้ยาก เนื่องจากที่ผ่านมาไม่ใช่ทุกรอบตลาดการซื้อขายฤดูหนาวจะไฟลุกแบบนี้ ตามสถิติย้อนหลังแล้วจะมีปีที่มีการใช้เงินกันมากแล้วก็สลับมาใช้เงินกันน้อย

 

ปัจจัยส่วนหนึ่งมาจากการ ‘อั้น’ ในช่วงโควิด ที่ทำให้มีการเสริมทัพกันน้อยลงกว่าปกติ เนื่องจากทุกสโมสรประสบปัญหาทางการเงินเหมือนกันโดยที่ไม่มีใครคาดเดาได้ว่าอนาคตจะเป็นอย่างไร แต่เมื่อสถานการณ์ทุกอย่างกลับเข้าสู่ภาวะปกติ ความอัดอั้นที่ผ่านมาทำให้ทุกทีมต้องการเสริมทีมหมด

 

อีกส่วนคือการที่มีทีมอย่างเชลซีที่ทุบสถิติทุกวงการ แต่ไม่ได้หมายความว่าเชลซีจะซื้อแบบนี้ทุกรอบตลาด ในทางตรงกันข้ามนักเตะหลายรายที่ซื้อมาล้วนเป็นกลุ่มนักเตะอนาคตไกล มีระยะเวลาการใช้งานอีกหลายปี และต่างเซ็นสัญญากันยาวมากๆ (ซึ่งเป็นอีกประเด็นที่จะต้องดูกันในความเจ้าเล่ห์ของเชลซี) นั่นหมายถึงปีหน้าพวกเขาอาจจะไม่จำเป็นต้องซื้อมากขนาดนี้อีกแล้ว

 

เช่นเดียวกันกับอีกหลายทีมที่เมื่อลงทุนรอบนี้แล้วหากไม่มีความจำเป็นก็ไม่ต้องซื้อหาเข้ามาอีกแต่อย่างใด ซึ่งอาจหมายถึงยอดการใช้จ่ายจะลดลงเองโดยธรรมชาติ

 

อย่างไรก็ดี ตอนนี้เราไม่สามารถคาดเดาอะไรได้ทั้งนั้นกับพรีเมียร์ลีก ลีกฟุตบอลที่ร่ำรวยและบ้าคลั่งที่สุด

 

ขั้นต่ำที่สุดเราจะจดจำตลาดฤดูหนาว 2023 เอาไว้ว่าเป็นปีสุดคลั่งที่สุดจะเชื่อจริงๆ!

 

อ้างอิง:

  • LOADING...

READ MORE




Latest Stories

Close Advertising