×

สรุปไฮไลต์ NVIDIA ในงาน CES 2025 จากการเปิดตัวโมเดล Cosmos และ AI ซูเปอร์คอมพิวเตอร์ส่วนตัวราคา 3,000 ดอลลาร์สหรัฐ

07.01.2025
  • LOADING...
NVIDIA

เจนเซน หวง ซีอีโอของ NVIDIA บริษัทผู้นำด้านการออกแบบชิปเซมิคอนดักเตอร์ ขึ้นเวทีงาน CES 2025 งานโชว์เคสนวัตกรรมและเทคโนโลยีระดับโลก พร้อมประกาศเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ของ NVIDIA ทั้งชิปตัวใหม่รวมถึงซอฟต์แวร์ต่างๆ เพื่อที่จะรักษาตำแหน่งผู้นำในแวดวงธุรกิจ AI ที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว

 

ในการขึ้นเวทีครั้งนี้ที่เมืองลาสเวกัส สหรัฐอเมริกา เจนเซนฉายภาพให้เห็นโลกอนาคตที่ AI จะถูกผนวกเข้ามาเป็นส่วนสำคัญของระบบเศรษฐกิจ โดยเขาต้องการเห็นผลิตภัณฑ์ของ NVIDIA เข้าไปอยู่ใจกลางของโลกอนาคตที่ถูกขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยีผ่านการมาของหุ่นยนต์ฮิวแมนนอยด์นับพันล้านตัว โรงงานอัจฉริยะ 10 ล้านแห่ง และยานพาหนะอัตโนมัติอีกกว่า 1.5 พันล้านคัน

 

เปิดตัวการ์ดจอใหม่เอาใจสายเกม พร้อมดันธุรกิจ Data Center โตต่อ

 

ไฮไลต์แรกที่เจนเซนเลือกจะหยิบมาพูดก่อนก็คือ นวัตกรรมที่ตอบโจทย์ลูกค้ากลุ่มแรกของ NVIDIA นั่นคือกลุ่มลูกค้าผู้เล่นเกม โดย NVIDIA เปิดตัว GeForce GPUs หรือการ์ดจอสำหรับประมวลผลกราฟิกตัวใหม่ ซึ่งมีการพัฒนาให้สามารถแสดงภาพของเกมได้อย่างสมจริงมากขึ้นจากสถาปัตยกรรมการออกแบบที่มีชื่อว่า ‘Blackwell’ โดยขณะที่ชิปกราฟิกแบบเดิมสร้างภาพด้วยการคำนวณเฉดสีของแต่ละพิกเซลในภาพ แต่เทคโนโลยีใหม่นี้จะใช้ AI เพื่อคาดการณ์ว่าเฟรมถัดไปควรมีลักษณะอย่างไร

 

“GeForce ทำให้ AI เข้าถึงคนหมู่มากได้ และตอนนี้ AI กำลังกลับมาสู่ GeForce” เจนเซนกล่าว

 

RTX 5090 ที่เป็นรุ่นเรือธง จะวางจำหน่ายเดือนนี้ในราคา 1,999 ดอลลาร์สหรัฐ ตามด้วย RTX 5070 ที่ราคา 549 ดอลลาร์จสหรัฐ จะเปิดตัวตามมาทีหลังในเดือนกุมภาพันธ์ 

 

แม้ว่าธุรกิจเกมจะเป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมที่สร้างรายได้หลักให้กับ NVIDIA แต่การเข้ามาของ AI ก็เปลี่ยนภาพออกไปอย่างสิ้นเชิง

 

Bloomberg รวบรวมข้อมูลที่เผยว่า หากย้อนกลับไปในปี 2022 อุตสาหกรรมเกมคือแหล่งทำเงินของ NVIDIA แต่วันนี้ธุรกิจ Data Center แซงหน้าธุรกิจเกมไปมากแล้ว

 

มีการคาดการณ์จาก Bloomberg ว่า ในปี 2025 ชิปสำหรับใช้งานใน Data Center จะสร้างรายได้ให้กับบริษัทมากถึง 1.14 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ ในขณะที่ชิปสำหรับเกมน่าจะสร้างรายได้ราว 1.18 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือน้อยกว่าประมาณ 10 เท่าของ Data Center ซึ่งสาเหตุของการเติบโตอย่างรวดเร็วก็มาจากความต้องการที่เพิ่มสูงขึ้นจากเหล่าบริษัทบิ๊กเทค

 

อนาคตของ NVIDIA กับการรักษาผู้นำด้าน AI

 

สำหรับก้าวต่อไปของ NVIDIA นั่นคือการนำฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์ไปใช้กับภาคธุรกิจและหน่วยงานรัฐให้มากขึ้นเพื่อช่วยกระจายรายได้ ซึ่งบริษัทประเมินว่าการนำ AI เข้ามาใช้งานกับโลกความเป็นจริงมากขึ้นจะช่วยทรานส์ฟอร์มหลายอุตสาหกรรมที่มีมูลค่ารวมกว่า 50 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ

 

หนึ่งในตัวอย่างที่ถูกประกาศคือ การร่วมมือกับ Toyota ที่กลายเป็นลูกค้าของบริการ AI สำหรับช่วยในการขับขี่อัตโนมัติของ NVIDIA แล้ว เพื่อจะนำไปใช้กับโมเดลรถบางรุ่นของตน ซึ่งการประกาศทำให้ราคาหุ้น Toyota ปรับตัวเพิ่มขึ้นเล็กน้อย

 

อีกทั้ง NVIDIA ก็ร่วมมือกับ Uber เพื่อพัฒนาเทคโนโลยีการขับขี่อัตโนมัติ ซึ่งทริปการเดินทางนับล้านครั้งที่ Uber ให้บริการในแต่ละวันจะเป็นแหล่งข้อมูลชั้นดีสำหรับการฝึกฝนโมเดล AI

 

อย่างไรก็ตาม หุ่นยนต์หรือยานพาหนะที่ขับเคลื่อนได้ด้วยตนเอง ก็จำเป็นต้องอาศัยซอฟต์แวร์ที่จะทำให้การใช้งานเป็นไปได้อย่างปลอดภัย ซึ่งเจนเซนประกาศว่า NVIDIA ได้พัฒนาโมเดล AI ของตนเองชื่อว่า Cosmos ซึ่งเป็นโมเดลพื้นฐาน (Foundation Models) ที่จะช่วยให้เหล่าหุ่นยนต์ฉลาดขึ้นและการใช้งานรถยนต์อัตโนมัติสมบูรณ์มากขึ้น

 

จุดต่างของ Cosmos จากโมเดลภาษาอื่นๆ คือการถูกออกแบบให้สามารถสร้างรูปและโมเดล 3 มิติเพื่อจำลองโลกความเป็นจริง ซึ่งโมเดลดังกล่าวถูกฝึกโดยข้อมูลภาพเคลื่อนไหวของมนุษย์ ทั้งการเดิน การหยิบจับสิ่งของ และการทำกิจกรรมต่างๆ จำนวน 20 ล้านชั่วโมง

 

Cosmos สามารถสร้างวิดีโอได้จากการพิมพ์คำสั่งด้วยข้อความ ซึ่งจะกลายเป็นพื้นฐานการฝึกโมเดล AI ในโลกเสมือน ช่วยลดการพึ่งพาการทดลองในโลกจริงที่มีค่าใช้จ่ายสูงและใช้เวลานาน โดยวิดีโอที่สร้างขึ้นสามารถค้นหา ปรับแต่ง และทดสอบซ้ำได้หลายครั้ง

 

มันไม่ได้มีไว้สำหรับสร้างคอนเทนต์เชิงสร้างสรรค์ แต่มีไว้เพื่อเข้าใจโลกแห่งความเป็นจริง” เจนเซนกล่าวถึง Cosmos

 

นอกจากนี้อีกหนึ่งนวัตกรรมของ NVIDIA คือ Project DIGITS โดยเจนเซนเรียกมันว่า AI ซูเปอร์คอมพิวเตอร์ส่วนตัว (Personal AI Supercomputer) ที่ถูกออกแบบมาให้ตอบโจทย์การใช้งาน AI ที่ซับซ้อนและให้มีขนาดเล็กพอจะตั้งบนโต๊ะทำงานได้ ซึ่งการประมวลผลของ Project DIGITS จะสามารถทำงานได้บนตัวอุปกรณ์เองทั้งหมด และให้ความยืดหยุ่นในการเชื่อมต่อกับระบบคลาวด์ได้เมื่อผู้ใช้งานต้องการ

 

Project DIGITS จะออกมาให้ใช้งานภายในเดือนพฤษภาคมปีนี้ สนนราคาที่ 3,000 ดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 103,000 บาท

 

ภาพ: Chip Somodevilla / Staff / Getty Images 

อ้างอิง:

  • LOADING...

READ MORE





Latest Stories

Close Advertising
X