×
SCB Omnibus Fund 2024

ยุบสภา มาแน่! ปัจจัยบวกระยะสั้น ดันหุ้นไทยทะลุ 1,800 จุด จับตาหลายปัจจัยเสี่ยงกระทบครึ่งปีหลัง ฟาก ‘เอเซีย พลัส’ จ่อหั่น EPS ปีนี้

07.02.2023
  • LOADING...
ยุบสภา

จับตา ยุบสภา เดินหน้าเลือกตั้งภายในเดือนพฤษภาคมนี้ ลุ้นระยะสั้นหนุนหุ้นไทยไปไกลถึง 1,800 จุด เปิดสถิติย้อนหลัง 3 เดือนก่อนเลือกตั้ง หุ้นวิ่งรอ 5% แต่ให้จับตาช่วงครึ่งปีหลัง มีหลายปัจจัยเสี่ยงรออยู่ ส่อเค้าทำหั่นเป้า SET Index – EPS ปีนี้ลง

 

อภิชาติ ผู้บรรเจิดกุล ผู้อำนวยการอาวุโส สายงานวิเคราะห์เชิงกลยุทธ์ บล.ทิสโก้ กล่าวว่า ฝ่ายวิจัยคาดว่า พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี มีโอกาสจะตัดใจยุบสภาก่อนที่รัฐบาลจะครบวาระในวันที่ 23 มีนาคมนี้ หลังจากที่ล่าสุดก่อนหน้านี้ได้มีการโปรดเกล้าฯ กฎหมายที่เกี่ยวข้องทั้ง 2 ฉบับ คือ พ.ร.ป.การเลือกตั้ง ส.ส. พ.ศ. 2566 และ พ.ร.ป.พรรคการเมือง (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2566 ออกมาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ซึ่งถือเป็นเงื่อนไขสำคัญที่พร้อมปูทางนำไปสู่การเลือกตั้งได้ทันที


ข่าวที่เกี่ยวข้อง:


ทั้งนี้ เมื่อย้อนกลับไปศึกษาข้อมูลย้อนหลังตั้งแต่เริ่มก่อตั้งตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ในทุกครั้งก่อนมีการเลือกตั้งประมาณ 3 เดือน ตลาดหุ้นไทยจะให้ผลตอบแทนที่เป็นบวกเฉลี่ยประมาณ 5.6% โดยในรอบนี้คาดว่าการเลือกตั้งของไทยจะเกิดขึ้นภายในเดือนพฤษภาคมปีนี้อย่างแน่นอน ขึ้นกับช่วงเวลาในการประกาศยุบสภาของนายกรัฐมนตรี 

 

“ตอนนี้เหลือเวลาอีก 3 เดือนก่อนที่จะมีการเลือกตั้งในช่วงเดือนพฤษภาคมปีนี้ ซึ่งจากสถิติตลาดหุ้นไทยมักจะตอบสนองก่อนในทางบวก โดยเปรียบเทียบกับสถิติในอดีต จากระดับดัชนีตอนนี้คาดว่าตลาดหุ้นไทยจะมี Upside ประมาณ 100 จุด หรือมีโอกาสขึ้นไปที่ระดับ 1,780-1,790 จุด มองว่าการเลือกตั้งจะเป็นปัจจัยบวกหล่อเลี้ยงบรรยากาศการลงทุนในช่วง 2-3 เดือนข้างหน้านี้”

 

นอกจากนี้ ประเมินว่าผลตอบแทนจากการลงทุนในหุ้นไทยเดือนกุมภาพันธ์นี้ ต่อเนื่องตลอดไตรมาส 1/66 จะให้ผลตอบแทนที่เป็นบวก เพราะจะมีปัจจัยสนับสนุนจากแรงซื้อเพื่อรับเงินปันผล รวมถึงเป็นจังหวะเดียวที่ตลาดหุ้นไทยได้อานิสงส์หนุนจากการเลือกตั้งด้วย

 

อย่างไรก็ดี ยังมองว่า SET Index จะมีโอกาสปรับขึ้นไปทะลุระดับ 1,800 จุดได้ค่อนข้างยาก เนื่องจากยังมีความเสี่ยงของเศรษฐกิจโลกที่จะชะลอตัวส่งผลกระทบต่อการขยายตัวของ GDP ของไทย และประมาณการกำไรของบริษัทจดทะเบียน (บจ.) ในปีนี้ให้มีแนวโน้มความเสี่ยงที่จะปรับลดลงกดดันต่อตลาดหุ้นไทย ทำให้มี Upside ที่จำกัด

 

ดังนั้น ประเมินว่าในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ ตลาดหุ้นไทยมีความเสี่ยงถูกกดดันจากความกังวลที่เศรษฐกิจโลกจะชะลอตัวจะกระทบต่อภาคการส่งออกและกำไร บจ. ของไทยในปีนี้ โดย บล.ทิสโก้ ให้เป้าหมายดัชนีหุ้นไทยในปีนี้ไว้ที่ 1,590 จุด เพื่อให้สอดคล้องกับมุมมองของ บล.ทิสโก้ ว่าในช่วงครึ่งหลังของปีนี้มีความเสี่ยงที่เศรษฐกิจโลกจะเข้าสู่ภาวะถดถอย (Recession) มีผลกระทบต่อภาพการลงทุน

 

ส่วนประมาณการกำไรของตลาดมีโอกาสปรับลงเช่นกัน หลังจากที่งบกลุ่มแบงก์โดยรวมต่ำกว่าคาดมาก และการประกาศผลประกอบการของหุ้นใน Real Sector ตั้งแต่ช่วงปลายเดือนมกราคมที่ผ่านมามีสัญญาณที่ไม่ค่อยดีนัก ส่วนใหญ่มีกำไรต่ำกว่าคาดอย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งตั้งแต่ต้นปีนี้ถึงปัจจุบัน เริ่มเห็นสัญญาณตลาดปรับประมาณการกำไรของตลาดหุ้นไทย (SET EPS) ปี 2566-2567 ลงมาแล้ว โดยปี 2566 ลดลง 1.9% มาอยู่ที่ 99.6 บาทต่อหุ้น และปี 2567 ลดลง 0.4% มาอยู่ที่ 116.2 บาทต่อหุ้น ซึ่งประมาณการกำไรของตลาดที่มีแนวโน้มถูกปรับลงนี้ จะเป็นตัวจำกัดโอกาสปรับขึ้น (Upside) ของตลาดหุ้นในระยะถัดไป   

 

อีกทั้งล่าสุดฝ่ายวิจัย บล.ทิสโก้ ได้มีการทบทวนปรับลดตัวเลขการเติบโตของ GDP ของไทยปีนี้ลดลง เหลือเติบโต 3.3% จากเดิมทำไว้ในช่วงเดือนสิงหาคม 2565 ที่คาดว่าจะเติบโต 4.1% ส่วนการส่งออกของไทยในปี 2566 ได้ปรับลดประมาณการเป็นเติบโตติดลบ 3.5% จากเดิมทำไว้ในช่วงเดือนสิงหาคม 2565 จะเติบโต 2.4%

 

อย่างไรก็ตาม ด้วย Upside ตลาดที่เริ่มจำกัด การเลือกหุ้นต่อจากนี้จะต้องรอบคอบมากขึ้น บล.ทิสโก้ แนะนำให้มองหุ้นที่คาดงบจะออกมาดี หุ้นปันผลเด่น และหุ้นที่คาดมีปัจจัยบวกเฉพาะ ยังเป็นหุ้นที่น่าเก็งกำไรหลักในเดือนกุมภาพันธ์ แนะนำ AP, BBL, CKP, GLOBAL, MAJOR, MAKRO, PRM และ TIPH 

 

เอเซีย พลัส จ่อหั่นเป้า SET Index – EPS ปีนี้ลง

เทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม รองกรรมการผู้อำนวยการ สายงานวิจัย บล.เอเซีย พลัส กล่าวว่า คาดว่ารัฐบาลน่าจะยุบสภาก่อนครบวาระอย่างแน่นอน แต่มองว่าปัจจัยการเลือกตั้งในขณะนี้ยังไม่ได้มีผลบวกที่มีนัยสำคัญต่อตลาดหุ้นไทย ด้วยเหตุผล 2 ข้อ คือ 

  1. ประเด็นการเลือกตั้งเป็นปัจจัยที่นักลงทุนรับรู้อยู่แล้ว 
  2. ปัจจุบันยังสามารถคาดเดาผลการเลือกตั้งได้ค่อนข้างยากว่าฝ่ายใดจะเป็นผู้ชนะ ได้เป็นผู้นำในการจัดตั้งรัฐบาล

 

อย่างไรก็ดี ยังต้องติดตามในช่วงเข้าใกล้ก่อนวันเลือกตั้งอีกครั้ง ซึ่งน่าจะพอคาดเดาถึงพรรคที่จะเข้ามาเป็นผู้นำในการจัดตั้งรัฐบาลได้ชัดเจนขึ้น ซึ่งจะสามารถประเมินการดำเนินนโยบายในด้านต่างๆ ต่อไปได้

 

ทั้งนี้ ฝ่ายวิจัย บล.เอเซีย พลัส ประเมินเป้าหมาย SET Index ปีนี้ไว้ที่ 1,740 จุด โดยประเมินว่ามีโอกาสจะเกิดขึ้นในช่วงครึ่งแรกของปีนี้ เนื่องจากมองไปข้างหน้าในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ยังมีปัจจัยเสี่ยงที่รออยู่ในหลายเรื่องที่ต้องติดตาม ทั้งประเด็น Recession, ความเสี่ยงด้านภูมิรัฐศาสตร์ (Geopolitics) ที่มีความขัดแย้งของหลายประเทศที่มีดีกรีความรุนแรงขึ้น ทั้งรัสเซียกับยูเครน สหรัฐฯ กับไต้หวันและจีน รวมถึงความขัดแย้งระหว่างเกาหลีเหนือกับเกาหลีใต้

 

นอกจากนี้ยังมีความเสี่ยงที่จะเห็นการปรับลดเป้าหมายของ SET Index ปีนี้ รวมถึงปรับลด EPS ที่เคยประเมินไว้ลงจากเดิมที่ 99.6 บาทต่อหุ้น หลังจากบริษัทจดทะเบียน (บจ.) ขนาดใหญ่หลายแห่งเริ่มทยอยประกาศกำไรไตรมาส 4/65 ออกมา กลุ่มธนาคารพาณิชย์, บริษัทในเครือ ปตท., บมจ.ปูนซิเมนต์ไทย หรือ SCC ออกมาต่ำกว่าคาดค่อนข้างมาก ดังนั้นมีความเสี่ยงสูง หลังจากงบปี 2565 ออกมาครบแล้ว ในช่วงปลายเดือนกุมภาพันธ์หรือต้นเดือนมีนาคมนี้ ฝ่ายวิจัยฯ จะทบทวนปรับลดเป้าหมาย SET Index กับ EPS ที่ทำไว้ลงจากประมาณการเดิม 

 

‘อเบอร์ดีน’ มองสวนทาง ลุ้นปรับ EPS ขึ้นรับเลือกตั้ง-ทัวร์จีนเข้าไทย

ด้าน ดรุณรัตน์ ภิยโยดิลกชัย หัวหน้าฝ่ายการลงทุนตราสารทุน บลจ.อเบอร์ดีน กล่าวว่า คาดว่ารัฐบาลน่าจะประกาศยุบสภาในช่วงกลางเดือนมีนาคมปีนี้ตามที่ตลาดหุ้นคาดไว้ โดยมองว่าหากมีการยุบสภาเกิดขึ้นจริงจะเป็นประเด็นบวกต่อตลาดหุ้นไทย เพราะจะส่งผลให้ภาพปัจจัยทางการเมืองของไทยมีความชัดเจนมากขึ้นในสายตาของนักลงทุน

 

สำหรับปัจจัยการเมืองดังกล่าวจะมีผลเชิงบวกต่อเนื่อง เพราะจะมีเม็ดเงินการใช้จ่ายในกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับการเลือกตั้งเข้ามาสู่ระบบอย่างมีนัยสำคัญในช่วงก่อนการเลือกตั้ง ทั้งนี้ ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เห็นชอบกรอบวงเงินสำหรับการจัดเลือกตั้งทั่วไปปี 2566 ตามที่คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) เสนอในวงเงิน 5,945 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากการเลือกครั้งก่อนหน้านี้ในปี 2562 ที่ กกต. ใช้งบประมาณไปประมาณ 4,200 ล้านบาท

 

ทั้งนี้ ประเมินว่าประเด็นดังกล่าวจะเป็นปัจจัยบวกหนุนให้หุ้นไทยมีโอกาสที่จะแกว่งตัวปรับขึ้น (Sideway Up) ในช่วง 3 เดือนก่อนที่จะมีการเลือกตั้งในเดือนพฤษภาคมปีนี้ โดยเมื่อดูสถิติย้อนหลังพบว่าในช่วง 3 เดือนก่อนการเลือกตั้ง ตลาดหุ้นไทยจะปรับตัวขึ้นเฉลี่ยประมาณ 5%

 

อย่างไรก็ดี ที่ผ่านมาตลาดหุ้นยังมีการเคลื่อนไหวในกรอบจำกัด เพราะมีปัจจัยกดดันจากความกังวลจากต่างประเทศ โดยเฉพาะข้อมูลจากฝั่งของสหรัฐฯ ที่ยังไม่เห็นการกดลงของตัวเลขเงินเฟ้อสหรัฐฯ ส่งผลให้มีความกังวลว่าในช่วงที่เหลือของปีนี้ ธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) อาจจะปรับขึ้นดอกเบี้ยเพิ่มเป็นอีก 2 ครั้ง จากเดิมที่คาดจะขึ้นอีก 1 ครั้ง

 

อีกทั้งมองว่าตลาดหุ้นไทยยังมีปัจจัยบวกเพิ่มเติมจากกรณีที่รัฐบาลจีนจะอนุญาตให้บริษัททัวร์และบริษัทท่องเที่ยวในระบบออนไลน์ สามารถจัดส่งนักท่องเที่ยวจีนเดินทางออกนอกประเทศได้ตั้งแต่วันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2566 ซึ่งมีโอกาสที่ภาคการท่องเที่ยวและธุรกิจที่เกี่ยวข้องจะได้รับอานิสงส์ตามไปด้วย ประกอบกับมองว่าขณะนี้เศรษฐกิจโลกเริ่มมีความเสี่ยง Recession ที่ลดลง หลังจากเริ่มเห็นกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ได้ปรับประมาณการ GDP โลกขึ้น 

 

รวมทั้งนักเศรษฐศาสตร์ของอเบอร์ดีนได้ปรับเพิ่ม GDP โลกปีนี้ จากเดิมคาดว่าจะขยายตัวในระดับประมาณ 2% เพิ่มเป็นประมาณ 5% ส่งผลให้ความกังวลว่าภาคการส่งออกของไทยจะถูกกระทบจาก Recession เริ่มมีความเสี่ยงลดลง ดังนั้นประเมินว่ามีโอกาสที่นักวิเคราะห์จะปรับเพิ่ม EPS ของตลาดหุ้นในปีนี้จากเดิมที่ทำไว้ประมาณ 100 บาทต่อหุ้น จากปัจจัยบวกของจำนวนนักท่องเที่ยวจีนที่มีโอกาสเข้ามามากกว่าคาด รวมถึงการส่งออกที่ยังมีโอกาสขยายตัว โดย บลจ.อเบอร์ดีน ยังคงเป้าหมาย SET Index ในปีนี้ไว้ที่ 1,669-1,811 จุด 

 

“การเลือกตั้งของไทยที่เป็นปัจจัยบวกต่อตลาดหุ้นไทย ซึ่งอเบอร์ดีนนับรวมเข้าไปในเป้าหมายดัชนีหุ้นไทยปีนี้แล้ว ที่ทำไว้ 1,669-1,811 จุด คิดว่าถ้าไม่มีปัจจัยบวกใหม่อะไรเข้าแรงๆ เชื่อว่าดัชนีไม่ไปเกินกรอบเป้าหมายนี้ที่ให้ไว้”

 

สำหรับคำแนะนำการลงทุนในตลาดหุ้นไทย แนะนำให้ลงทุนในหุ้นที่ได้ประโยชน์จากธีมการเปิดเมือง ซึ่งมีโอกาสสูงที่จะได้เพิ่ม EPS รวมถึงเลือกหุ้นธนาคารพาณิชย์รายตัวที่กำไรยังมีโอกาสเติบโตขึ้นจากอานิสงส์ของดอกเบี้ยที่เป็นขาขึ้น รวมถึงหุ้นที่จะได้ประโยชน์จากการบริโภคภายในประเทศที่ดีขึ้นจากอานิสงส์ของการเลือกตั้ง โดยเฉพาะในเขตต่างจังหวัด เช่น หุ้น GLOBAL

  • LOADING...

READ MORE





Latest Stories

Close Advertising