สิ่งแรกเลยหากเอ่ยถึงแบรนด์ Louis Vuitton หลายคนมักนึกถึงสินค้าเครื่องหนังอย่างกระเป๋า ลายโมโนแกรม หรือบรรดาเฮาส์แอมบาสเดอร์ระดับโลก แต่เหนือไปกว่านั้น Louis Vuitton ปัจจุบันเป็นมากกว่าแค่แบรนด์แฟชั่น ประสบการณ์แบบ Retailtainment การผสมผสานระหว่างร้านค้าเข้ากับความบันเทิง อิทธิพลของ Louis Vuitton แผ่ขยายระดับคัลเจอร์ โดยผสานแบรนดิ้งเข้ากับไลฟ์สไตล์ของผู้คนไม่ได้จำกัดแค่เสื้อผ้า กระเป๋า และรองเท้า
เพื่อเป็นการสร้างประสบการณ์ที่หลากหลายให้กับลูกค้า ‘ร้านอาหาร’ ถือเป็นอีกหนึ่งกลยุทธ์ของ Louis Vuitton ในการผสานตนเองเข้ากับไลฟ์สไตล์ของผู้คน เพื่อขยายขอบเขตการดื่มด่ำของแบรนด์ให้ครบรสในทุกมิติ ซึ่งโปรเจกต์ร้านอาหารของ Louis Vuitton เริ่มเป็นที่นิยมและถูกกล่าวถึงเป็นวงกว้าง เช่นเดียวกับที่ประเทศไทย LV The Place Bangkok สโตร์แห่งใหม่ล่าสุดจาก Louis Vuitton ที่ตั้งใจรวมทุกอย่างในที่เดียว ทั้งรีเทลสโตร์ นิทรรศการ คาเฟ่ และแน่นอนว่าร้านอาหาร
THE STANDARD POP จะพาทุกคนไปชมโปรเจกต์ร้านอาหารจาก Louis Vuitton ทั่วทุกมุมโลก ว่าอยู่ที่ไหนและมีไฮไลต์อะไรบ้าง
GAGGAN AT LOUIS VUITTON BANGKOK
ความโดดเด่นของ LV The Place Bangkok หนึ่งในนั้นคือร้านอาหารที่ใช้ชื่อว่า Gaggan at Louis Vuitton ซึ่งถือเป็นร้านอาหารแรกของแบรนด์ในแถบเอเชียใต้ โดยได้เชฟชื่อดังอย่าง Gaggan Anand มารังสรรค์อาหารสไตล์ Progressive Asian การผสมผสานระหว่างเทคนิคการทำอาหารชั้นยอดและรสชาติอาหารแบบเอเชียน สร้างประสบการณ์อันล้ำลึกด้านรสชาติและวิชวลให้กับผู้บริโภคทั้งยังแอบแทรก DNA ตัวตนของ Louis Vuitton ลงไปได้อย่างแยบยล ซึ่งล่าสุด Gaggan at Louis Vuitton ติดลิสต์อันดับที่ 31 ในการจัดอันดับ Asia’s Best Restaurant 2025 หลังจากเปิดตัวไปเพียงแค่ 1 ปีเท่านั้น ไม่ใช่แค่นั้น เชฟเดช คิ้วคชา หัวหน้าเชฟของหวานของร้าน Gaggan at Louis Vuitton ยังได้รับการยกย่องให้เป็นเชฟขนมหวานที่ดีที่สุดในเอเชียประจำปี 2025 จากลิสต์ Asia’s Best Pastry Chef Award 2025 รางวัลดังกล่าวถือเป็นการการันตีความตั้งใจและความอุตสาหะของ Louis Vuitton ในการสร้างประสบการณ์อันดีเลิศในทุกมิติ
แถมล่าสุดทางแบรนด์ลักชัวรียักษ์ใหญ่ก็ไม่รอช้า เตรียมมีโปรเจกต์สุดเอ็กซ์คลูซีฟช่วงวันที่ 8 ถึง 10 พฤษภาคมนี้ ที่ เชฟ Gaggan Anand และเชฟ Yosuke Suga จาก ร้านอาหาร Sugalabo V ที่โอซาก้า มาร่วมรังสรรค์เมนูด้วยกันเป็นครั้งแรก
DAV BY DA VITTORIO AT LOUIS VUITTON MILAN
ใจกลางเมืองมิลานแฟลกชิปสโตร์ขนาดใหญ่ของ Louis Vuitton Milano Montenapoleone ได้ผสานแฟชั่นและไลฟ์สไตล์เข้าด้วยกันได้อย่างลงตัว ภายในแฟลกชิปสโตร์นี้ตรงบริเวณหัวมุมจะปรากฏลานซึ่งเป็นที่ตั้งของ Da Vittorio Cafe Louis Vuitton สถานที่ที่สามารถมานั่งจิบชาและทานขนมควบคู่ไปพร้อมกันได้ แต่ถ้าต้องการอาหารที่หนักกว่าถัดออกมาจะเป็นที่ตั้งของร้านอาหารที่ชื่อว่า DaV by Da Vittorio Louis Vuitton ซึ่งดูแลโดยครอบครัว Cerea ผู้เป็นเจ้าของร้านอาหารอิตาเลียนระดับมิชลินสามดาวจากร้าน Da Vittorio โดยหัวใจหลักของ DaV by Da Vittorio Louis Vuitton คือการนำเสนออาหารอิตาเลียนแท้ๆ ในสไตล์ Casual Fine Dining หรืออาหารจานหรูที่สามารถแชร์กันได้ และแน่นอนว่าวัตถุดิบเกือบจะ 100% มาจากสินค้าโลคัลในประเทศอิตาลีเท่านั้นเพื่อชูความอิตาเลียนแท้ๆ ของอาหารโดยนำเอาซิกเนเจอร์ของ Louis Vuitton เข้ามาผสมผสานผ่านวิธีการนำเสนอ ไม่เพียงแค่นั้น การตกแต่งของร้านยังดูมีความเป็นอิตาเลียนสูงด้วยการใช้เฟอร์นิเจอร์หลากสีสันเข้ามามิกซ์แอนด์แมตช์ชูอัตลักษณ์ไลฟ์สไตล์ของชาวอิตาเลียนอย่างแท้จริง
LE CAFÉ AT LOUIS VUITTON NEW YORK CITY
อีกหนึ่งคาเฟ่จาก Louis Vuitton ที่เปิดไปเมื่อปลายปีที่แล้ว Le Cafe Louis Vuitton ซึ่งตั้งอยู่บนชั้นที่ 4 ของแฟลกชิปสโตร์ของ Louis Vuitton ที่ Fifth Avenue เมืองนิวยอร์ก ประเทศสหรัฐอเมริกา เชฟผู้อยู่เบื้องหลังการรังสรรค์เมนูอาหาร เครื่องดื่ม และของหวานทั้งหมดให้คำจำกัดความอาหารของที่นี่ว่า ‘Luxury Snacking’ หรือของทานเล่นสุดหรู โดยเชฟผู้ดูแลฝั่งอาหารคาวได้แก่เชฟระดับมิชลินอย่าง Christophe Bellanca ในขณะที่ฝั่งของหวานคือเชฟ Mary George อาหารของที่ Le Cafe Louis Vuitton แม้จะคัดสรรวัตถุดิบชั้นเลิศแต่นำเสนอด้วยอาหารแบบทานง่าย อาทิ เชดดาร์ชีสเบอร์เกอร์ เมนูนำเสนอตัวตนของนิวยอร์กเกอร์ได้เป็นอย่างดี สำหรับร้านนี้ทาง Louis Vuitton มีแผนจะเปิดเพียงแค่สองปีเท่านั้นก่อนจะปรับใหม่อีกครั้งเพื่อจุดประสงค์อื่นๆ ต่อไปในอนาคต ใครที่มีโอกาสเดินทางไปนิวยอร์กเราแนะนำให้ลองสั่งเบอร์เกอร์จาก Louis Vuitton สักครั้งในชีวิต
SUGALABO V AT LOUIS VUITTON OSAKA
แลนด์มาร์กสำคัญของเมืองโอซาก้า ประเทศญี่ปุ่น หลายคนจะต้องพูดถึงแฟลกชิปสโตร์ที่ใหญ่ที่สุดของ Louis Vuitton ในเมืองนี้อย่างตึก Louis Vuitton Maison Osaka Midosuji อาคารดีไซน์โมเดิร์นที่ได้แรงบันดาลใจการออกแบบจากเรือบรรทุกสินค้าดั้งเดิมของญี่ปุ่น ซึ่งภายในตึกนี้เป็นโลเคชันของร้านอาหารแห่งแรกของ Louis Vuitton ในชื่อ Sugalabo V นำโดยเชฟชาวญี่ปุ่น Yosuke Suga นอกจากจะมีตำแหน่งเชฟร้านอาหารระดับ Asia’s 50 Best Restaurant แล้วนั้น เขายังเป็นลูกศิษย์ของเชฟระดับตำนาน Joel Robuchon ผู้ครอบครองดาวมิชลินมากถึง 32 ดาว ลักษณะเด่นของห้องอาหาร Sugalabo V ตรงที่มีครัวแบบเปิด (Chef’s Table) โดยรูปแบบอาหารเป็นอาหารฟิวชันระหว่างอาหารญี่ปุ่นและฝรั่งเศส แต่เน้นย้ำการใช้วัตถุดิบกว่า 80% จากญี่ปุ่นและนำเข้าเฉพาะของหายากตามฤดูกาลเท่านั้น ซึ่ง Sugalabo V ถือเป็นตัวอย่างที่ประสบความสำเร็จในการทำร้านอาหารของแบรนด์ Louis Vuitton ก่อนจะต่อยอดตามประเทศต่างๆ ในเวลาต่อมา
CAFÉ MAXIME FRÉDÉRIC AT LOUIS VUITTON PARIS
ไม่ใช่แค่ร้านอาหาร แต่ Louis Vuitton ยังมีคาเฟ่ที่เสิร์ฟเครื่องดื่มและของหวานด้วยเช่นกัน ซึ่งหากใครมีโอกาสเดินทางไปเมืองปารีส ประเทศฝรั่งเศส เราแนะนำว่าให้ลองแวะไปที่ Café Maxime Frédéric at Louis Vuitton ร้านคาเฟ่ที่อยู่ภายใต้อาคารสำนักงานของแบรนด์ใจกลางกรุงปารีสใกล้กับสะพาน Pon Neuf จุดเด่นของร้านอยู่ที่การตกแต่งด้วยการใช้โทนสีที่สนุกตัดสลับกับสีเขียวของต้นไม้ความตั้งใจเพื่อสร้างบรรยากาศสบายๆ ในการดื่มเครื่องดื่มและขนมหวาน เชฟผู้ถูกมอบหมายให้มารังสรรค์เมนูของหวานนี้คือ Maxime Frédéric ผู้เป็นหัวหน้าเชฟขนมหวานจากร้านอาหาร Plénitude ในโรงแรม Cheval Blanc Paris และเคยได้รับตำแหน่ง Pastry Chef of the Year by the Gault & Millau Guide 2022 หรือตำแหน่งของเชฟขนมหวานยอดเยี่ยมนั่นเอง งานของเขาคือการนำเอาเอกลักษณ์ของ Louis Vuitton ไม่ว่าจะเป็นลายโมโนแกรม หรือสัญลักษณ์ต่างๆ มาแปรรูปให้อยู่ในบริบทของหวานได้อย่างน่าอัศจรรย์
LOUIS VUITTON LOUNGE BY YANNICK ALLÉNO AT DOHA
ยกระดับประสบการณ์การรับประทานอาหารไปอีกขั้น เมื่อ Louis Vuitton ได้จับมือร่วมกับ Qatar Duty Free เปิดตัวเลานจ์แห่งแรกของแบรนด์ในชื่อ Louis Vuitton Lounge by Yannick Alléno ซึ่งร้านตั้งอยู่ในตัวสนามบิน Hamad International Airport โดยได้เชฟระดับมิชลินสามดาวอย่าง Yannick Alléno มาเป็นผู้รังสรรค์อาหารสไตล์ฟิวชันร่วมสมัยระหว่างวัตถุดิบแบบโลคัลผสมผสานเข้ากับอาหารฝรั่งเศสและอาหารนานาชาติเพื่อให้สามารถตอบโจทย์ความหลากหลายของผู้โดยสารในสนามบิน ความพิเศษนอกจากเชฟระดับมิชลินแล้วนั้น เลานจ์แห่งนี้ยังเปิด 24 ชั่วโมงเพื่อรองรับการเดินทางของผู้โดยสารทุกรูปแบบและทุกเวลา เป็นอีกหนึ่งประสบการณ์ที่เหนือกว่าแค่สินค้าแฟชั่นของ Louis Vuitton ที่ควรลองสักครั้ง
THE HALL BY LOUIS VUITTON CHENGDU
ประเทศจีนถือเป็นตลาดใหญ่ในเอเชียที่ดึงดูดแบรนด์แฟชั่นมากมายให้เข้ามาทำธุรกิจ หนึ่งในนั้นก็คือแบรนด์ Louis Vuitton ที่นอกจากจะเปิดแฟลกชิปสโตร์แล้วยังมีร้านอาหารเต็มรูปแบบครั้งแรกในชื่อ The Hall by Louis Vuitton ในเมืองเฉิงตู ตั้งอยู่ในอาคารประวัติศาสตร์กว่า 100 ปี ชื่อ Guangdong Hall บนทำเล Sino – Ocean Taikoo Li ซึ่งเคยเป็นพื้นที่จุดนัดพบของพ่อค้าชาวจีนกวางตุ้งสมัยโบราณ ความพิเศษของร้าน The Hall นี้อยู่ตรงที่การสลับเชฟระดับมิชลินทุกๆ 6 เดือนมารังสรรค์เมนูอาหารฟิวชันที่ผสมผสานระหว่างอาคารฝรั่งเศสกับอาหารจีน โดยใช้วัสดุท้องถิ่นเป็นหลักในการประกอบอาหารเพียงแค่ปีแรกที่เปิด The Hall สามารถสร้างปรากฏการณ์โต๊ะเต็มตลอดทั้งปี ปัจจุบันเชฟผู้มารังสรรค์อาหารคือเชฟชาวอิตาเลียน Leonardo Zambrino ที่สำคัญ The Hall ยังการันตีความยอดเยี่ยมในรสชาติและบริการด้วยการคว้ามิชลิน 1 ดาวมาได้อีกด้วย