×

Johnson & Johnson ประกาศชะลอเริ่มใช้งานวัคซีนโควิด-19 ในยุโรป หลังเกิดความกังวลปัญหาลิ่มเลือด

14.04.2021
  • LOADING...
Johnson & Johnson ประกาศชะลอเริ่มใช้งานวัคซีนโควิด-19 ในยุโรป หลังเกิดความกังวลปัญหาลิ่มเลือด

Johnson & Johnson ตัดสินใจชะลอการเริ่มใช้งานวัคซีนโควิด-19 ของทางบริษัทในยุโรปออกไปก่อน หลังจากศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคของสหรัฐฯ (CDC) และองค์การอาหารและยาของสหรัฐฯ (FDA) ร่วมกันออกคำแนะนำให้สหรัฐฯ ระงับใช้วัคซีนต้านโควิด-19 ของบริษัท Johnson & Johnson ชั่วคราว จากกรณีมีรายงานการเกิดลิ่มเลือดชนิดที่พบได้ยากและรุนแรงกับผู้ที่รับวัคซีนรวม 6 กรณีจากวัคซีนทั้งหมดกว่า 6.8 ล้านโดสของ Johnson & Johnson ที่มีการฉีดให้ประชาชนในสหรัฐฯ

 

โดยทางบริษัทออกแถลงการณ์มีใจความระบุว่า ตระหนักกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น และได้ทบทวนกรณีดังกล่าวกับเจ้าหน้าที่ด้านสาธารณสุขของยุโรป จนนำมาสู่การตัดสินใจในเชิงรุกที่จะชะลอการเริ่มใช้งานวัคซีนของบริษัทในยุโรป ขณะนี้บริษัทกำลังทำงานอย่างใกล้ชิดกับผู้เชี่ยวชาญทางการแพทย์ ตลอดจนเจ้าหน้าที่สาธารณสุข และยืนยันว่าความปลอดภัยของผู้ใช้วัคซีนถือเป็นความสำคัญลำดับแรก

 

อนึ่ง แถลงการณ์ร่วมจาก CDC และ FDA ที่มีออกมาก่อนระบุว่า การรักษาอาการลิ่มเลือดชนิดจำเพาะนี้แตกต่างจากการรักษาแบบปกติทั่วไป การใช้ยาต้านการแข็งตัวของเลือดที่เรียกว่า Heparin ที่เคยถูกใช้ในการรักษาลิ่มเลือดโดยปกตินั้น หากนำมาใช้ในกรณีนี้อาจเป็นอันตรายได้

 

สำนักข่าว CNN รายงานไว้ก่อนหน้านี้ว่า หน่วยงานสาธารณสุขของสหรัฐฯ กำลังให้ความสำคัญกับกรณีการเกิดลิ่มเลือดดังกล่าว และกำลังดำเนินการเพื่อประเมินว่าวัคซีนเกี่ยวข้องกับความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นเล็กน้อยของการเกิดลิ่มเลือดหรือไม่ โดยเจ้าหน้าที่สาธารณสุขยุโรประบุว่ามีกรณีการเกิดลิ่มเลือดอย่างผิดปกติที่ร้ายแรง 4 กรณี และในยุโรปเองก็กำลังมีการสอบสวนกรณีดังกล่าวเช่นเดียวกับในสหรัฐอเมริกา อย่างไรก็ตาม ยังไม่มีความชัดเจนในขณะนี้ว่าวัคซีนดังกล่าวมีความสัมพันธ์เชิงสาเหตุกับการเกิดลิ่มเลือดหรือไม่

 

นอกจากนี้เจ้าหน้าที่สาธารณสุขในสหรัฐฯ กังวลว่าข่าวเรื่องลิ่มเลือดนี้จะทำให้ประชาชนลังเลมากขึ้นในการรับวัคซีนโควิด-19 ตัวใดตัวหนึ่ง ท่ามกลางห้วงเวลาขณะนี้ที่พวกเขากำลังพยายามกระตุ้นให้ชาวอเมริกันได้รับวัคซีนเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ เจ้าหน้าที่จากทั้ง CDC และ FDA กำลังหาวิธีการสื่อสารที่จะสื่อสารปัญหาดังกล่าวโดยไม่สร้างความฝังใจว่าวัคซีนของ Johnson & Johnson อาจมีบางอย่างผิดปกติ

 

ย้อนกลับไปเมื่อเดือนตุลาคมปีที่แล้ว การทดสอบวัคซีนของ Johnson & Johnson ต้องถูกให้หยุดไว้ชั่วคราวเป็นเวลาราวสองสัปดาห์ หลังผู้เข้ารับการทดสอบมีอาการป่วย แต่เหตุดังกล่าวถูกระบุว่าไม่พบหลักฐานว่าวัคซีนทำให้เกิดอาการป่วยนั้น จนกระทั่งปลายเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา FDA เผยในรายงานว่า มีชายวัย 25 ปีที่ไม่เคยมีประวัติการรักษาทางการแพทย์และไม่ได้กำลังรับการรักษาใดๆ อยู่เข้ารับวัคซีน Johnson & Johnson และประสบกับภาวะหลอดเลือดดำในสมองอุดตันที่ตำแหน่ง Transverse sinus อย่างไรก็ตาม จากข้อมูลในการศึกษาเมื่อปี 2005 ที่เผยแพร่ในวารสารวิชาการ New England Journal of Medicine ระบุว่า โดยปกติมีผู้ที่พบภาวะหลอดเลือดดำในสมองอุดตัน 3-4 คนต่อประชากร 1 ล้านคนต่อปี และ 75% ของผู้ใหญ่ที่พบภาวะนี้เป็นผู้หญิง

 

นอกจากนี้ระหว่างการทดสอบวัคซีน Johnson & Johnson ยังมีรายงานการพบลิ่มเลือดชนิดอื่นๆ อย่างไรก็ตาม หลายชนิดที่พบก็เป็นชนิดที่พบได้เป็นปกติ อาทิ ภาวะลิ่มเลือดอุดตันในหลอดเลือดดำส่วนลึก จึงไม่น่าแปลกใจที่ในบรรดาผู้เข้ารับการทดสอบวัคซีนราว 20,000 คนจะมีบางส่วนที่เกิดลิ่มเลือดชนิดเหล่านี้ขึ้น

 

แต่สิ่งที่ทำให้นักวิทยาศาสตร์ของ FDA ต้องบันทึกไว้เมื่อปลายเดือนกุมภาพันธ์ก็คือ จากจำนวนผู้ที่ได้รับยาหลอกและวัคซีนในจำนวนเท่าๆ กัน กลับพบจำนวนผู้ที่เกิดลิ่มเลือดในหมู่ผู้ได้รับวัคซีนมากกว่ากลุ่มผู้ได้รับยาหลอก ซึ่ง FDA เรียกสิ่งนี้ว่า ‘ความไม่สมดุลเล็กน้อยทางตัวเลข’ และบอกว่าจากความไม่สมดุลดังกล่าวทำให้ไม่สามารถตัดวัคซีนออกจากการเป็นปัจจัยที่ส่งผลได้ ถึงกระนั้นข้อมูลที่มีอยู่ก็ไม่เพียงพอต่อการตัดสินว่าวัคซีนดังกล่าวมีความสัมพันธ์เชิงสาเหตุกับการเกิดลิ่มเลือดอุดตัน และ FDA จะแนะนำให้เฝ้าระวังเพื่อประเมินการเกิดลิ่มเลือดอุดตันเมื่อวัคซีนเริ่มถูกนำมาใช้ ซึ่งวัคซีนตัวนี้ก็ถูกนำมาใช้ในวันที่ 3 มีนาคม ไม่กี่วันหลัง FDA มีรายงานออกมา

 

แต่นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่การเกิดลิ่มเลือดถูกกล่าวถึงว่าอาจมีความสัมพันธ์กับวัคซีนโควิด-19 เพราะก่อนหน้านี้ภาวะลิ่มเลือดอุดตันอย่างผิดปกติประกอบกับภาวะเกล็ดเลือดต่ำก็ถูกหน่วยงานสาธารณสุขในยุโรปสรุปไปแล้วว่าควรเป็น ‘ผลข้างเคียงที่พบได้ยากมาก’ ของวัคซีน Oxford-AstraZeneca แต่แม้หน่วยงานสาธารณสุขจะแนะนำให้ประชาชนมองหาสัญญาณของการเกิดลิ่มเลือด แต่ก็บอกว่าประโยชน์ที่ได้จากวัคซีน Oxford-AstraZeneca นั้นมีน้ำหนักมากกว่าความเสี่ยง ซึ่งทั้งวัคซีนของ Johnson & Johnson (แบบฉีดโดสเดียว) และ Oxford-AstraZeneca (สองโดส) ต่างก็เป็นชนิด Adenoviral Vector เหมือนกัน และทั้งสองชนิดได้รับอนุมัติให้ใช้ในกรณีฉุกเฉินในประเทศไทยแล้ว

 

ภาพ: Tom Williams / CQ-Roll Call, Inc via Getty Images

พิสูจน์อักษร: พรนภัส ชำนาญค้า

อ้างอิง:

  • LOADING...

READ MORE






Latest Stories

Close Advertising