×

KKP ชี้นโยบายการเงินไทยเสี่ยง Behind the Curve คาดกระแสโลกกดดัน กนง. ต้องขึ้นดอกเบี้ย 0.50% ในการประชุมรอบหน้า

11.07.2022
  • LOADING...
KKP

KKP Research โดยเกียรตินาคินภัทร ออกบทวิเคราะห์แนวโน้มการปรับดอกเบี้ยของไทย โดยระบุว่า นโยบายการเงินของไทยอาจล่าช้าจนเข้าสู่ภาวะ Behind the Curve หลังตัวเลขเงินเฟ้ออยู่ในระดับสูง นโยบายการเงินทั่วโลกกลับทิศทาง และค่าเงินบาทมีแนวโน้มอ่อนลงต่อเนื่อง โดยความเร็วและขนาดการปรับอัตราดอกเบี้ยในหลายประเทศทั่วโลกที่เร่งตัวขึ้น ทำให้ KKP Research ประเมินว่าธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) จะถูกกดดันให้ขึ้นดอกเบี้ย 0.50% ในการประชุมรอบหน้าในเดือนสิงหาคม 

 

เมื่อทิศทางนโยบายการเงินเปลี่ยน 

 

หลังจากที่ธนาคารกลางทั่วโลกปรับอัตราดอกเบี้ยลงไปถึงหรือใกล้ 0% หลังเจอวิกฤตโควิด แต่ในช่วงที่ผ่านมาธนาคารกลางทั่วโลกเริ่มปรับอัตราดอกเบี้ยนโยบายขึ้น และขึ้นในอัตราที่มากกว่าและเร็วกว่าที่ตลาดคาด โดยนับจากต้นปีจนถึงปัจจุบัน สหรัฐอเมริกาปรับดอกเบี้ยขึ้นไปแล้ว 1.5% และคาดว่าจะปรับอัตราดอกเบี้ยขึ้นอย่างต่อเนื่องจนถึง 3.5-4% ภายต้นปีหน้า 

 

ขณะที่นิวซีแลนด์ ออสเตรเลีย แคนาดา ปรับอัตราดอกเบี้ยขึ้นไปแล้ว 1.25% อังกฤษปรับดอกเบี้ยขึ้นไปแล้ว 1% และเกาหลีใต้ปรับดอกเบี้ยขึ้นไปแล้ว 0.75% และหลายธนาคารกลางเหล่านี้ปรับอัตราดอกเบี้ยนโยบายขึ้นครั้งละ 0.5-0.75% มากกว่าที่ปกติแล้วจะปรับขึ้นลงครั้งละ 0.25% จากความกังวลว่าการปรับดอกเบี้ยช้าเกินไปจะทำให้อัตราเงินเฟ้อค้างสูงเป็นเวลานาน และส่งผลต่อการคาดการณ์เงินเฟ้อ ซึ่งจะทำให้การแก้ปัญหาเงินเฟ้อยากขึ้น 

 

ไทยอยู่ในกลุ่มที่ปรับดอกเบี้ยขึ้นช้าที่สุด 

 

แม้ว่าอัตราเงินเฟ้อของไทยอยู่ในระดับสูงถึง 7.7% และคาดว่าจะปรับตัวสูงขึ้นอีก แต่ไทยอยู่ในกลุ่มประเทศที่อัตราดอกเบี้ยนโยบายอยู่ในระดับต่ำมาก และปรับอัตราดอกเบี้ยนโยบายขึ้นช้าที่สุด คือ ยังไม่มีการปรับอัตราดอกเบี้ยขึ้นเลยในปีนี้ โดยมีเพียงไม่กี่ประเทศ เช่น ญี่ปุ่น และธนาคารกลางยุโรป ที่ยังมีอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ต่ำกว่าไทย ยิ่งไปกว่านั้นเมื่อเปรียบเทียบกับตัวเลขเงินเฟ้อ ประเทศไทยมีอัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงในกลุ่มที่ต่ำมากที่สุดในโลก สะท้อนถึงการปรับนโยบายการเงินของไทยที่ช้ากว่าโลก 

 

อย่างไรก็ตาม เมื่อมองไปข้างหน้า แรงกดดันต่อ ธปท. จะมีมากขึ้นเรื่อยๆ และคาดว่าจะมีอีกหลายประเทศที่จะปรับอัตราดอกเบี้ยเร็วขึ้นอีก โดยคาดการณ์ว่าการปรับอัตราดอกเบี้ยขึ้นของ Fed ในครั้งนี้จะเป็นการปรับตัวที่เร็วที่สุดรอบหนึ่งเมื่อเทียบกับเหตุการณ์ในอดีต  

 

ต้นทุนที่เพิ่มขึ้นหากต้านกระแสโลก 

 

การดำเนินนโยบายการเงินของไทยที่ปรับตัวช้าและไม่เป็นไปตามทิศทางนโยบายการเงินโลกกำลังสร้างความเสี่ยงต่อเศรษฐกิจไทย ในช่วงที่ผ่านมาธนาคารแห่งประเทศไทยสื่อสารให้เห็นว่าไทยไม่มีความจำเป็นต้องปรับดอกเบี้ยขึ้นตามสหรัฐฯ จาก 3 เหตุผล คือ 

 

  1. แรงกดดันด้านเงินเฟ้อของไทยเป็นแรงกดดันด้านอุปทานที่เกิดขึ้นชั่วคราวและจะสามารถคลี่คลายลงได้เอง 

 

  1. การปรับอัตราดอกเบี้ยขึ้นจะสร้างผลกระทบต่อเศรษฐกิจในภาวะที่เศรษฐกิจยังไม่ฟื้นตัว โดยเฉพาะหนี้ครัวเรือนที่อยู่ในระดับสูง 

 

  1. การขึ้นดอกเบี้ยและส่วนต่างดอกเบี้ยมีผลต่อค่าเงินบาทไม่มาก และที่ผ่านมาการอ่อนค่าของเงินบาทสอดคล้องกับการอ่อนค่าของเงินสกุลภูมิภาค ประกอบกับประเทศไทยมีเสถียรภาพด้านต่างประเทศที่แข็งแกร่ง ทำให้ยังมีความสามารถในการรองรับความผันผวนของค่าเงินในระยะสั้นได้

 

อย่างไรก็ตาม KKP Research ประเมินว่า จากสถานการณ์เศรษฐกิจโลก และนโยบายการเงินโลกที่เปลี่ยนแปลงไป จะเริ่มทำให้ในช่วงหลังจากนี้การตัดสินใจนโยบายการเงินของคณะกรรมการนโยบายการเงินต้องให้น้ำหนักกับภาวะเงินเฟ้อและปัญหาค่าเงินบาทมากขึ้น เนื่องจากมีแนวโน้มส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจเป็นวงกว้าง โดยเฉพาะในความเสี่ยง 3 ประเด็น คือ 

 

  1. ส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยระหว่างไทยกับประเทศในภูมิภาคกำลังจะกว้างขึ้น ซึ่งจะเริ่มมีแรงกดดันให้ค่าเงินบาทมีแนวโน้มอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับสกุลเงินในภูมิภาคได้ บทเรียนที่สะท้อนให้เห็นชัดเจนคือ ประเทศญี่ปุ่น ที่มีการประกาศชัดเจนว่าจะดำเนินนโยบายการเงินแบบผ่อนคลายต่อไป ส่งผลให้ค่าเงินเยนอ่อนค่าลงมากที่สุดในรอบกว่า 24 ปี  

 

  1. การขาดดุลบัญชีเดินสะพัดอาจใหญ่และยาวกว่าที่คาด โดยในเดือนเมษายนและพฤษภาคมประเทศไทยขาดดุลบัญชีเดินสะพัดสูงถึงประมาณเดือนละ 3-4 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ และกำลังจะทำให้การขาดดุลบัญชีเดินสะพัดในไตรมาส 2 ปีนี้เป็นการขาดดุลที่มีมูลค่าสูงที่สุดนับตั้งแต่มีการบันทึกตัวเลขในปี 2005 โดยเกิดจากทั้งนักท่องเที่ยวที่หายไป ต้นทุนค่าขนส่งที่สูงขึ้น ราคาน้ำมันที่ปรับตัวสูงขึ้น ซึ่งปัจจัยเหล่านี้จะกดดันให้ค่าเงินบาทอ่อนค่าลงได้เพิ่มเติม หรือสะท้อนว่าเสถียรภาพด้านต่างประเทศของไทยมีความแข็งแกร่งน้อยลง 

 

  1. ความเสี่ยงในความน่าเชื่อถือของธนาคารกลาง เมื่ออัตราเงินเฟ้อเริ่มส่งผลต่อการคาดการณ์เงินเฟ้อของคนในระบบเศรษฐกิจ การปรับอัตราดอกเบี้ยช้าในภาวะที่เงินเฟ้อสูงกว่าที่เคยคาดการณ์ไว้มาก โดยในปลายปี 2021 ธนาคารแห่งประเทศไทยคาดการณ์เงินเฟ้อไว้เพียง 1.7% และปรับขึ้นต่อเนื่องจนเป็น 6.1% ในปัจจุบัน ซึ่งหากตลาดมีความเชื่อว่าธนาคารแห่งประเทศไทย Behind the Curve หรือปรับดอกเบี้ยช้าเกินไป จะส่งผลให้การดำเนินนโยบายการเงินทำได้ยากขึ้นมาก เพราะหากการคาดการณ์เงินเฟ้อปรับตัวสูงขึ้น และการปรับดอกเบี้ยนโยบายเพื่อสกัดเงินเฟ้อและค่าเงินบาทจะต้องปรับแรงกว่าเดิมในตอนหลัง และจะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจมากกว่าการค่อยๆ ปรับดอกเบี้ยขึ้นตั้งแต่วันนี้

 

คาด ธปท. ต้องปรับดอกเบี้ยขึ้น 1% ปีนี้

 

KKP Research ประเมินว่า แรงกดดันต่อตลาดการเงินและผลกระทบที่จะเกิดขึ้นต่อเศรษฐกิจจะมีมากขึ้นเรื่อยๆ นอกจากนี้คาดว่าธนาคารกลางสหรัฐฯ จะปรับอัตราดอกเบี้ยนโยบายขึ้นอีก 0.75% ในวันที่ 26-27 กรกฎาคม ซึ่งเกิดขึ้นก่อนการประชุม กนง. ของไทยครั้งต่อไปในวันที่ 10 สิงหาคม กว่า 2 สัปดาห์ และจะทำให้ส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยนโยบายระหว่างสหรัฐฯ และไทย สูงขึ้นถึง 1.875% ซึ่งเป็นส่วนต่างดอกเบี้ยนโยบายที่สูงที่สุดนับตั้งแต่ช่วงปี 2007 

 

KKP Research คาดการณ์ว่าในช่วงเวลานั้นแรงกดดันต่อค่าเงินบาทจะมีเพิ่มสูงขึ้นมากและอาจกดดันให้เงินบาทอ่อนค่าลงได้อีก และปรับการคาดการณ์การขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารแห่งประเทศไทย จากเดิมที่คาดว่าจะขึ้น 0.25% ในการประชุมรอบหน้า เป็น 0.50% และคาดว่าจะขึ้นต่อเนื่องอีก 2 ครั้ง ครั้งละ 0.25%ในปีนี้ ซึ่งจะทำให้ในปลายปีอัตราดอกเบี้ยนโยบายไทยจะปรับตัวสูงขึ้นไปอยู่ที่ 1.5% จากระดับปัจจุบันที่ 0.5% 

 

เตรียมรับมือผลกระทบจากดอกเบี้ยขาขึ้น

 

ความเสี่ยงที่อัตราดอกเบี้ยกำลังจะปรับตัวสูงขึ้น จะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจผ่านหลายช่องทาง เช่น 

 

  1. ผลกระทบต่อครัวเรือน จากภาระหนี้ที่จะปรับตัวสูงขึ้นตามอัตราดอกเบี้ย และผลกระทบต่อการชะลอตัวในการบริโภคสินค้าคงทน เช่น บ้าน รถยนต์ ที่ต้องอาศัยสินเชื่อการบริโภค

 

  1. การปรับอัตราดอกเบี้ยขึ้นอาจทำให้เกิดปัญหาสภาพคล่องในตลาดการเงิน โดยเฉพาะความเสี่ยงในการออกพันธบัตรภาคเอกชนใหม่ที่ต้องออกในต้นทุนที่สูงขึ้น จนอาจเกิดการผิดนัดชำระหนี้ 

 

  1. ผลกระทบต่อมูลค่าของสินทรัพย์ โดยเฉพาะสินทรัพย์เสี่ยง การดูดเงินออกจากระบบเศรษฐกิจจะเพิ่มเสี่ยงให้ราคาสินทรัพย์เสี่ยงมีโอกาสปรับตัวลดลง และกระทบกับความมั่งคั่งของคนในระบบเศรษฐกิจได้ 

 

การดำเนินนโยบายการเงินในช่วงหลังจากนี้จึงนับเป็นช่วงที่มีความท้าทายอย่างมาก และจำเป็นต้องอาศัยความร่วมมือระหว่างภาครัฐและธนาคารแห่งประเทศไทย ในการหามาตรการเยียวยาผลกระทบที่เฉพาะเจาะจงกับกลุ่มเปราะบางที่ได้รับผลกระทบจากเงินเฟ้อที่ปรับตัวสูงขึ้น และผลกระทบจากเศรษฐกิจที่จะชะลอตัวลงจากการปรับอัตราดอกเบี้ย

 


 

ช่องทางติดตาม THE STANDARD WEALTH

  • LOADING...

READ MORE






Latest Stories

Close Advertising