‘MINT-SHR’ กอดคอดิ่งกว่า 8% กังวลต้นทุนค่าไฟฟ้าพุ่งกดดันธุรกิจโรงแรมในยุโรปช่วงปีหน้า

ความเคลื่อนไหวราคาหุ้น บมจ.ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล (MINT) และ บมจ.เอส โฮเทล แอนด์ รีสอร์ท (SHR) ปรับตัวลดลงลึกสุดในวันนี้กว่า 8% โดยราคาหุ้นของ MINT ลดลงไปต่ำสุดที่ 27.25 บาท ขณะที่ราคาหุ้น SHR ลดลงไปต่ำสุดที่ 3.40 บาท ถือเป็นการทำจุดต่ำสุดในรอบประมาณ 6 เดือนของทั้งสองบริษัท 

ปัจจัยกดดันสำคัญที่ทำให้ราคาหุ้นของ MINT และ SHR ดิ่งลงแรงวันนี้ เป็นผลจากการที่ Credit Suisse ปรับลดประมาณการราคาเป้าหมายของทั้ง 2 บริษัท โดยประเมินราคาเป้าหมายใหม่ของ MINT ที่ 25.5 บาท จากเดิมที่ 39 บาท และ SHR ที่ 4.2 บาท จากเดิมที่ 5.45 บาท 

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

• 8 หุ้นเนื้อทอง เซียนหุ้น รุมตอม ร่วมลงทุนติดอันดับผู้ถือหุ้นใหญ่
• หุ้น ‘ท่องเที่ยว-โรงแรม’ คึกสวนตลาด รับกระแสรัฐผ่อนคลายมาตรการด้านท่องเที่ยว เตรียมหนุนธุรกิจ MICE
• ยังไม่จบ! เจ้าของใหม่ ‘โรงแรมดาราเทวี เชียงใหม่’ ประกาศขายอีกครั้ง คาดมูลค่าไม่ต่ำกว่า 2.5 พันล้าน

ศุภชัย วัฒนวิเทศกุล ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.หยวนต้า (ประเทศไทย) เปิดเผยว่า การที่วาณิชธนกิจต่างชาติที่มีความน่าเชื่อถือต่อกองทุนไทยออกมาปรับลดประมาณการ MINT และ SHR ทำให้กองทุนปรับพอร์ตขายหุ้นออกมา ขณะที่สาเหตุหลักของการปรับลดประมาณครั้งนี้ แบ่งเป็น 2 ส่วนหลัก ได้แก่

1. ค่าไฟฟ้าในยุโรปที่ปรับขึ้นต่อเนื่อง 
2. เศรษฐกิจยุโรปที่อ่อนแอ ทำให้บริษัทอาจไม่สามารถผลักภาระต้นทุนได้เต็มที่ 

“แม้ว่า MINT และ SHR จะล็อกต้นทุนกำไรของปีนี้ไว้แล้ว แต่ปีหน้าอาจจะถูกกระทบ อย่างไรก็ตาม ทั้งเรื่องค่าไฟและความเสี่ยง Recession ไม่ใช่เรื่องใหม่” 

ในแง่ของค่าไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้น หากยังคงสูงต่อเนื่อง เชื่อว่าท้ายที่สุดรัฐบาลจะมีนโยบายช่วยเหลือออกมา เพราะผลกระทบที่เกิดขึ้นไม่ใช่เพียงแค่ธุรกิจโรงแรม แต่กระทบประชาชนทุกคน 

“ทริกเกอร์สำคัญคือมาตรการช่วยเหลืออย่างเป็นชิ้นเป็นอันจากรัฐบาล จริงๆ แล้วทั้งสองบริษัทมีศักยภาพที่พร้อมจะฟื้นตัว ติดแค่เรื่องของต้นทุนที่บวมขึ้นมานี้” 

ในเชิงกลยุทธ์ หุ้นอยู่ในโซนถูกแล้ว เมื่อเทียบกับหุ้นอื่นๆ ในกลุ่มโรงแรม แต่ในระยะสั้นอาจต้องรอให้ผ่านช่วงของการปรับพอร์ตไปก่อน และแนวโน้มกำไรปีหน้าก็ยังจะฟื้นต่อได้ เพราะจะไม่มีผลกระทบจากโควิด ซึ่งถือเป็นปัจจัยที่กดดันหนักกว่าต้นทุนค่าไฟฟ้าอย่างมาก 

ณัฐชาต เมฆมาสิน ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ทรีนีตี้ เปิดเผยว่า ประเด็นเรื่องค่าไฟฟ้าและต้นทุนเชื้อเพลิงที่เพิ่มขึ้น โดยภาพรวมยังไม่ถูกให้น้ำหนักมากนัก ทำให้อาจจะเห็นการปรับประมาณการลงของนักวิเคราะห์ในไทยตามมาได้ 

แม้ว่าอาจจะไม่ได้กระทบต่อต้นทุนปีนี้มากนัก แต่ปีหน้าจะถูกกระทบโดยตรง ซึ่งราคาหุ้นก็เริ่มสะท้อนความคาดหวังปีหน้าไปแล้ว 

อย่างไรก็ตาม หากดูจากราคาเป้าหมายใหม่ของ Credit Suisse เชื่อว่าความเสี่ยงที่ราคาหุ้นจะปรับลงต่ออาจไม่มากแล้ว โดยเฉพาะ SHR ที่ราคาซื้อขายต่ำกว่าราคาเป้าหมาย 

“เราอาจต้องแบ่งเป็น 2 มุม คือ 1. หากราคาจะลงต่อ อาจกดดันจากการที่นักวิเคราะห์รายอื่นปรับลดประมาณการกันมากขึ้น แต่อาจไม่เห็นการดิ่งแรงแบบวันนี้ 2. นักวิเคราะห์จะเริ่มให้น้ำหนักกับประเด็นนี้มากขึ้น ซึ่งใครที่ยังไม่มีหุ้นอยู่ก็ไม่จำเป็นจะต้องรีบเข้าไปเสี่ยง แต่ใครที่ถืออยู่ก่อนแล้ว จุดนี้อาจจะไม่ใช่จุดขาย” 

ในมุมของ ภาสกร หวังวิวัฒน์เจริญ ผู้ช่วยผู้จัดการ ฝ่ายวิจัย บล.เอเซียพลัส มองว่า ผลกระทบต่อแนวโน้มผลประกอบการปี 2565 คงจะไม่มากนัก แต่สิ่งที่ต้องตามคือผลประกอบการปี 2566 

โดยปกติแล้วต้นทุนค่าไฟฟ้าจะคิดเป็น 4-6% ของรายได้ธุรกิจโรงแรม อย่างกรณีของ MINT หากประเมินว่าต้นทุนค่าไฟฟ้าเพิ่มขึ้นราว 50% จากสมมติฐานเดิม จะกระทบต่อกำไรของบริษัทในปีนี้ประมาณ 1 พันล้านบาท จากกำไรที่คาดไว้ทั้งหมด 4.8 พันล้านบาท 

“ต้นทุนค่าไฟฟ้าของธุรกิจโรงแรมโดยทั่วไปน่าจะอยู่ที่ราว 4-6% การที่ต้นทุนเพิ่มขึ้นอาจทำให้การฟื้นตัวช้ากว่าที่คิดไว้ แต่ในแง่ของระดับราคาที่ลดลงมานี้ ถือว่าอยู่ในจุดที่ใกล้กับช่วงการเริ่มต้นระบาดของโอมิครอน และช่วงที่รัสเซียเริ่มบุกยูเครน โดยภาพรวมถ้าเรื่องของค่าไฟแพงเริ่มผ่อนคลาย ราคาหุ้นน่าจะดีดกลับ”