×

KTC – แนวโน้มเติบโตเล็กน้อย, Valuation แพง

11.01.2024
  • LOADING...

เกิดอะไรขึ้น:

 

InnovestX Research คาดว่า บมจ.บัตรกรุงไทย (KTC) จะรายงานกำไร 4Q66 ลดลง 2%QoQ (รายได้ที่ดีขึ้นจะถูกหักล้างโดย ECL และ OPEX ที่สูงขึ้น) แต่จะเพิ่มขึ้น 7%YoY (รายได้ดีขึ้น) สู่ 1.82 พันล้านบาท ซึ่งเป็นผลมาจากสินเชื่อที่เติบโตเร่งตัวขึ้นตามฤดูกาลที่ 8%QoQ และ 11%YoY NIM ที่ลดลง 43 bps QoQ Credit Cost ที่เพิ่มขึ้น 43 bps QoQ Non-NII ที่เติบโตดีที่ 11% YoY และ QoQ และอัตราส่วนต้นทุนต่อรายได้ที่เพิ่มขึ้นตามฤดูกาลใน 4Q66 (ช่วงไฮซีซันสำหรับค่าใช้จ่ายการตลาดเพื่อกระตุ้นการใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิต) 

 

ด้านการเติบโตของสินเชื่อจะชะลอตัวลงในปี 2567 เล็กน้อยจาก 11% ในปี 2566 สู่ 10% ซึ่งสอดคล้องกับเป้าการเติบโตของสินเชื่อปี 2567 ของ KTC ที่ 10% (เทียบกับ 11% ในปี 2566) โดยสินเชื่อส่วนบุคคลจะเติบโต 5% (เทียบกับ 7% ในปี 2566) และยอดปล่อยสินเชื่อทะเบียนรถ (KTC พี่เบิ้ม) จะเพิ่มขึ้นเป็น 6 พันล้านบาท (เทียบกับ 2.6-2.7 พันล้านบาท ในปี 2566) 

 

นอกจากนี้บริษัทยังตั้งเป้ายอดใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตเติบโต 15% (เทียบกับ 12% ในปี 2566) ขณะที่คาดว่าการเติบโตของสินเชื่อบัตรเครดิตจะชะลอตัวลงในปี 2567 และ 2568 โดยมีสาเหตุมาจากการทยอยปรับเพิ่มอัตราผ่อนชำระขั้นต่ำสำหรับบัตรเครดิตจาก 5% ในปี 2566 สู่ 8% ในปี 2567 และ 10% ในปี 2568

 

ส่วน NIM จะได้รับผลกระทบจากมาตรการแก้หนี้เรื้อรัง โดยในปี 2567 คาดว่า NIM ของ KTC จะได้รับผลกระทบจากความเคลื่อนไหวของ ธปท. เพื่อแก้ปัญหาหนี้เรื้อรัง (PD, ลูกหนี้ที่จ่ายดอกเบี้ยมากกว่าเงินต้นในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา) สำหรับลูกหนี้ที่มีรายได้น้อย (รายได้ต่อเดือนไม่เกิน 10,000 บาท สำหรับนอนแบงก์ และ 20,000 บาท สำหรับธนาคารพาณิชย์ รวมถึงนอนแบงก์ภายใต้การกำกับแบบรวมกลุ่มของธนาคารพาณิชย์) 

 

โดยตั้งแต่เดือนเมษายน 2567 ลูกหนี้ที่มีหนี้เรื้อรังจะได้รับทางเลือกในการเปลี่ยนสินเชื่อหมุนเวียนมาเป็นแบบมีระยะเวลา (Term Loan) และคิดอัตราดอกเบี้ยไม่เกิน 15% ต่อปี (เทียบกับอัตราเพดาน 25%) โดยจะกำหนดให้การผ่อนชำระสามารถปิดจบภายใน 5 ปี 

 

หากลูกค้าที่เข้าเกณฑ์ทุกรายเข้าร่วมมาตรการแก้หนี้เรื้อรัง KTC ประเมินว่าจะส่งผลกระทบต่อรายได้ดอกเบี้ยของบริษัทประมาณ 18 ล้านบาทต่อเดือน แรงกดดันจากมาตรการแก้หนี้เรื้อรังและต้นทุนทางการเงินที่สูงขึ้น ทำให้คาดว่า NIM จะลดลง 21 bps ในปี 2567 (เทียบกับ -9 bps ในปี 2566)

 

ทั้งนี้ คาดว่า Credit Cost จะเพิ่มขึ้นในปี 2567 และปี 2568 หลังจากมีการปรับเพิ่มอัตราผ่อนชำระขั้นต่ำสำหรับบัตรเครดิตจาก 5% ในปี 2566 สู่ 8% ในปี 2567 และ 10% ในปี 2568 Credit Cost ที่ต่ำผิดปกติในปี 2563-2566 ของ KTC อาจเกิดจากมาตรการช่วยเหลือลูกหนี้ด้วยการปรับลดอัตราผ่อนชำระขั้นต่ำสำหรับบัตรเครดิตลงชั่วคราว ซึ่งคาดการณ์ตามหลักระมัดระวังว่า Credit Cost จะเพิ่มขึ้นจาก 5.5% ในปี 2566 สู่ 5.75% ในปี 2567 และ 6% ในปี 2568

 

กระทบอย่างไร:

 

ในช่วง 1 เดือนที่ผ่านมา ราคาหุ้น KTC ปรับลง 3.78% สู่ระดับ 44.50 บาท ขณะที่ SET Index ปรับขึ้น 2.36% สู่ระดับ 1,413.52 จุด 

 

กลยุทธ์การลงทุนและคำแนะนำ:

 

InnovestX Research คาดว่ากำไรปี 2566-2568 จะเติบโตปีละ 4% ซึ่งเป็นผลมาจากการเติบโตของสินเชื่อในระดับปานกลาง NIM ที่ลดลง และ Credit Cost ที่สูงขึ้น อย่างไรก็ดี ยังคงเรตติ้ง Underperform สำหรับ KTC และคงราคาเป้าหมายไว้ที่ 44 บาทต่อหุ้น (PBV ปี 2567 ที่ 2.8 เท่า อ้างอิง ROE ระยะยาวที่ 20% Cost of Equity ที่ 8.5% และการเติบโตระยะยาวที่ 2%) เนื่องจากกำไรมีแนวโน้มเติบโตเพียงเล็กน้อย และ Valuation แพง

 

ปัจจัยเสี่ยงสำคัญที่ต้องติดตามคือ ความเสี่ยงด้านคุณภาพสินทรัพย์จากการทยอยปรับเพิ่มอัตราผ่อนชำระขั้นต่ำสำหรับบัตรเครดิตจาก 5% สู่ 8% ในปี 2567 และ 10% ในปี 2568 และเศรษฐกิจที่ฟื้นตัวไม่ทั่วถึง, ความเสี่ยงด้าน NIM จากการปรับอัตราดอกเบี้ยนโยบายขึ้นอีก และมาตรการแก้หนี้ครัวเรือนของ ธปท.

  • LOADING...

READ MORE






Latest Stories

Close Advertising