วันนี้ (23 กรกฎาคม) ที่มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี จัดกิจกรรม ‘หมุดหมายประชาธิปไตย ร่วมแฟลชม็อบไล่เผด็จการไปด้วยกัน’ ซึ่งเป็นกิจกรรมในรูปแบบแฟลชม็อบ เริ่มต้นนัดหมายในเวลาประมาณ 16.00 น. โดยกลุ่มผู้จัดที่มาจากองค์กรกิจกรรม ม.อ.ปัตตานี มาจากการรวมตัวของหลากหลายสาขาวิชา ซึ่งมีข้อเรียกร้องหลักคือ ขอให้รัฐบาลหยุดคุกคามประชาชน ยุบสภา และร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่
โดยเริ่มต้นกิจกรรมในช่วงเวลา 16.30 น. ซึ่งมีนักเรียน นักศึกษา บุคลากร และประชาชนที่สนใจ ทยอยเดินทางเข้ามาร่วมกิจกรรม มีการจัดระเบียบพื้นที่การจัดกิจกรรมโดยเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยของทางมหาวิทยาลัย และเจ้าหน้าที่ตำรวจในพื้นที่ มีการจัดมาตรการทางสาธารณสุข ทั้งสวมหน้ากากอนามัยและล้างมือด้วยเจลแอลกอฮอล์ จากนั้นก็เป็นการสลับกันปราศรัยและเล่นดนตรี
ฟาห์เรนน์ นิยมเดชา หนึ่งในตัวแทนของนักศึกษาที่ขึ้นปราศัยบนเก้าอี้ม้านั่ง 2 ตัวที่ตั้งประกบเป็นเวที โดยกล่าวตอนหนึ่งว่า วันนี้ต้องขอคารวะทุกคน พร้อมกับโค้งคำนับ และกล่าวต่อว่า วันนี้ทุกคนเสียสละหลายสิ่งหลายอย่าง จึงได้เสนอข้อเรียกร้องต่อรัฐบาลว่า ขอให้ยกเลิก พ.ร.ก. ฉุกเฉินฯ ที่ใช้กดขี่ผู้เห็นต่าง เนื่องจากไม่อาจยอมรับการกระทำที่ไร้ความรับผิดชอบเช่นนี้ ตลอดระยะเวลาการบริหารประเทศของ พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ฟาห์เรนน์กล่าวว่า ประเทศอยู่ในสภาวะที่ไร้การพัฒนา การกระทำของรัฐบาลพยายามฉุดรั้งประเทศไปสู่ความล้าหลังอย่างยอมรับไม่ได้ มีต้นตอมาจากรัฐธรรมนูญ 2560 ที่ไร้ความโปร่งใส ไม่ว่าจะเป็นที่มา กายภาพ และกฎหมาย มีการใช้วิธีการต่างๆ มากมายเพื่อปิดกั้นผู้เห็นต่าง จึงนับได้ว่ารัฐธรรมนูญฉบับนี้เป็นรัฐธรรมนูญของ ‘โจรลายพราง’
ฟาห์เรนน์ยังให้สัมภาษณ์กับ THE STANDARD กรณีที่เมื่อช่วงค่ำวานนี้ (22 กรกฎาคม) มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ ออกประกาศเรื่องการควบคุมการใช้พื้นที่ภายในมหาวิทยาลัยเพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ซึ่งได้มีการจัดกิจกรรมที่มีการชุมนุมหรือรวมตัวกันเป็นจำนวนมาก โดยฟาห์เรนน์ตั้งข้อสังเกตว่า นี่คือการออกประกาศโดยมิชอบ เป็นการออกประกาศที่มีเจตนาแฝงใช่หรือไม่ เพราะก่อนหน้านี้ก็มีการจัดกิจกรรมในลักษณะของการรวมตัว ซึ่งทางมหาวิทยาลัยก็เป็นคนจัดเอง แต่พอครั้งนี้จะมีการจัดแฟลชม็อบ ปรากฏว่ามีคำประกาศห้าม จึงขอเรียกร้องให้ ผศ.ดร.นิวัติ แก้วประดับ อธิการบดีของมหาวิทยาลัย ออกมาให้คำตอบเกี่ยวกับเรื่องนี้ด้วย
ทั้งนี้กิจกรรมใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมง ก่อนที่ช่วงสุดท้ายของกิจกรรมได้มีการร้องเพลงชาติร่วมกัน และเปิดแฟลชมือถือเพื่อส่องสว่างให้ประชาธิปไตย และชูสามนิ้ว ก่อนที่จะมีการถ่ายรูปร่วมกัน จัดเก็บสิ่งของ เก็บขยะ และแยกย้าย
ภาพ: อนิสรา เกษา
พิสูจน์อักษร: พรนภัส ชำนาญค้า