วันนี้ (5 กุมภาพันธ์) วิชัย โภชนกิจ อธิบดีกรมการค้าภายใน ทำหน้าที่เป็นประธานการประชุมสถานการณ์การจำหน่ายหน้ากากอนามัยและเจลล้างมือ โดยร่วมกันหารือกับผู้ประกอบการห้างค้าปลีก และตัวแทนร้านสะดวกซื้อต่างๆ ซึ่งจะมีการจำกัดการขายหรือควบคุมอย่างจริงจัง โดยให้มีผลนับตั้งแต่วันที่ 6 กุมภาพันธ์นี้เป็นต้นไป
โดยที่ในที่ประชุมได้มีการกำหนดมาตรการในการควบคุมสินค้าหลักอย่างหน้ากากอนามัยและเจลล้างมือ ซึ่งเริ่มจากขอความร่วมมือห้างร้านสรรพสินค้าจำหน่ายหน้ากากอนามัยที่จำนวนไม่เกิน 10 ชิ้นต่อคน เพื่อให้เกิดการกระจายตัวของสินค้าได้มากยิ่งขึ้น
ต่อมาเรื่องการส่งออกหน้ากากอนามัยที่จำนวน 500 ชิ้นขึ้นไป ต้องขออนุญาตจากกรมการค้าภายใน ส่วนการส่งออก ทุกล็อต ทุกสถานที่ ทุกท่าขนส่ง ต้องให้ผู้ส่งออกมายื่นขออนุญาตการส่งออก ไม่เช่นนั้นที่ด่านปลายทางจะไม่เปิดให้สินค้าผ่านไป ซึ่งต้องทำการขอใบอนุญาตจากกรมฯ ตั้งแต่วันที่ 6 กุมภาพันธ์นี้
นอกจากนี้ภาคผู้ผลิตหน้ากากอนามัยทุกรายต้องทำการจัดสรรหน้ากากอนามัยบางส่วนไปยังศูนย์บริการจัดสรรของกระทรวงพาณิชย์ เพื่อให้กระทรวงได้ กระจายสิ่งของให้กับกลุ่มผู้ที่จำเป็นต้องใช้หน้ากากอนามัยและเจลล้างมือก่อน ซึ่งกลุ่มแรกก็คือกลุ่มบุคลากรทางการแพทย์ กลุ่มชุมชนบริการนักท่องเที่ยว รวมถึงกลุ่มเสี่ยงอย่างผู้ป่วยที่มีความต้องการใช้อย่างเร่งด่วน โดยมาตรการทั้งหมดจะมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 6 กุมภาพันธ์เป็นต้นไป
นอกจากนี้อธิบดีกรมการค้าภายในย้ำว่า หากตรวจสอบและพบผู้ที่ทำการกักตุนสินค้าหรือจำหน่ายสินค้าในราคาเกินควร จะถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย โดยต้องโทษสูงสุดจำคุกไม่เกิน 1 ปี ปรับไม่เกิน 140,000 บาท หรือจำทั้งจำทั้งปรับ สุดท้ายหากมีใครพบเห็นการกักตุนของผู้ค้า สามารถแจ้งหรือร้องเรียนได้ สายด่วน 1569
พิสูจน์อักษร: พรนภัส ชำนาญค้า