×

“นี่เป็นราคาที่เราพึงพอใจทั้ง 2 ฝ่าย” เจ้าของสุกี้ตี๋น้อยกล่าวหลัง Jaymart ควักเงิน 1.2 พันล้านบาทเข้าถือหุ้น 30% เผยปีหน้าเล็งขยายไปสระบุรี สุพรรณบุรี และโคราช

14.11.2022
  • LOADING...
Jaymart

เรียกเสียงฮือฮาเป็นอย่างมาก หลังจาก Jaymart ซึ่งเป็นบริษัทที่มีธุรกิจหลักเกี่ยวข้องกับโทรศัพท์มือถือ ได้ตัดสินใจใช้เงิน ‘หลักพันล้าน’ เข้าถือหุ้น 30% ของ ‘สุกี้ตี๋น้อย’ 

 

นี่ถือเป็นการยืนยันข่าวลือที่หลุดออกมาราว 2 เดือนก่อนหน้านี้ โดยเมื่อวันที่ 22 กันยายน บล.ฟินันเซีย ไซรัส ได้ออกบทวิเคราะห์ที่ระบุว่า Jaymart อาจจะต้องใช้เงินราว 1.9-2.5 พันล้านบาทสำหรับการเข้าถือหุ้น ซึ่ง Jaymart นั้นมีเงินทุนเพียงพอสำหรับแผนการเข้าลงทุนดังกล่าว 

 


ข่าวที่เกี่ยวข้อง: 


 

บมจ.เจ มาร์ท หรือ JMART ได้รายงานตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยเมื่อวันที่ 8 พฤศจิกายน ระบุว่าเข้าลงทุนในบริษัท บี เอ็น เอ็น เรสเตอรองท์ กรุ๊ป ซึ่งประกอบธุรกิจร้านอาหารภายใต้แบรนด์ ‘สุกี้ตี๋น้อย’ จำนวน 3.53 แสนหุ้น หรือ 30% ของจำนวนหุ้นทั้งหมด รวมมูลค่าลงทุนรวมไม่เกิน 1.2 พันล้านบาท คาดว่าจะดำเนินธุรกรรมการลงทุนให้แล้วเสร็จภายในเดือนธันวาคม 2565

 

“สุกี้ตี๋น้อยเป็นธุรกิจที่มีศักยภาพและมีโอกาสในการเติบโตสูงภายใต้สถานการณ์ปัจจุบัน จึงมีความสามารถในการสร้างผลตอบแทนที่ดีให้แก่ผู้ถือหุ้นของบริษัท” Jaymart กล่าวในเอกสารที่แจ้งต่อตลาดหลักทรัพย์ฯ

 

ตัวเลข 1.2 พันล้านบาทที่ออกมา ทำให้บางส่วนมองว่านี่เป็นราคาที่ถูกไปหรือไม่ เพราะคิดเป็นมาร์เก็ตแคปแค่ 4 พันล้านบาท ในขณะที่ธุรกิจยังสามารถเติบโตอีกมากและมีแผนเข้าสู่ตลาดหลักทรัพย์ฯ อยู่แล้ว แต่ นัทธมน พิศาลกิจวนิช เจ้าของร้าน ‘สุกี้ตี๋น้อย’ เปิดเผยกับ THE STANDARD WEALTH ว่า “นี่เป็นราคาที่เราพึงพอใจทั้ง 2 ฝ่าย”

 

อยากได้พาร์ตเนอร์ที่เก่งในเรื่องที่ยังไม่ชำนาญ

ถึงจะมีบริษัทหลายแห่งสนใจที่จะเข้ามาเป็นผู้ถือหุ้น แต่เหตุผลที่นัทธมนเลือก ‘เซย์เยส’ กับ Jaymart หลังคุยกันมานานกว่าครึ่งปี เป็นเพราะอยากได้พาร์ตเนอร์ที่เก่งในเรื่องที่ยังไม่ชำนาญ

 

“จริงๆ การทำธุรกิจอาหารมีเรื่องให้ทำมากกว่าอาหาร แม้จะมีเชนร้านอาหารเข้ามาคุย แต่ส่วนตัวไม่ค่อยตื่นเต้นเท่าไรนักแม้จะมีข้อได้เปรียบหลายเรื่องก็ตาม แต่ที่เลือก Jaymart เพราะมีธุรกิจหลายส่วนที่สามารถเข้ามาช่วยเสริมได้” นัทธมนกล่าว “เราอยากได้ผู้ที่เข้ามาช่วยทำให้ธุรกิจแบบครอบครัว ก้าวขึ้นมาเป็นมืออาชีพที่วันหนึ่งอาจมีมูลค่านับหมื่นล้านบาท”

 

Jaymart เผยว่า ความร่วมมือกับสุกี้ตี๋น้อยนั้นจะนำเอาเทคโนโลยีที่มี เช่น เทคโนโลยีทางด้าน CRM และโปรโมชันต่างๆ อันนำมาสู่การเติบโตทางธุรกิจของกลุ่มบริษัท สร้างโอกาสในการขยายธุรกิจประเภทค้าปลีกทั้งในกลุ่มอาหาร เทคโนโลยี และพลังงานทดแทน

 

สอดคล้องกับนัทธมนที่กล่าวว่า เบื้องต้นน่าจะมีการนำ CRM ของ Jaymart มาใช้ร่วมกัน ซึ่งที่ผ่านมาสุกี้ตี๋น้อยยังไม่มี CRM เป็นของตัวเองมาก่อน รวมไปถึงการเข้ามาช่วยปูพื้นฐานเทคโนโลยีให้แข็งแรงมากขึ้น

 

อีกหนึ่งเรื่องที่สำคัญคือการเข้ามาเป็นพี่เลี้ยงของสุกี้ตี๋น้อยในการติดนามสกุลมหาชน ที่จะทำให้ครอบคลุมมากยิ่งขึ้น ซึ่ง Jaymart มีประสบการณ์จากการที่นำบริษัทลูกหลายแห่งเข้า IPO มาแล้ว ตามแผนคาดว่าสุกี้ตี๋น้อยจะ IPO ในช่วงครึ่งหลังของปี 2567

 

“ในแง่การบริหารธุรกิจจะยังเป็นกลุ่มผู้บริหารเดิมต่อไป โดย Jaymart จะเข้ามาช่วยในแง่ของการปรับปรุงเทคโนโลยี”

 

โบรกเกอร์ประสานเสียง ‘ราคาเหมาะสม’

หลังการเข้าซื้อ โบรกเกอร์ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น บล.โนมูระ พัฒนสิน, บล.เอเอสแอล และ บล.บัวหลวง ได้ออกบทวิเคราะห์ที่ออกไปในทางเดียวกันว่าดีลดังกล่าวเป็นราคาที่เหมาะสมและจะเข้ามาสร้างการเติบโตให้กับ Jaymart 

 

โบรกเกอร์ต่างเห็นว่าสุกี้ตี๋น้อยเป็นร้านสุกี้ที่จะมาแรงและเติบโตเร็วที่สุดร้านหนึ่งในยุค และมีโอกาสอีกมากในต่างจังหวัด (ระดับราคาสินค้าเป็นกลุ่ม Mass อยู่แล้ว) ซึ่งในที่สุดจะสามารถเปิดสาขาได้ครอบคลุมทั่วประเทศ ทั้งตามห้างและสแตนด์อโลน

 

ปัจจุบันสุกี้ตี๋น้อยมีสาขาราว 40 กว่าแห่งในกรุงเทพฯ และปริมณฑล โดยมีลูกค้ามากกว่า 20,000 รายต่อวัน ซึ่งทิศทางผลประกอบการที่ผ่านมาถือว่าเติบโตได้ดี

 

  • ปี 2562 รายได้ 499 ล้านบาท กำไร 15 ล้านบาท
  • ปี 2563 รายได้ 1,217 ล้านบาท กำไร 140 ล้านบาท
  • ปี 2564 รายได้ 1,564 ล้านบาท กำไร 147 ล้านบาท

 

ตัวเลขเหล่านี้สะท้อนการเป็นบริษัทที่สร้างผลตอบแทนในระดับสูงและมีโอกาสในการเติบโตอีกมากในอนาคต โดยเฉพาะเมื่อเทียบกับเชนยักษ์อย่าง MK ที่มี 456 แห่ง ซึ่งจับลูกค้าในระดับกลาง-สูง ซึ่งเป็นคนละกลุ่มกับลูกค้าของสุกี้ตี๋น้อย

 

แม้ MK และสุกี้ตี๋น้อยจะจับลูกค้าคนละกลุ่ม แต่ก็ถือว่าอยู่ในธุรกิจแบบเดียวกัน โดยเทียบให้เห็นภาพมากขึ้น การลงทุนดังกล่าวทำให้สุกี้ตี๋น้อยมีมาร์เก็ตแคปราว 4 พันล้านบาท ในขณะที่ MK 5.3 หมื่นล้านบาท โดยเมื่อเทียบมาร์เก็ตแคปต่อสาขาที่ 95 ล้านบาท และยอดขายต่อสาขาที่ 37 ล้านบาท ส่วน MK มีมาร์เก็ตแคปสาขาที่ 117 ล้านบาท และยอดขายต่อสาขาที่ 24 ล้านบาท และมีอัตราการทำกำไรที่ใกล้เคียงกัน 

 

ราคาซื้อคิดเป็น Trailing PER 27x เทียบกับ MK ที่มีตัวเลข 22x ทำให้ ‘ไม่แพง’ และเมื่อเทียบกับร้านอาหารอื่นจะพบว่า ZEN Restaurant มี PER อยู่ที่ 28x และ After You อยู่ที่ 47x

 

ปี 2566 เล็งไปเปิดที่สระบุรี สุพรรณบุรี และโคราช

สำหรับเงินที่ได้มา นัทธมนเผยว่า ราว 300-400 ล้านบาทจะนำไปทำครัวกลางซึ่งจะเปิดในสิ้นปีหน้า ส่วนที่เหลือจะเป็นเงินทุนหมุนเวียนในธุรกิจต่อไป

 

ปีหน้าจะเปิดร้านใหม่อย่างน้อย 5 สาขา นอกจากในกรุงเทพฯ และปริมณฑลแล้ว ยังมีแผนขยายไปต่างจังหวัด โดยจะเริ่มที่ภาคกลางก่อน จังหวัดที่เล็งๆ ไว้ก็เช่น สระบุรี สุพรรณบุรี และภาคตะวันออกเฉียงเหนือคือ โคราช 

 

ขณะเดียวกันมีแผนขยายไปต่างประเทศ เริ่มจากกลุ่มประเทศ CLMV ได้แก่ กัมพูชา สปป.ลาว เมียนมา และเวียดนาม เบื้องต้นอาจจะได้เห็นที่ สปป.ลาวก่อน เนื่องจากมีผู้เข้ามาติดต่อแล้วแต่ยังไม่ได้สรุปว่าจะเปิดเมื่อไร

 

รายได้ปีนี้คาดว่าจะปิดที่ใกล้เคียงกับ 3 พันล้านบาท ซึ่งเป็นไปตามแผนที่ได้ประเมินมาก่อนหน้านี้ 

  • LOADING...

READ MORE






Latest Stories

Close Advertising