×

โค้ชฟ้าใส ผู้ได้ดีเพราะเล่นเกมมาโดยตลอด จะมาสอนวิธีกินไก่ทอดแบบไม่อ้วน ก่อนชวนคุณไปเพาะกล้าม

13.12.2017
  • LOADING...

HIGHLIGHTS

Time index

05.29 ชีวิตเด็กโฮมสคูล

06.09 ขายอาหารสุขภาพตั้งแต่ประเทศไทยยังไม่รู้จักคำว่า ‘คลีนฟู้ด’

06.49 ชีวิตและการงานบนเรือสำราญ

15.44 ชีวิตนักเรียนทุนในนิวซีแลนด์

26.27 จากแพสชัน พัฒนาเป็นทักษะ จนกลายเป็นอาชีพ

33.44 โดนแกล้ง จนอยากล่ำ

37.49 ออกกำลังกายอย่างเดียวไม่พอ อาหารต้องถึงด้วย

44.43 แจ้งเกิดบนอินสตาแกรมจนนำไปสู่ธุรกิจฟิตเนส

49.00 Fit Junctions ไม่ใช่ฟิตเนส

ถึง โค้ชฟ้าใส จะเป็น ‘ฟ้าใส’ คนที่สองของรายการ We Need To Talk (คนแรกคือ หญิงสาวผู้นี้) แต่เขาก็เป็น ‘ฟ้าใสชาย’ คนแรกของเรา และน่าจะเป็น ‘ฟ้าใสชาย’ คนเดียวในประเทศไทยด้วยซ้ำ

 

โค้ชฟ้าใส พึ่งอุดม เป็นที่รู้จักกันดีในฐานะฟิตเนสไอดอล และ/หรือ ฟิตเนสกูรู แต่ใครจะรู้บ้างว่านอกจากถนัดในการสอนคนสร้างกล้ามแล้ว เขายังพูดภาษาอังกฤษเก่งเป็นไฟ หลงใหลเกมกระดาน แถมชำนาญการเพนต์โมเดลและฟิกเกอร์  

 

เด็กชายฟ้าใสเติบโตมาเยี่ยงเด็กนอกกระแสอย่างแท้จริง เขาเรียนไวโอลินตั้งแต่ 7 ขวบ ได้รับการศึกษาแบบโฮมสคูลจนจบมัธยม ออกสะสมประสบการณ์บนเรือสำราญอยู่ปีเต็ม สอบชิงทุนไปเรียนนิวซีแลนด์ ขายแซนด์วิชริมถนนในกรุงเทพฯ ทำกิจการอาหารสุขภาพ ก่อนจะมาเปิด Fit Junctions Studio อย่างทุกวันนี้

 

โค้ชฟ้าใส นั่งคุยกับโบ สาวิตรี ในรายการ We Need To Talk อยู่เกือบ 2 ชั่วโมงแบบน้ำไหลไฟดับ ขอเชิญรับฟังเรื่องราวของวัยรุ่นไทยในอีกแบบหนึ่ง ซึ่งเราว่าน่าทึ่ง เพราะเขาก้าวไปบนหนทางของตนเองอย่างแท้จริง โดยไม่ยึดติดกับวิถีที่สังคมสั่งให้เดิน

 


 

โค้ชฟ้าใส ในรายการ We Need To Talk ที่ The Standard Podcast

 

05.29

ชีวิตเด็กโฮมสคูล

ผมเรียนแบบโฮมสคูลจนจบมัธยมปลาย เพื่อนร่วมชั้นประกอบด้วยลูกหลานมิชชันนารีอเมริกันจำนวนหนึ่ง ซึ่งเขาไม่สามารถสมัครเข้าเรียนโรงเรียนไทยได้ เป็นกลุ่มเล็กๆ ของเด็กเชียงรายราว 15 คนที่เรียกว่า FLC หรือ Family Learning Center จากนั้นไปเรียนที่ SAE Institute Thailand ได้ประกาศนียบัตรในสาขา Audio Engineering

 

06.09

เปิดกิจการอาหารสุขภาพตอนอายุ 19 ตั้งแต่ประเทศไทยยังไม่รู้จักคำว่าคลีนฟู้ด

ผมน่าจะเป็นกิจการอาหารคลีนเจ้าแรกๆ ของประเทศเลยนะ สมัยนั้นผมคิดว่ายังไม่มีคำว่าอาหารคลีนด้วยซ้ำ แต่ผมเน้นทำอาหารสำหรับนักเพาะกายโดยเฉพาะ มีลูกค้า 8 คน แต่ละคนจ่ายผมวันละ 500 บาทเพื่อการทำเมนูจากเนื้อไก่ขนาด 1 กิโลกรัมส่งถึงบ้านหรือออฟฟิศ นั่นเป็นธุรกิจแรกของผมเลย

 

06.49

ชีวิตและการทำงานบนเรือสำราญ

แต่จากนั้นไม่นานแม่ผมก็ทักขึ้นมาว่า จะทำอย่างนี้ไปอีกนานแค่ไหน มหาวิทยาลัยเราก็ไม่ได้เรียน ไม่อยากไปเห็นโลกให้มากกว่านี้หน่อยเหรอ นั่นคือตอนที่คิดว่าอยากลองสมัครงานบนเรือสำราญที่เดินทางไปทั่วโลก แต่เพราะเราไม่มีวุฒิ ไม่มีประสบการณ์ ผมก็ปลอมเรซูเม่เลยครับ ประมาณ 90% คือแต่งเอาเอง เพราะถ้าจะสมัครงานบนเรือ คุณต้องมีประสบการณ์ในงาน F&B (Food and Beverage) อย่างน้อย 2 ปี ในโรงแรมใหญ่ๆ ยิ่งดี ผมเพิ่งจะ 19 เอง มันคือความ catch-22 ที่เด็กจบใหม่ทุกคนเจอ นั่นคือเราอยากสมัครงานเพื่อหาประสบการณ์ แต่งานที่เราอยากสมัครดันต้องการคนที่มีประสบการณ์ แล้วเราจะได้งานได้ยังไง ผมก็แต่งเรซูเม่เองซะเลย เขียนไปว่าเรามีความรู้มากมายทางด้านอาหาร ซึ่งก็ไม่ได้โกหก ผมทำธุรกิจอาหารคลีนมาแล้วไง แต่สิ่งที่ขาดคือประสบการณ์การผ่านงาน ก็เลยไปขอลูกพี่ลูกน้องคนหนึ่งซึ่งเป็นเจ้าของรีสอร์ตให้เป็นบุคคลอ้างอิงให้ ในที่สุดผมก็ถูกเรียกสัมภาษณ์

 

คนสัมภาษณ์เป็นชาวโปรตุเกส เขาให้เราอธิบายความแตกต่างระหว่าง American Breakfast กับ Continental Breakfast ถามว่า เอสคาร์โกต์ คืออะไร อาหารประเภทไหนเสิร์ฟเมื่อไรอะไรพวกนี้ ผมก็ตอบได้หมด และตอบเป็นภาษาอังกฤษ แต่พอมาถึงคำถามว่าตอนทำงานโรงแรมน่ะเคยได้เงินเดือนเท่าไร ผมก็ เอ่อ สองหมื่นครับ เท่านั้นล่ะ ความแตก (หัวเราะ) เขาเลยรู้ว่าเราปลอมเรซูเม่ เพราะเงินเท่านั้นมันเยอะไปสำหรับคนอายุขนาดเรา แต่เขาก็ให้โอกาสนะ เพราะเห็นเรารู้จริง เลยเสนองานให้เราในตำแหน่ง ABFS ซึ่งคือ Assistant Buffet Steward แปลเป็นไทยคือทาสดีๆ นี่เอง (หัวเราะ) ตอนนั้นยังไม่รู้หรอกครับ แต่นี่คือตำแหน่งที่ต่ำสุดบนเรือแล้วล่ะ แถมผมก็เด็กสุดในแผนกด้วย อายุแค่ 19 ย่าง 20 ซึ่งส่วนใหญ่คนในแผนกนี้อย่างน้อยต้องอายุสัก 27-30 เพราะเป็นงานที่ต้องอาศัยประสบการณ์มาก่อน

 

09.19

ผมก็ขึ้นเรือไปแบบไปตายเอาดาบหน้า ที่จริงพ่อผมไม่อยากให้ไป แต่ผมไม่สน ชีวิตเป็นของผม ผมอยากไป ผมก็ไป ไปทั้งๆ ที่ยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเขาให้ไปทำอะไร ตอนนั้นคิดอยู่อย่างเดียวว่าอยากออกนอกประเทศ ไม่อยากอยู่ไทย วันแรกช็อก เพราะแอบคิดว่างานบนเรือสำราญมันน่าจะหรูหราสักหน่อย ต่อให้เป็นพนักงานก็เถอะ แต่เอาเข้าจริงแล้วมันคืองานทาสชัดๆ หน้าที่ของผมคือทำความสะอาด messroom ซึ่งคือโรงอาหารของพนักงาน ดังนั้นงานของผมนี่คือไม่ได้เจอผู้โดยสารเลยนะครับ เจอแต่ลูกเรือ เรือที่ผมทำงานชื่อ Grand Princess บรรทุกได้ทั้งหมดประมาณ 3,900 คน ซึ่ง 1,300 คนในจำนวนนั้นคือลูกเรือ มีคนไทยประมาณ 50 คน ส่วนใหญ่อายุ 30-40 กันหมด ไอ้เด็กไทยคนนี้ก็กวาดพื้น ขัดพื้น เรียงจาน นั่งแกะสติกเกอร์ออกจากแอปเปิ้ล อะไรอย่างนี้ครับ ผมก็ทำไป ไม่เกี่ยงงอนนะ ชีวิตต้องสู้ เรารู้อยู่แล้ว

 

แต่สิ่งหนึ่งที่ผมพยายามทำคือการจำชื่อคน เพราะนั่นคือสิ่งที่เขาสอนให้เราทำ คือพยายามจำชื่อและทักทายทุกคน คิดย้อนกลับไปมันก็เป็นบทเรียนที่ดีนะครับ เวลาเราเข้าไปเริ่มงานใหม่กับสิ่งแวดล้อมใหม่ ให้ทำตามกฎกติกาเขาไปก่อน ที่นี่เขาสอนให้เราสุภาพ เอาใจใส่กับทุกสิ่งอย่าง และเวลามีใครถามว่า How are you? อย่าตอบว่า I’m good. แต่ให้ตอบว่า I’m excellent! นั่นคือทัศนคติของการทำงานบนเรือที่เราได้เรียนรู้ และนอกจากนั้นเราต้องรู้ด้วยว่าคนอื่นต้องการอะไรจากเรา

 

มีลูกเรือจำนวนมากที่อยู่มานานจนเริ่มรู้สึกหมดไฟหรือไม่ตื่นเต้นกับงานแล้ว แต่เรายังเด็ก เราก็จะเต็มที่กับทุกอย่างสุดๆ ทำตามกฎเป๊ะๆ เดือนแรกได้เป็นพนักงานตัวอย่างเลยครับ ได้มา 500 เหรียญ นี่คือรางวัลที่ได้มาจากการกวาดพื้นอย่างกระตือรือร้นและจำชื่อคนอย่างแม่นยำ น่าจะโดนคนหมั่นไส้ไปเยอะเลยแหละ แต่นั่นคือบทเรียนที่ผมได้มานะ – อย่าปล่อยให้ชีวิตหมดไฟ

 

12.24

หลังจากได้รางวัลนั่นไม่กี่สัปดาห์ ผมได้โอกาสมาฝึกงานในบาร์ ซึ่งก็เป็น Crew bar คือบาร์ของลูกเรืออีกแหละครับ ยังไม่ได้เจอผู้โดยสารอยู่ดี ผมได้งานนี้เพราะพูดภาษาอังกฤษได้ แต่ก็มีปัญหานิดหน่อย นั่นคือผมเป็นคนไม่ดื่มเลย ก็ต้องใช้วิธีท่องจำทุกอย่าง สำหรับคนไม่ดื่มเหล้า ผมว่าผมก็ทำได้ไม่เลวนะ จนในที่สุดก็ได้เลื่อนตำแหน่งขึ้นไปทำใน Officer bar ซึ่ง officer คือเจ้าหน้าที่ระดับปฏิบัติการ เช่น กัปตัน วิศวกร รวมทั้งนักแสดง หรือ entertainer ต่างจาก crew ที่จะหมายถึงพนักงานที่ทำงานบริการ อาหาร เครื่องดื่ม โรงแรม

 

ผมได้ย้ายมาทำที่ Officer bar และในที่สุดคือได้ดูแลจัดการทั้งหมด คุมสต็อก สั่งของ ไปจนถึงทำความสะอาด และเป็นบาร์เทนเดอร์ บริการลูกค้าตั้งแต่ห้าโมงเย็นถึงตีหนึ่ง แต่ก็ยังต้องตื่นมาทำกะเช้าที่โรงอาหารลูกเรืออยู่นะครับ ยังคงเป็น ABFS ผู้ต่ำต้อยอยู่ตลอดไป

 

จากวันที่ทำแต่งานต่ำต้อยจนได้มาคุมบาร์ก็ประมาณ 2 เดือน คือผมไม่เล่นการเมืองนะ แต่ผมก็จะไม่พยายามเก็บงำความสามารถของตัวเองเอาไว้เงียบๆ ผมรู้ว่ามีหลายคนไม่ชอบขี้หน้าผม เพราะผมกล้าที่จะพูดออกมาว่า ผมคิดว่าผมจะทำได้ดีกว่าเขา นี่เป็นสิ่งที่ผมยึดถืออยู่เสมอ คนในโลกนี้มีมากมาย แต่ตำแหน่งมีจำกัด ถ้าคุณไม่สู้เพื่อที่จะได้ไปยืนอยู่ตรงจุดที่คุณอยากยืน นั่นเป็นความผิดของคุณเองนะ หนึ่งปีบนเรือสอนผมเรื่องนี้ และทัศนคติแบบนี้ก็ติดตัวผมมาตลอดชีวิต – คุณต้องกล้าที่จะคว้า

 

“There are a lot of people in this world but there are certain amount of spots for you to stand on. If you don’t fight for it, it’s too bad. It’s your fault.”

 

โค้ชฟ้าใส ในรายการ We Need To Talk ที่ The Standard Podcast

 

ผมกลับมาเมืองไทยตอนอายุ 21 เปลี่ยนไปเป็นคนละคน หลักๆ ก็ด้วยทัศนคติ ‘กล้าที่จะคว้า’ ที่ติดตัวเรามา ทำให้ผมเป็นคนมั่นใจ และอยากได้อะไรต้องได้ ไม่ว่าจะด้วยวิธีใดก็ตาม เพราะเราอายุเท่านั้น แต่ไปมาแล้ว 50 เมือง 25 ประเทศ 6 ทวีปทั่วโลก ความคิดตอนนั้นคือเราเจ๋งที่สุด ไม่มีใครโค่นเราได้ แต่ผมคิดผิดนะ ยังมีอะไรมากมายไปกว่าการ Have been there, have done that และนั่นคือตอนที่ผมตัดสินใจสมัครทุนไปเรียนต่อที่นิวซีแลนด์

 

15.44

ชีวิตนักเรียนทุนในนิวซีแลนด์

ตอนอายุ 21 ผมวุฒิแค่ ม.4 เองนะ ไม่เคยเข้ามหาวิทยาลัยไทย ในขณะที่เพื่อนๆ เรียนมหาวิทยาลัยกันหมด ก็เลยคิดว่าอยากจบมหาวิทยาลัยกับเขาบ้าง อย่างน้อยเพื่ออาม่าครับ เพราะที่จริงญาติๆ ไม่มีใครเห็นด้วยกับการที่แม่ให้ผมเรียนแบบโฮมสคูลเลย เขากลัวผมไม่มีเพื่อน อีกอย่างคือเอาไปคุยกับเพื่อนๆ เขาไม่ได้ด้วยมั้งครับ มันก็เป็นปมหน่อยๆ เสมอมาน่ะ

 

แต่โดยส่วนตัวผมรักการเรียนแบบโฮมสคูลมากเลยนะ ถ้ามีลูกก็จะให้ลูกเรียนแบบนี้เหมือนกัน มันเป็นการแสวงหาความรู้ที่ดีโดยไม่ต้องยึดติดอยู่กับข้อจำกัดของระบบการศึกษา ผมว่ามันเป็นระบบที่เหมาะกับโลกทุกวันนี้ด้วยซ้ำไป เราไม่ต้องเสียเวลาเรียนรู้อะไรที่เราจะไม่ได้ใช้ แล้วในที่สุดก็ลืม

 

ผมเรียนไวโอลินตั้งแต่ 7 ขวบ ตอน 8 ขวบถูกส่งเสริมให้หางานอดิเรกทำสักอย่าง และตอน 10 ขวบเริ่มเรียนภาษาอังกฤษ เท่านี้เลย ชีวิตโฮมสคูลส่วนใหญ่คือการเล่นเกม ทั้งการ์ดเกม คอมพิวเตอร์เกม แต่แม่ผมจะบอกว่า เอาล่ะ ถ้าจะเล่นเกมหนักขนาดนี้ เขียนเล่าให้แม่อ่านหน่อยว่าแต่ละเกมเล่นยังไง เล่นแล้วได้อะไร ผมก็เขียนบรรยายไปว่าผมเรียนรู้เกี่ยวกับนาซีและฮิตเลอร์จากการเล่นเกม Wolfenstein, ผมเรียนรู้เรื่องดาวอังคารและวิทยาศาสตร์จากการเล่นเกม Doom, ผมเรียนรู้เรื่อง Spice trading จากเกม Dune, ผมเรียนรู้เรื่องประวัติศาสตร์ยุคกลางจากเกม Warcraft, ผมเรียนรู้เรื่องสงครามเย็นจาก C&C (Command and Conquer), ในเกมชื่อ Age of Empires ผมก็ได้เรียนรู้เรื่องอาณาจักรไอยคุปต์ ประวัติศาสตร์ยุคสำริด ยุคเหล็ก ภูมิศาสตร์ยุโรป และเมดิเตอร์เรเนียน ทั้งหมดนี้ไม่เคยได้อ่านจากตำราสักเล่ม แต่เรียนเอาจากเกมทั้งหมด กับค้นต่อเอาเองบนอินเทอร์เน็ตแล้วเขียน essay ส่งแม่

 

19.28

แม่ผมสนับสนุนให้อ่านการ์ตูนนะ แม่ซื้อ ตำราพิชัยสงครามซุนวู (The Art of War) ให้ และจุดนี้แหละที่เป็นเหตุให้แม่ตัดสินใจให้ผมออกจากโรงเรียนในที่สุด เพราะผมชอบการ์ตูนเล่มนี้มาก แต่พอเอาไปโรงเรียนกลับถูกครูยึด แม่ผมก็บุกไปเลย แล้วบอกครูว่า รู้ไหมว่าลูกชายฉันเรียนรู้จากการ์ตูนมากกว่าเรียนรู้จากครูเสียอีก ที่จริงยังมีอีกหลายเรื่องที่ทำให้แม่ผมรู้สึกว่าไม่เอาแล้วกับระบบการศึกษาแบบนี้ อย่างเรื่องที่ผมขายสติกเกอร์ ผมเล่นเกม C&C ใช่ไหม ผมก็ไปหารูปเรือรบ หรือเครื่องบิน ปรินต์ออกมา แล้วเอามาทำสติกเกอร์ไปขายที่โรงเรียน โดนอีก

 

แม่ผมจะส่งเสริมให้ลูกค้าขายตลอด ผมเข้าใจเรื่อง 4P ตั้งแต่ 10 ขวบ เพราะแม่จะพาไปแม็คโคร ไปซื้อลูกอมฮาร์ทบีต แม่บอกว่า เอ้าคิดซิว่าจะเอาไปขายที่ไหน แล้วเอาเงินที่ไหนซื้อล่ะ เงินตัวเองสิครับ เงินที่แม่ให้จากการทำงานบ้านนี่แหละ แล้วต้องคิดต่อว่า ห่อใหญ่ที่ซื้อมาจะเอาไปแยกขายเป็นห่อเล็กห่อละกี่เม็ด แล้วต้องขายเท่าไรถึงจะได้กำไร เรื่องพวกนี้ทำให้เราเข้าใจ Product, Price, Place, Promotion จากการลงมือทำจริง โดยไม่ได้รู้สึกว่านี่คือการเรียน แต่มันเป็นเรื่องที่เราต้องคิดถ้าอยากได้เงิน เนี่ยครับ ชีวิตเป็นแบบนี้มาตลอด ตั้งแต่เด็ก โดยเฉพาะช่วงวิกฤตต้มยำกุ้ง จากครอบครัวมีตังค์ กลายเป็นครอบครัวจนๆ ไปในทันที ได้เรียนรู้จากประสบการณ์ว่าถ้าไม่เตรียมพร้อมเอาไว้ สักวันเราจะเจ็บตัว ทั้งหมดนี้ยิ่งทำให้ความ ‘กล้าที่จะคว้า’ และ ‘ไม่ยอมอะไรง่ายๆ’ ในตัวเรายิ่งชัดเจน

 

อย่างที่บอกครับ ด้วยปมเล็กๆ ที่ไม่เคยเรียนอะไรในระบบกับเขา เราเลยอยากเข้ามหาวิทยาลัย ก็เริ่มจากการสุ่ม กูเกิลหาทุน ตอนนั้นคือที่ไหนก็ได้ ขอให้ไม่ใช่เมืองไทย เพราะความที่เราไม่ได้จบมาในระบบ การจะเข้ามหาวิทยาลัยไทยมันเลยยาก ก็ไปเจอที่หนึ่งชื่อ International Pacific College (IPC) ที่นิวซีแลนด์ ในเมืองชื่อ Palmerston North เป็นเมืองเล็กๆ ที่ไม่ค่อยมีอะไร พอไปบอกแม่ว่า แม่ จะชิงทุนไปเรียนที่นี่นะ แม่ก็บอก ไปสิ เอ้า แม่มีให้สองแสน เอาไปซื้อตั๋วเครื่องบิน เอาไปตั้งตัว แต่หมดจากสองแสนนี้ต้องหาเงินเองนะ

 

เพราะฉะนั้น พอไปถึงที่นั่น อย่างแรกคือต้องหางานทำก่อนเลย คราวนี้เรซูเม่เป็นของจริงแล้วครับ ไม่ต้องโกหกแล้ว และในใจกระหยิ่มมาก เราทำงานบนเรือมาแล้ว รับรองว่าหางานได้สบายมาก แต่ปรากฏว่า สำหรับเด็กอายุแค่ 21 ดันไม่มีใครเชื่ออีกว่าผมจะมีประสบการณ์เยอะแยะขนาดนั้น

 

แต่ที่สุดแล้วก็ได้งานที่ร้านอาหารญี่ปุ่นชื่อ Hana Mizu Ki คือที่ IPC นี่ 60% ของนักเรียนเป็นญี่ปุ่น ผมก็เลยเลือกเรียน IR (International Relations) และภาษาญี่ปุ่น แบบ พอเอาไว้จีบสาวได้ หรือไปเที่ยวญี่ปุ่นโดยไม่ต้องมีไกด์ได้

 

การเรียน IR (ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ) เป็นสิ่งที่มีอิทธิพลต่อสไตล์ของอารมณ์ขันของผมมากเลยนะ เพื่อนๆ ของผมจะมีหลากหลายชาติพันธุ์มาก เราจะเล่นมุกล้อเลียนเชื้อชาติกันหนักมาก ไม่ว่าจะเป็นแซะชาติตัวเอง หรือแซะชาติคนอื่น แซะไปจนกระทั่งความเชื่อ เราต้องแซะให้หมด เพราะด้วยความเป็นนักเรียน IR ถ้าเราอยากมองโลกได้กว้างขึ้น เราต้องก้าวข้ามความเป็นชาติไปให้ได้ก่อน เราถึงจะเห็นโลกในอีกระดับหนึ่ง เราต้องเลิกหลับหูหลับตาปกป้องความเชื่อของเรา ถ้าเราอยากมองอะไรอย่างเป็นกลางได้จริงๆ เราต้องตลกได้กับความเชื่อ เชื้อชาติ ไปจนถึงระบบการเมืองการปกครองของเราเอง ตอนนั้นเรียกว่าเป็นประสบการณ์ที่ดีมากที่เราได้มีโอกาสสัมผัสกับความหลากหลายในระดับนั้น

 

26.27

จากแพสชัน พัฒนาเป็นทักษะ จนกลายเป็นอาชีพ

อีกอย่างที่ได้จากประสบการณ์ในนิวซีแลนด์คือทักษะการเอาตัวรอดครับ ผมเป็นนักเรียนทุนใช่ไหม มีแค่สองแสนบาทที่แม่ให้มา กับเงินเก็บของตัวเองอีกสองแสนจากการทำงานบนเรือสำราญ ผมก็เลยต้องทำงานหาเงินเอง

 

จำได้ไหมที่ผมเล่าว่าผมเล่นเกมแต่เด็ก นั่นเลยทำให้ชอบพวกเครื่องบินรบอะไรพวกนี้ ผมเลยมีงานอดิเรกอีกอย่างคือการเพนต์หุ่นฟิกเกอร์ ที่มหาลัย ผมจะเป็นคนสอนเพื่อนๆ เล่นเกม แล้วก็สอนเขาเพนต์ฟิกเกอร์โมเดลด้วย เลยเกิดความคิดขึ้นมาว่า ถ่ายคลิปตัวเองตอนสอนแล้วเอาขึ้นยูทูบดีกว่า ทำงานร้านอาหารญี่ปุ่นผมได้ชั่วโมงละ 300 บาท ซึ่งก็ถือว่าไม่เลว แต่ทักษะการเพนต์โมเดลของเราจะหาเงินได้มากกว่านั้น และถ้าอยากได้ลูกค้า เราต้องหาช่องทางเอาทักษะของเราไปโชว์ให้เขาเห็นเสียก่อน

 

ผมเริ่มจากการถ่ายวิดีโอง่อยๆ ง่ายๆ โดยเอากล้องเว็บแคมผูกแปะหน้าผาก สมัยนั้นยังไม่มีหรอก GoPro (หัวเราะ) ความละเอียดภาพก็ห่วย แต่เพิ่งเริ่มมันก็ต้องห่วยๆ ก๊อกๆ แก๊กๆ ยังงี้ไปก่อนแหละ

 

จากนั้นก็เปิดแชนแนล เอาคลิปขึ้นยูทูบ นานพอสมควรกว่าจะได้ subscriber ประมาณ 3,000 หลังจากนั้นงานแรกก็มาครับ ผมเริ่มขายโมเดลที่ตัวเองเพนต์บนเว็บชื่อ TradeMe ซึ่งก็น่าจะเทียบเท่าเว็บประมูลของบ้านเรา หรือ ebay นั่นเอง ตัวแรกขายได้ 50 เหรียญ ตัวนั้นใช้เวลาทำ 5 ชั่วโมง เท่ากับหาเงินได้ชั่วโมงละ 10 เหรียญจากหอพัก โดยไม่ต้องออกไปไหน

 

จากนั้นผมเลยขอลาออก มานั่งทำงานที่หออย่างเดียว เริ่มตั้งใจทำแชนแนลของตัวเอง และขยันโพสต์งานบนเว็บไซต์ชื่อ CoolMiniOrNot เขาจะมีการโหวตกันครับ จากนักเพนต์ทั้งหมดประมาณ 10,000 คนบนโลกนี้ ผมไต่จากโนเนมล่างสุดขึ้นมาอยู่ที่อันดับประมาณ 300 การขึ้นมาอยู่อันดับสูงๆ ยิ่งทำให้โอกาสที่จะได้ลูกค้าสูงตามไปด้วย และค่าฝีมือของคุณก็จะสูงตามไปด้วยอีกเช่นกัน ผมเคยเรียกราคาได้ถึงตัวละหมื่นบาท ซึ่งใช้เวลาทำคืนเดียวเสร็จ แต่นั่นคือนั่งทำทั้งคืนเลยนะครับ

 

30.56

ปีแรกที่ผมมาอยู่นิวซีแลนด์ ผมทำตัวเหมือนช่วงแรกที่ทำงานบนเรือเลย คือพยายามหนักมาก ใส่เต็มมาก ได้ A ทุกวิชา ลง 8 ตัว ท็อป 8 ตัว กะฟันเกียรตินิยมเต็มที่ แต่พอขึ้นปีสอง ได้งานนี้ โยนเกียรตินิยมทิ้งทันที (หัวเราะ) ไม่สนแล้ว เงินอยู่ตรงหน้า จะมัวไปเรียนเอา A หาอะไร แต่ผมก็ยังตั้งใจเรียนนะ เพราะเราเป็นเด็กทุน เราต้องรักษาเกรดให้ได้ตามเกณฑ์ที่เขากำหนด และให้เกรดยังสวยงามพอที่จะเป็นศิษย์รักของอาจารย์ได้อยู่

 

ที่จริงผมไม่ได้ฉลาดขนาดนั้นนะ ผมแค่รู้ว่าผมต้องฉลาดในเรื่องไหน และผมก็ไม่ได้เป็นคนมีพรสวรรค์หรอก ผมแค่ทำไปแบบไม่ล้มเลิก ไม่หยุด ไม่ยอมแพ้ ก็แค่นั้น

 

ถ้าชีวิตของฟ้าใสในนิวซีแลนด์เป็นหนังสักเรื่อง มันจะเป็นหนังประเภทไหน ไคลแมกซ์ของเรื่องอยู่ที่ไหน และเหตุการณ์อะไรที่เกิดขึ้นที่นั่น ที่เปลี่ยนตัวตนของเราไปทั้งชีวิต

ชีวิตสอนผมมากมายในเรื่องของความสัมพันธ์ ผมโตมากับเพื่อนที่เป็นลูกมิชชันนารีต่างชาติที่เข้ามาและจากไปตลอดเวลา ผมเลยโตมาอย่างเข้าใจโลกว่า ไม่มีใครอยู่กับเราตลอดไปหรอก ชีวิตมันเป็นอย่างนี้เอง

 

“Life taught me a lot about relationships. I grew up with missionary friends. They come and go all the time. So I grew up as a realist. You know that people don’t last. You know that any relationships go away. It’s just the way of life.”

 

โค้ชฟ้าใส ในรายการ We Need To Talk ที่ The Standard Podcast

 

ในหนังชีวิต มันต้องมีทั้งความสุข ความเศร้า ปนกันไปเป็นธรรมดา หนังชีวิตของผมในนิวซีแลนด์เป็นเรื่องของเด็กหนุ่มอายุ 25 คนหนึ่งที่ต้องบอกลาหญิงสาวของเขา ก่อนจะจากลากันไปอยู่คนละมุมโลก และหนังเรื่องนี้สอนให้ผมรู้ว่า อย่ามองข้ามความสำคัญของคนที่อยู่ใกล้ตัว

 

33.44

โดนแกล้ง จนอยากล่ำ

เพราะความที่เป็นเด็กโฮมสกูล ผมเลยไม่เคยมีเพื่อนอายุรุ่นราวคราวเดียวกัน แล้วเราก็โดนแกล้ง ซึ่งเราก็น่าแกล้งแหละ เข้าใจได้ เป็นเด็กตัวผอมๆ หิ้วไวโอลินไปไหนต่อไหน เอาแต่อ่านหนังสือ ไม่เล่นกีฬา ไม่ดูฟุตบอล สนใจอะไรไม่เหมือนเด็กในวัยเดียวกัน เลยไม่มีใครคบ และไม่มีสาวที่ไหนสนใจ นี่คือข้อเสียเปรียบสำคัญของเด็กโฮมสกูล

 

พออายุ 16 ผมเลยหันมาเล่นกีฬา โดยเลือกเล่นยูโด ช่วงแรกโดนเขาจับทุ่มจนแทบเป็นลมครับ เพราะร่างกายเราอ่อนแอมาก แต่พอฝึกไปได้สักสองสามเดือน ก็ไปท้าสู้ไอ้เพื่อนคนที่มันเคยแกล้งเรา แต่ผลปรากฏว่าทุ่มเขาไม่ลง (หัวเราะ) น่าขันสิ้นดี ไอ้เด็กเนิร์ดๆ คนหนึ่งที่เรียนไปแค่ไม่กี่ท่าก็ไปท้าเขาเสียแล้ว ผมกลับมาคิดว่า อืม มันขาดอะไรไปวะ ก็ไปอ่านเจอจนรู้ว่า เราต้องการความแข็งแรง เพื่อนสนิทผมคนหนึ่ง เป็นนักกีฬาบาสเกตบอล รู้ว่าเรากำลังเฟลๆ มันเลยชวนเราไปวิ่งตอนเช้า แล้วกลับมาเล่นเวตต่อด้วยกัน สิ่งหนึ่งที่มันพูดกับผมคือ อย่าอ้าง ถ้าไม่อยากทำ ก็บอกไม่อยากทำ อย่ามาพูดว่าเหนื่อย หรือยุ่ง นั่นมันก็แค่คำอ้างของคนอ่อนแอที่จะเป็นคนขี้แพ้ตลอดไป นั่นคือจุดเริ่มต้นของของความเปลี่ยนแปลงทางร่างกายทั้งหมดของผมเลยครับ ประกอบกับอกหักอีกอย่าง เรียกว่าครบเลย สองแรงจูงใจสำคัญที่จะทำให้คนคนหนึ่งอยากเปลี่ยนแปลงตัวเอง การโดนสังคมปฏิเสธ และการโดนคนที่เรารักปฏิเสธ ตอนนั้นเรียกว่าเจ็บช้ำมาเท่าไร ก็เอามาลงกับการเวิร์กเอาต์ให้หนักขึ้นเท่านั้น

 

37.49

ออกกำลังกายอย่างเดียวไม่พอ อาหารต้องถึงด้วย

การเปลี่ยนแปลงตัวเองเริ่มที่การออกกำลังกาย แต่มันต้องควบคู่ไปกับอาหารการกินที่เคร่งครัดด้วย ตอนนั้นผมศึกษาเรื่องโภชนาการด้วยตัวเองเยอะมาก นั่นคือที่มาของการริเริ่มกิจการอาหารคลีนที่เล่าให้ฟังก่อนหน้านี้ เพราะผมเล่นกล้าม ผมเลยรู้ว่าคนเล่นกล้ามต้องการอาหารแบบไหน ผมทำอาหารกินเอง พอเอาอาหารไปโรงเรียน เพื่อนเห็นก็อยากกินบ้าง เลยขอให้เราทำให้กิน ผมไปแม็คโครเลยครับ แม็คโครอีกแล้ว (หัวเราะ) ที่ที่เคยไปซื้อขนมมาขาย แต่หนนี้ไปซื้อเนื้อ กลับมาทำซูพรีมโรสต์บีฟแซนด์วิช ผมไป Subway แล้วแอบถ่ายรูปเขามา เพราะเราอยากรู้ว่าแซนด์วิชเนี่ยมันใส่อะไรบ้าง โอเค ต้องมีมะกอก ต้องมีมะเขือเทศ แล้วเวลาไป McDonald’s ก็ไปแอบดูอีก เขาหั่นหัวหอมยังไง เขาเตรียมเครื่องยังไง กลับมาคิดต้นทุน ขอกำไร 50% ตามสูตร วันรุ่งขึ้นเอาไปให้เพื่อนกิน ทุกคนชอบมาก เพราะเบื่ออาหารไทยในโรงอาหารที่มีโปรตีนน้อย ผัดไทย ผัดซีอิ๊ว มีแต่เส้น หมูอยู่ไหน มนุษย์ยิมทุกคนคือ เฮ้ย เราต้องการเนื้อ เราต้องตัวใหญ่ เราอยากเล่นฟุตบอล ผมก็นี่เลย ของอร่อย ของดี เอาไปกิน แล้วจ่ายมา 140 บาท เพื่อนบอก ถูกมาก! นั่นล่ะ ธุรกิจเกิดละ

 

จากนั้นก็แวะแม็คโครตลอด และพยายามคิดสูตรใหม่เรื่อยๆ ทุกครั้งที่เอาเมนูใหม่ๆ ติดมือไป เพื่อนจะลองกิน แล้ววิจารณ์ให้ทันที ฟี้ดแบ็กโดยตรงจากลูกค้าแบบทันใจเลยครับ แต่อยู่มาวันหนึ่งผมก็โดนแบน โรงเรียนห้ามผมขายอาหาร เพราะไปทับเส้นโรงอาหารเขา เพราะอย่างน้อยพวกเด็กผู้ชายที่ออกกำลังกายเนี่ยมากินของผมกันหมด ซึ่งพอดีตอนนั้นผมตั้งใจจะย้ายมากรุงเทพฯ อยู่แล้ว ก็เลยไม่สน

 

มาถึงกรุงเทพฯ เช่าออฟฟิศเล็กๆ เปิดกิจการทันที ผมจะไปยิม สมัยนั้นคือ California WOW เข้าไปทาบนักเพาะกายอาชีพ เลือกพี่ๆ ตัวใหญ่ๆ เลยครับ เริ่มจากขอเข้าไปเล่นด้วย เริ่มรู้จักคุ้นเคย จนผมได้ข้อมูลว่าพวกเขากินอะไรกัน พอเราออกความเห็นว่าอาหารที่พวกเขากินกันมันไม่ค่อยน่ากิน เขาก็บอกว่า รู้แหละ แต่มันไม่มีเวลามานั่งทำ ผมก็ได้ทีเลยครับ งั้น ให้ผมทำให้ไหม ผมทำได้นะ ได้ลูกค้าคนแรกเป็นหนึ่งในนักเพาะกายระดับท็อปๆ ผมไม่เอาตังค์ด้วยนะ ทำให้ฟรีเลย ถือว่าแลกกันกับที่เขาช่วยสอนเรา แต่ที่สุดแล้วเขาก็แนะนำเพื่อนๆ มาเป็นลูกค้าเราครับ

 

แล้วผมก็เปิดกิจการทำและส่งอาหารสุขภาพสำหรับนักเพาะกายโดยเฉพาะอย่างเต็มตัว ผมจะทำอาหารตอนกลางคืน แล้วส่งลูกค้าโดยให้แมสเซนเจอร์วิ่งตั้งแต่ 6 โมงเช้า หลังจากนั้นผมจะนั่งรถเมล์ไปลงพร้อมพงษ์เพื่อขายแซนด์วิชต่อ

 

ก่อนหน้านั้นผมไปสำรวจทำเลแถวปากซอยสุขุมวิท 33 ประมาณหน้าวิลล่าน่ะครับ ก็ไปชอบอยู่จุดหนึ่ง เลยถามคนที่ขายลอตเตอรี่แถวนั้นว่า ผมจะมาขายแซนด์วิชตรงนี้ได้ไหม เขาก็บอกว่า ได้ ตราบใดที่ไม่มีรถเข็นก็ไม่ต้องขอใคร ผมก็หอบตะกร้าขนาดยักษ์บรรจุแซนด์วิชเต็มใบไปยืนขาย วันแรกขายไม่ได้เลย เพราะอาย ไม่กล้าเรียกลูกค้า แต่หลังๆ เรียนรู้ว่าถ้าไม่กล้าก็ไม่มีวันขายได้ เลยเริ่มพูดมากขึ้น พอนานๆ ไปก็ขายเกลี้ยงทุกวัน ชีวิตตอนนั้นก็จะประมาณนี้ละครับ ตื่นมาส่งอาหาร นั่งรถเมล์มาขายแซนด์วิช เสร็จประมาณ 9 โมงเช้า กลับบ้าน นอน

 

แต่จากนั้นไม่นานแม่ผมก็ทักขึ้นมาว่า ต่อให้หาได้เดือนละห้าหมื่น ซึ่งก็นับว่ามากอยู่สำหรับเด็กอายุ 18-19 แต่ต่อไปจะขยายกิจการยังไง มีความรู้หรือเปล่า ซึ่งแม่พูดถูกนะครับ แม่ยังบอกอีกว่า ถ้าทำแบบนี้ต่อไป จริงอยู่ว่าจะเก็บเงินได้เยอะ แต่เราก็จะอยู่ได้แค่นี้แหละ เพราะความรู้เราจะเท่าเดิม เราจะรู้แค่จากที่เราลงมือทำ ออกไปดูโลก ออกไปผจญภัยหน่อยไหม พอแม่ให้ความเห็นมาอย่างนี้ ผมเลยเอาไปคิดต่อ และนั่นคือที่มาของการไปทำงานบนเรืออย่างที่เล่าไป

 

44.43

แจ้งเกิดบนอินสตาแกรม จนนำไปสู่ธุรกิจฟิตเนส  ในฐานะ โค้ชฟ้าใส

โลกของฟิตเนสเมื่อ 16-17 ปีก่อนเป็นสิ่งที่คนทั่วไปไม่ได้ให้ความสนใจ ฟิตเนสคือสถานที่สำหรับนักกีฬาอาชีพเท่านั้น ผมเองก็เคยคิดว่าธุรกิจนี้ไม่มีทางเกิดในบ้านเราหรอก แต่ผมคิดผิดมหันต์เลย

 

เคยได้ยินไหมครับว่า เวลาเราพูดถึงคนนิวซีแลนด์ เราจะมีภาพจำทันทีว่า เลี้ยงแกะ ไปทำอะไรที่นิวซีแลนด์ ไปเลี้ยงแกะเหรอ ประมาณนี้ ที่นั่นแกะมากกว่าคนจริงๆ นะ นิวซีแลนด์เป็นดินแดนที่ไม่ค่อยวัตถุนิยมเท่าไร ตอนอยู่ที่นั่นผมไม่ต้องใช้อะไรไฮเทคเลย สมาร์ตโฟนไม่เคยมี โนเกียเครื่องเดียวจบ ในขณะที่คนส่วนใหญ่ตอนนั้นใช้ไอโฟน 3 กันแล้ว โซเชียลมีเดียก็ไม่ติด อินสตาแกรมไม่รู้จัก ใช้แต่ยูทูบกับเฟซบุ๊กสำหรับธุรกิจของเราเท่านั้น แต่พอผมกลับมาจากนิวซีแลนด์ อินสตาแกรมบูมมาก และแม่ผมยกไอโฟนเครื่องเก่าให้ใช้ ผมเริ่มสนใจอินสตาแกรม ก็มาคิดว่าเราจะโพสต์รูปอะไรดี ตอนกลับมาจากนิวซีแลนด์ผมอ้วนนะ ไม่ฟิตเลย เพราะทำงานเยอะเกินไปจนไม่ได้ออกกำลังกาย เลยตัดสินใจจะกลับมาฟิตหุ่นอีกครั้ง

 

จากนั้นผมก็เริ่มโพสต์รูปตัวเองตลอดการแปลงร่าง โดยไม่ได้ตั้งใจโพสต์ให้ใครดูหรอก ตั้งใจเก็บไว้ดูเอง ผมชอบเขียนไดอารี่ แต่ละวันก็จะเขียนเล่าประกอบรูปไปด้วยว่าวันนี้ทำอะไร เทรนด์ยังไง กินยังไง กินข้าวไปกี่กรัม ละเอียดมาก เขียนหมดเลย ไม่มีกั๊ก และไม่ได้คิดว่าจะมีใครมาตั้งใจอ่าน เพราะมันยาว แต่ปรากฏว่าคนเข้ามาอ่านแล้วแชร์กันต่อๆ ไปเยอะมาก บางทีเข้ามาเถียงด้วยนะ ผมก็ต้องตอบเขาดีๆ ว่า อะ นี่นะครับ หลักฐานทางวิทยาศาสตร์ ผมศึกษามา ผมไม่ได้มั่ว

 

https://www.instagram.com/p/UBiB_8tlRz/

https://www.instagram.com/p/UvzCKUNlUp/

https://www.instagram.com/p/VWv03ANlc0/

https://www.instagram.com/p/UbBLsrtldG/

https://www.instagram.com/p/UBC56NNlRN/

https://www.instagram.com/p/UGgpWzNleK/

https://www.instagram.com/p/UiV6wjNlUq/

https://www.instagram.com/p/UNaID2Nlb3/

 

สิ่งที่เราเขียน บนอินสตาแกรม และ ในเพจ รวมถึง ในคลิปบนยูทูบ ทำให้ได้งานเขียนคอลัมน์ งานพิธีกร ถ่ายแบบ ทุกอย่างมาเร็วมาก รับมือแทบไม่ทัน เลยต้องตัดสินใจหยุดงานเพนต์ฟิกเกอร์โมเดล จนในที่สุดก็มาเริ่ม Fit Junctions ครับ

 

49.00

Fit Junctions ไม่ใช่ฟิตเนส

พวกเราเป็นฟิตเนสติวเตอร์ บนหลังเสื้อแทนที่จะใช้คำว่า Personal Trainer เราใช้คำว่า Educator เราให้ความรู้คุณทั้งเรื่องการกิน การออกกำลังกาย โดยออกแบบทุกอย่างให้เหมาะกับลูกค้าแต่ละคน และทุกอย่างต้องรับรองได้ทางวิทยาศาสตร์

 

51.04

ถ้าให้ โค้ชฟ้าใส เลือกระหว่างกินแต่ไข่ต้มอย่างเดียวหนึ่งเดือนเต็มๆ กับกินแต่ไก่ทอดอย่างเดียวหนึ่งเดือนเต็มๆ

(หัวเราะ) เลือกง่ายมากครับ เดาว่าผมจะเลือกไข่ต้มสินะ ไม่มีทาง! ไก่ทอดแน่นอน ที่ Fit Junctions เราจะสอนให้คุณกินไก่ทอดได้ทุกวันโดยไม่ต้องกลัวอ้วน ใครอยากรู้ว่าทำอย่างไร ไปฟอลโลว์เราที่ FitJunctions.Com นะครับ (หัวเราะ) ที่จริงผมเคยเขียนบทความสอนวิธีกินไก่ทอดเอาไว้นานแล้ว ไปอ่านได้เลยครับ หัวใจของโภชนาการที่ดีอย่างยั่งยืน ไม่ใช่การพยายามฝืนกินแต่อาหารเฮลตี้ แต่อยู่ที่การกินให้สมดุล ระหว่าง ‘อาหารสุขภาพ’ กับ ‘อาหารขยะ’ ต่างหาก ใครที่กำลังฟังอยู่และเป็นแฟนไก่ทอดเคเอฟซี กินได้ ไม่ต้องกังวลนะครับ คุณแค่ต้องรู้ว่าจะกินยังไง กินได้กี่ชิ้นต่อวัน แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่แนะนำให้กินทุกวันหนึ่งเดือนเต็มอยู่ดีนะ

 

และถ้าผมต้องเลือกจริงๆ ระหว่างการเป็นบ้าเพราะต้องกินแต่ไข่ต้ม กับการเสี่ยงหัวใจวายเพราะกินแต่ไก่ทอด -ซึ่งเอาจริงๆ มันก็ไม่ได้วายกันง่ายขนาดนั้นหรอก- ผมเลือกอย่างหลังแน่ๆ เพราะมันอร่อย อันที่จริงขอแนะนำให้ตั้งชื่อพอดแคสต์ตอนนี้ว่า ‘กินไก่ทอดอย่างไรให้สุขภาพดี’ ก็ไม่เลวนะครับ (หัวเราะ)

 

53.23

ถ้าให้ โค้ชฟ้าใส เลือกระหว่าง ซิตอัพเดี๋ยวนี้ 10,000 ครั้ง กับ วิดพื้นเดี๋ยวนี้ 10,000 ครั้ง  

เลือกวิดพื้นครับ ข้อเท็จจริงคือ การซิตอัพไม่ค่อยดีต่อสุขภาพเท่าไร ทำมากเกินไปจะปวดหลังครับ

 

54.08

ถ้าให้ โค้ชฟ้าใส เลือกระหว่าง สูญเสียกล้ามทั้งหมดที่มี กับสูญเสียความรู้ทางภาษาอังกฤษทั้งหมดที่มี

ยอมเสียกล้ามครับ ทุกวันนี้ไม่ได้ใช้กล้ามทำงานทำเงินแล้วล่ะ อย่างวันนี้มาพอดแคสต์ก็ไม่ได้ใช้กล้ามนะ (หัวเราะ)

 

55.12

ถ้ามีความลับอะไรสักอย่างเกี่ยวกับตัวคุณ หรือคนที่คุณรัก แต่ความลับนั้นจะเปลี่ยนชีวิตคุณไปตลอดกาล เช่น ที่จริงแล้วคุณไม่ใช่มนุษย์ แต่เป็นหุ่นยนต์ หรือ ที่จริงแล้ว คนรักของคุณเคยเป็นนักฆ่ามาก่อน คุณจะอยากรู้ไหม

อืม น่าคิด ผมว่าความลับอะไรก็ตามในโลกนี้ ที่สุดแล้วมันต้องเผยตัวออกมาสักวัน ไม่ช้าก็เร็ว ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง ถ้าภรรยาผมเคยเป็นนักฆ่ามาก่อนจริงๆ มันก็คงไม่ได้เปลี่ยนอะไรในปัจจุบันนี้อยู่ดี เพราะนั่นมันเป็นอดีตไปแล้ว ผมว่าการมีภรรยาเป็นอดีตมือสังหารนี่มันออกจะเท่ดีด้วยซ้ำ (หัวเราะ)

 


 

 


 

Credits 

The Host สาวิตรี สุทธิชานนท์

The Guest ฟ้าใส พึ่งอุดม

 

Show Creator ภูมิชาย บุญสินสุข

Episode Producers ภูมิชาย บุญสินสุข

อธิษฐาน กาญจนพงศ์

ปวริศา ตั้งตุลานนท์

Episode Editor ภูมิชาย บุญสินสุข

Sound Designer & Engineer ศุภณัฐ เดชะอำไพ

Coordinator & Admin อภิสิทธิ์ หรรษาภิรมย์โชค

Art Director กริณ ลีราภิรมย์

Graphic Designer เทียนจรัส วงศ์พิเศษกุล
Photo อธิษฐาน กาญจนะพงศ์

Proofreader ภาสิณี เพิ่มพันธุ์พงศ์

Music Westonemusic.com

FYI

 

  • โค้ชฟ้าใสยังมีอีก 2 เพจ 2 กิจการ #ฝากร้านด้วยนะครับ

           – Paint and Play จะสอนคุณเพนต์ฟิกเกอร์โมเดล

           – Nerddo เหมาะกับคนที่รักบอร์ดเกมและการเรียนภาษาอังกฤษ

  • LOADING...

READ MORE

MOST POPULAR



Close Advertising
X