×

รู้จัก ‘แป๋ม-ปรารี กิตติดำเกิง’ ดีไซเนอร์ไทยที่ Apple จีบไปร่วมสร้าง Apple Park

31.08.2017
  • LOADING...

HIGHLIGHTS

4 Mins. Read
  • ทำความรู้จักนักออกแบบสาวไทยในซานฟรานซิสโก ผู้ได้รับการเทียบเชิญให้ไปร่วมงานกับยักษ์ใหญ่นวัตกรรมเทคโนโลยีอย่าง Apple และมีส่วนร่วมในการออกแบบ Apple Park ศูนย์บัญชาการอาณาจักร Apple แห่งใหม่ในคูเปอร์ติโน แคลิฟอร์เนีย

     เรียกเสียงฮือฮามาพักใหญ่ สำหรับ ‘Apple Park’ ในคูเปอร์ติโน รัฐแคลิฟอร์เนีย ซึ่งจะกลายเป็นสำนักงานใหญ่แห่งใหม่ของ Apple และคาดว่าจะสร้างเสร็จอย่างเป็นทางการปลายปี 2017 แต่ก่อนจะได้เห็นความล้ำและดีไซน์เฉียบภายใน THE STANDARD พาไปทำความรู้จัก ‘แป๋ม-ปรารี กิตติดำเกิง’ ดีไซเนอร์คนไทยที่ Apple ร่อนจดหมายเชิญไปร่วมสร้างอาณาจักรผลไม้ที่ยิ่งใหญ่นี้ หลังจากได้เห็นผลงานของเธอที่ชนะเลิศงานประกวดออกแบบ STA100 ปี 2016 ที่ชิคาโก

 

 

ตอนเด็กๆ คุณอยากเป็นอะไร

     ตอนเป็นเด็ก เราไม่ได้มีความฝันที่ชัดเจนว่าอยากเป็นอะไร แต่จำได้คร่าวๆ ว่าเคยอยากเป็นนักดนตรี เพราะเราเคยเล่นเปียโนตั้งแต่อยู่ประถม แต่หยุดเล่นไปตอนเริ่มเรียนศิลปะ จริงๆ เป็นสิ่งที่เสียใจอยู่ทุกวันนี้

 

 

ถ้าอย่างนั้นไม่เคยมองว่าตัวเองจะมาเป็นศิลปินเลยหรือ

     เรามองตัวเองว่าเป็น ‘นักออกแบบ’ มากกว่า ‘ศิลปิน’ เพราะเราเรียนออกแบบมาตั้งแต่สมัยปริญญาตรีที่ศิลปากร แล้วก็ทำงานออกแบบเรื่อยมา ดังนั้นจริงๆ แล้วเราไม่เคยเรียกตัวเองว่าศิลปินเลยด้วยซ้ำ แต่ถึงอย่างนั้นศิลปะก็มีอิทธิพลกับกระบวนการคิดของเรามากที่สุด นั่นเป็นเหตุผลที่มาเรียนต่อและทำงานในซานฟรานซิสโก แล้วเราก็เริ่มเข้าสู่โลกของศิลปะกับงานดีไซน์มากขึ้นเรื่อยๆ ทำความเข้าใจเส้นบางๆ ระหว่างสองสิ่งนี้ มันน่าสนใจขึ้นเรื่อยๆ แต่เราก็ยังบอกไม่ได้ว่าเราเป็นอะไรแน่ จริงๆ ก็ไม่ได้แคร์มากนักว่าจะต้องมานั่งบอกว่าเราเป็นอะไร แค่สนุกไปกับการทำงานและสิ่งที่ทำ เราเรียกงานที่ออกมาว่าโปรเจกต์การทดลองมากกว่า

 

ถ้าอย่างนั้นงานออกแบบที่ดีต้องเป็นอย่างไร

     งานออกแบบที่ดีไม่ได้เกี่ยวกับว่ามันต้องออกมาดูดีอย่างเดียว มันควรจะเป็นสิ่งที่สร้างสรรค์ จรรโลงใจ ช่วยพัฒนาอะไรบางอย่าง และสวยงามไปพร้อมๆ  กับช่วยให้เกิดความคิดริเริ่มไปด้วย การออกแบบก็เหมือนกับการตามหาความสวยงาม แต่ในแบบที่ยกระดับชีวิตเราไปพร้อมกันนั่นแหละ

เขาเห็นพอร์ตโฟลิโอเราจากสักแห่งแล้วชอบ เห็นว่าเราทำอะไรหลายๆ อย่างได้  ตั้งแต่งานคอนเซปชวลไปถึงออกแบบเชิงพาณิชย์ หรือแบบสองมิติ สามมิติ และ IxD

 

เคยคิดไหมว่าเราอาจจะเลือกทางเดินผิด

     เคยสิ เราเคยสับสนนะ เพราะมันยากที่เราจะอุทิศแรงทั้งหมดลงไปกับอะไรสักอย่าง เราอยากกระโจนเข้าหาโอกาสใหม่ๆ ที่มันน่าตื่นเต้นไปหมด ถึงสิ่งนั้นจะไม่ใช่สิ่งที่เราถนัดด้วยซ้ำ แต่การได้เรียนรู้อะไรใหม่ๆ มันก็เป็นเรื่องสนุกดีนี่ นั่นทำให้เราได้มีโอกาสออกแบบแพ็กเกจ ผลิตภัณฑ์ ลายผ้า หนังสือ วินโดว์ดิสเพลย์ ไปจนอินเตอร์แอ็กชันดีไซน์ที่ต้องมีปฏิสัมพันธ์กับคน

 

 

งานชิ้นไหนที่ทำให้ได้มาร่วมงานกับ Apple

     ความจริงก็บอกไม่ได้ว่าชิ้นไหน มีแค่อีเมลส่งมาจากครีเอทีฟ รีครูเตอร์ชวนมาคุย แต่ที่รู้คือเขาเห็นพอร์ตโฟลิโอเราจากสักแห่งแล้วชอบ เห็นว่าเราทำอะไรหลายๆ อย่างได้ ตั้งแต่งานคอนเซปชวลไปถึงออกแบบเชิงพาณิชย์ หรือแบบสองมิติ สามมิติ และอินเตอร์แอ็กชันดีไซน์ เลยเดาว่าน่าจะเพราะแบบนั้น หรืออาจจะเป็นชิ้นที่เราเป็นหนึ่งในผู้ชนะเลิศที่งาน STA100 เป็นผลงานที่ได้แรงบันดาลใจมาจากอักษรเบรลล์ เพราะมันเป็นอะไรที่น่าทึ่ง แต่อาจจะไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับคนตาบอด เราเลยนำไอเดียนี้มาใช้โดยอาศัยสัมผัสจากการมองและการจับ ทำให้ทั้งคนตาบอดและคนปกติก็อ่านได้

 

บอกอะไรเกี่ยวกับ Apple Park ได้บ้าง

     บอกได้แค่ว่าเราทำส่วนของสามมิติ วิชัวไลส์ เมอร์แชนไดซ์ ในร้าน Apple Store และจะเป็นสโตร์ที่ออกแบบมาไม่เหมือนสโตร์อื่นๆ ที่ไหนเลย

 

อะไรคือความสำเร็จของแป๋ม ปรารี

     คิดว่าจังหวะชีวิตตอนนี้แหละ เพราะตอนแรกที่ย้ายไปอเมริกา เราทำอะไรเองไม่เป็นเลย ไม่เคยทำกับข้าว ไม่เคยซักเสื้อผ้า จ่ายใบเสร็จ เช่าบ้านอะไรเองไม่เป็นเลย มันเหมือนจะเป็นเรื่องง่าย แต่สำหรับเรา มันท้าทายมากนะ การต้องแบกเสื้อผ้าหนักๆ ไปหาที่ซัก จ่ายค่าบ้านตรงเวลา ทั้งยังเรียนไปด้วย วิชาปรัชญาศิลปะเทอมแรกมันหินมาก และเราแทบจะไม่เข้าใจอะไรสักอย่าง เพราะเราไม่มีภูมิเรื่องนี้มาก่อนเลย จำได้แม่นว่ากลับบ้านมาหลังเลิกเรียนแล้วร้องไห้หนักมาก เป็นอย่างนั้นอยู่เป็นเดือนๆ คิดกับตัวเองว่าทำไมเราถึงทำได้ไม่ดีเท่าเพื่อน แต่สุดท้ายเราก็ต้องเข้มแข็ง เลิกมองในสิ่งที่เราทำได้ไม่ดี ตอนที่เรียนจบ การหางานก็ไม่ใช่เรื่องง่ายนะ เพราะเราไม่มีเส้นสาย ไม่มีคอนเน็กชันอะไรที่นั่นเลย ส่งใบสมัครงานไปก็ไม่มีการตอบรับ แต่พอนานๆ ไปก็คิดได้ว่า เออ เราผ่านมันมาแล้ว เราทำได้ไม่แย่เลย นี่อาจจะไม่ได้ฟังดูน่าทึ่งหรือเท่อะไรถ้าเทียบกับดีไซเนอร์คนอื่นๆ แต่สำหรับเรา เมื่อมองย้อนกลับไป เราภูมิใจในตัวเองนะว่า ‘เฮ้ย ผ่านมาเยอะแล้วเว้ย!’ เรามาไกลมากแล้วจาก 5 ปีก่อน ต้องขอบคุณครอบครัวและคนรอบตัวเรา พวกเขาเชื่อในตัวเราและให้กำลังใจมาตลอด ตอนนี้เรามองว่า ‘New problem? No problem!’

วิชาปรัชญาศิลปะเทอมแรกมันหินมาก เราแทบจะไม่เข้าใจอะไรสักอย่าง เพราะเราไม่มีภูมิเรื่องนี้มาก่อน จำได้ว่าเลิกเรียนกลับบ้านมาแล้วร้องไห้หนักมาก เป็นอย่างนั้นอยู่เป็นเดือนๆ คิดกับตัวเองว่าทำไมเราถึงทำได้ไม่ดีเท่าเพื่อน แต่สุดท้ายเราก็ต้องเข้มแข็ง เลิกมองในสิ่งที่เราทำได้ไม่ดี

 

ความล้มเหลวที่น่าผิดหวังที่สุดล่ะ

     น่าจะเป็นตอนต้องทำโปรเจกต์ที่เราไม่ได้อินกับมัน ถึงจะทำเสร็จและคนรอบข้างชอบ แต่เราก็ไม่ได้ภูมิใจกับมัน

 

ผลงานที่ภูมิใจที่สุดล่ะ

     ภูมิใจกับผลงานที่เป็นชิ้นทดสอบเกือบทุกอัน เพราะมักจะเป็นชิ้นที่เราได้ใช้เวลาอยู่กับมันอย่างลึกซึ้ง ได้ทำความเข้าใจและพัฒนามันในแบบของตัวเอง ถึงจะไม่มั่นใจกับสิ่งที่ออกมาในตอนแรก แต่เวลาที่คนอื่นพยายามลองทำดูบ้าง เขากลับไม่เข้าใจว่ามันทำงานแบบนั้นได้ยังไง และตอนที่ถูกถามว่าเราไปเอาไอเดียพวกนี้มาจากไหน เราจะยิ่งภูมิใจสุดๆ ไปเลย (หัวเราะ)

 

 

ชีวิตของนักออกแบบในอเมริกาเป็นอย่างไรบ้าง

     มันท้าทายมากนะที่ต้องทำงานภายใต้สถานการณ์ที่คุณไม่เคยรู้สึกว่านิ่งได้เลย แถมยังทำให้เครียดได้ง่ายๆ ถึงเราจะมั่นใจในฝีมือตัวเอง แต่เราไม่ได้พูดภาษาอังกฤษเป็นภาษาหลักไง ทำให้บางครั้งเราต้องขอให้เพื่อนร่วมงานช่วยอธิบายให้ฟังบ้าง แต่สุดท้ายมันก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่ยักษ์อะไรเมื่อคุณพยายามที่สุดแล้ว ถือว่าเราโชคดีมากที่ได้เจอคนดีๆ ที่เชื่อและเห็นแววในตัวเรา ทั้งยังพยายามเข้าใจว่าภาษาหลักของเราไม่ใช่ภาษาอังกฤษ แต่เราก็พยายาม ซึ่งเราก็ยอมรับว่าภาษาอังกฤษเป็นจุดอ่อนที่ทำให้เราไม่มั่นใจเท่าที่ควร

 

สำหรับคุณ อะไรคือ ‘ศิลปะ’

     โดยส่วนตัวมองว่าศิลปะเป็นเรื่องส่วนบุคคล โดยขึ้นอยู่กับความสนใจของคนคนนั้น มันอาจจะเป็นภาพวาดสวยๆ สักภาพ หรือประติมากรรมที่ทำมาจากขยะก็ได้ หรืออาจเป็นเสียง กระดาษเปล่า หรืออะไรก็ได้ ยากมากที่จะอธิบายว่า ‘อะไร’ คือศิลปะในยุคนี้ เพราะอย่างที่ว่ากันว่าความงามนั้นอยู่ที่ตาของคนมองนั่นแหละ แต่สำหรับแป๋ม ศิลปะคือสิ่งที่สะท้อนหรือปลุกกระตุ้นอะไรบางอย่างในตัวคุณ

 

FYI
  • ปรารี กิตติดำเกิง เป็นนักออกแบบและศิลปินไทยที่เกิดโตในกรุงเทพฯ และย้ายไปทำงานในซานฟรานซิสโก สหรัฐอเมริกา ผลงานของเธอได้รับรางวัลมากมาย เช่น STA100, B.A.D. Awards (Bangkok Art Director’s Association) ผลงานของเธอจัดแสดงมาแล้วทั้งในกรุงเทพฯ, โตเกียว, ซานฟรานซิสโก, นิวยอร์ก ฯลฯ
  • Apple Park คือสำนักงานใหญ่ของ Apple ที่ทำขึ้นเพื่อรองรับพนักงานกว่า 12,000 คน โดยใช้เงินในการก่อสร้างราว 5 พันล้านเหรียญสหรัฐ ใช้เวลาสร้างนานกว่า 6 ปี โดยจะมีทั้งบริเวณสวน และโรงละครสตีฟ จ็อบส์ สำหรับ 1,000 ที่นั่ง ที่ตั้งชื่อเพื่อเป็นเกียรติแก่สตีฟ จ็อบส์ ผู้พรีเซนต์โปรเจกต์กองบัญชาการใหม่ที่หน้าตาคล้ายจานบินอวกาศนี้ ก่อนเขาจะจากโลกนี้ไปเพียง 4 เดือน
  • แม้ปรารีจะเผยข้อมูลการออกแบบนี้ไม่ได้ แต่จากแถลงการณ์ของ Apple ประเทศไทย Apple Park นั้นสร้างขึ้นตามจินตนาการของสตีฟ จ็อบส์ เพื่อให้เป็นศูนย์กลางของความคิดสร้างสรรค์และความร่วมมือ โดยเปลี่ยนพื้นที่หลายไมล์ที่ลาดด้วยยางมะตอยให้กลายเป็นพื้นที่สีเขียวใจกลางหุบเขา Santa Clara Valley โดยมีรูปร่างเป็นแคมปัสรูปวงแหวน ซึ่งอาคารหลักมีพื้นที่ 2.8 ล้านตารางฟุต ประกอบไปด้วยแผงกระจกโค้งที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก และตั้งอยู่บนยอดเขาซึ่งเป็นจุดที่สูงที่สุดภายใน Apple Park โดยสามารถมองเห็นทุ่งหญ้าและอาคารหลัก ภายในบริเวณยังมีพื้นที่ที่เปิดให้คนทั่วไปชม รวมถึง Apple Store และร้านกาแฟ
  • จากการประกาศเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ สำนักงานใหญ่แห่งนี้เปิดให้พนักงานส่วนหนึ่งเข้าไปทำงานได้แล้วในเดือนเมษายนที่ผ่านมา
  • LOADING...

READ MORE






Latest Stories

Close Advertising