ซอยสุขุมวิท 11 มีชื่อเสีย(ง) ในฐานะซอยเริงรมย์และแหล่งปาร์ตี้ของเหล่านักท่องเที่ยวต่างชาติ ซึ่งคนส่วนใหญ่จะคิดว่าอาจผ่านยุครุ่งเรืองของการตั้งสถานที่ดื่มค็อกเทลในย่านนั้นมาแล้ว กระนั้นกลับไม่วายมีบาร์ค็อกเทลแห่งใหม่เกิดขึ้นในซอยที่เคยรุ่งเรืองถึงขีดสุดนี้มาจนได้
ทางผ่านเข้าบาร์ที่ต้องผ่านห้องล้างรูปเสียก่อน
Find The Photo Booth (ไฟด์ เดอะ โฟโต้บูธ) คือบาร์ลับที่ตั้งอยู่ข้างในร้าน Score Bar ซึ่งเป็นสปอร์ตบาร์สำหรับคอกีฬาอีกที จากชื่อก็บอกอย่างชัดเจนว่าเหล่านักดื่มค็อกเทลต้องหาบูธถ่ายรูปจึงจะเข้าไปในตัวบาร์ลับแห่งใหม่นี้ได้ ซึ่งบาร์ลับแห่งนี้เป็นเหมือนบาร์ภาคต่อจาก #FindTheLockerRoom ที่ได้เหล่าหัวกะทิด้านบาร์ของเอเชียมาลงทุนลงแรงกันเพื่อปลุกให้บาร์ลับแห่งนี้สร้างภาพลักษณ์ใหม่ๆ ให้แก่ย่านที่เคยโด่งดัง ทั้งเป็นบ้านของเหล่านักย่ำราตรี ทั้งคลับที่เคยโด่งดังที่สุดอย่าง Bed Supperclub หรือ Q Bar
ยินดีต้อนรับสู่บาร์หลังห้องมืด
The Vibe
เมื่อพบกับบูธถ่ายรูปแล้วอย่าคิดว่านี่เป็นเพียงดิสเพลย์ที่ตั้งไว้เฉยๆ เพราะถ่ายรูปได้จริง ดังนั้นอย่ารอช้า รีบหาวิธีเอาว่าปุ่มไหนหรือตรงไหนเป็นกลไกเปิดประตูสู่โลกค็อกเทลแห่งนี้ เมื่อคุณหาเจอแล้วจะพบกับเซอร์ไพรส์อีกชั้น นั่นคือห้องมืดที่ตกแต่งเลียนแบบห้องมืดที่ใช้สำหรับล้างและอัดรูป จากนั้นเดินเข้าไปตามทางมืดๆ จนเจอบานประตูสำหรับเข้าไปยังบาร์ลับแห่งนี้ จะว่าไปนี่ถือว่าเป็นบาร์ลับที่ลูกเล่นแพรวพราวทีเดียว
ทันทีที่เดินเข้าไปในตัวบาร์จะพบว่าเป็นบาร์เน้นสีทึมๆ แล้วมีกรอบโพรซีเนียมเป็นส่วนประกอบในการตกแต่งภายในของที่นี่ แต่ตัดด้วยสีอบอุ่นด้วยแสงสีส้มกับหนังไม้สีน้ำตาลอ่อนตัดในบริเวณบาร์ ทำให้ภายในร้านไม่ดูอึดอัด บรรยากาศน่านั่ง แลดูสบายและผ่อนคลาย
Bramble ค็อกเทลที่เกิดขึ้นในยุค 80s โดย ดิค แบรดเซลล์
The Drinks
คอนเซปต์เครื่องดื่มของที่นี่เน้นแบบมาเป็นคู่ ระหว่างคลาสสิกค็อกเทลกับเครื่องดื่มที่มีความพลิกแพลงโดยใช้วัตถุดิบท้องถิ่นเข้ามาผสม มาถึงแล้วแนะให้ลอง Bramble (360 บาท) นี่เป็นค็อกเทลที่เกิดขึ้นในยุค 80s คิดค้นโดยบาร์เทนเดอร์ ดิค แบรดเซลล์ (Dick Bradsell) แห่งย่านโซโหของลอนดอน แก้วนี้คุณจะได้สัมผัสความเปรี้ยวและกลิ่นหอมอันเป็นเอกลักษณ์จากแคร็มเดอมูร์ (Crème de Mure) เหล้าที่ทำจากน้ำแบล็กเบอร์รี เสริมความเปรี้ยวอีกระดับด้วยน้ำมะนาว และมีเบสเป็นดรายจินที่เปี่ยมด้วยกลิ่นหอมจากจูนิเปอร์ นับเป็นเครื่องดื่มที่กระตุ้นประสาทและเติมความสดชื่นให้คืนกลับมา
From SOHO to Soi 11
From SOHO to Soi 11 (390 บาท) เป็นค็อกเทลที่พัฒนามาจากค็อกเทลข้างต้น โดยเริ่มจากการเปลี่ยนแคร็มเดอมูร์เป็น Crème de Cassis (แคร็มเดอคาสซิส) ที่ทำจากผลแบล็กเคอร์แรนต์แทน จึงให้รสเปรี้ยวที่แตกต่างออกไป ส่วนเบสก็ยังเป็นดรายจิน แต่ถูกนำเอาไปอินฟิวส์กับกาแฟจากเชียงใหม่ และเติมความหวานเล็กน้อยด้วยน้ำเชื่อมน้ำจากน้ำโทนิกใส่เครื่องเทศที่ทางร้านทำขึ้นเอง ถือเป็นทวิสต์ค็อกเทลที่ดูสุขุมกว่าตัวต้นแบบ
Red Hook คิดค้นโดยบาร์เทนเดอร์ เอ็นโซ เออร์ริโก
Red Hook (360 บาท) นี่คือเครื่องดื่มสปิริตฟอร์เวิร์ดที่น่าจะเป็นที่ถูกอกถูกใจของเหล่านักดื่มสายขมที่รสชาติละม้ายคล้ายค็อกเทลคลาสสิกอย่าง Manhattan และ Brooklyn ซึ่งเครื่องดื่มแก้วนี้คิดค้นขึ้นมาโดยบาร์เทนเดอร์ เอ็นโซ เออร์ริโก (Enzo Errico) ใช้ส่วนผสมไม่เยอะ เบสเป็นไรย์วิสกี้ แต่งรสชาติเพิ่มเติมด้วย Punt e Mes เวอร์มุทอิตาลี และ Maraschino เหล้าผลเชอร์รีจากมาราสคา คนจนส่วนผสมเข้ากันและให้น้ำแข็งละลายอย่างเหมาะสม จะได้สมดุลของความขมแบบสมุนไพรและรสหวานอันละมุน
(บน) Got Hooked in Sukhumvit รสชาติสมุนไพรไทยที่หอมหวานอยู่ในตัว,
(ล่าง) Three Dots & a Dash รหัสมอร์สแสดงถึงชัยชนะของสัมพันธมิตรที่มีต่อฝ่ายอักษะในสงครามโลก
Got Hooked in Sukhumvit (390 บาท) เนื่องจาก Red Hook มีความเป็นสมุนไพรอยู่ ทางร้านจึงทำใช้เหล้าทำเองที่ใช้สมุนไพรไทยเพื่อทำให้ค็อกเทลแก้วนี้มีรสชาติแบบที่คุ้นเคยกับคนไทยและสร้างความแปลกใหม่ให้กับแขกต่างชาติ โดยเบสยังคงเป็นไรย์วิสกี้เช่นเดิม แล้วใส่เวอร์มุทหวานเข้าไป จึงให้รสชาติแบบสมุนไพรไทยๆ ที่มีความหอมหวานอยู่ในตัว
คนชอบรัมอาจหลงรักแก้วนี้ Three Dots & a Dash (360 บาท) ซึ่งเบสด้วยรัมถึง 2 ชนิดคือ รัมผสมเครื่องเทศ (Spiced Rum) และดาร์กรัม (Dark Rum) ผสมด้วยน้ำมะนาวและน้ำส้ม แล้วเหยาะบิตเทอร์เล็กน้อย สำหรับ Three Dots & a Dash ถูกคิดค้นขึ้นเพื่อเป็นสัญลักษณ์ของชัยชนะของฝ่ายสัมพันธมิตรที่มีต่อฝ่ายอักษะในสงครามโลกครั้งที่ 2 ชื่อของค็อกเทลสื่อถึงรหัสมอร์สที่ใช้ในการสื่อสารสมัยนั้น ทำให้การ์นิชจึงเป็นเชอร์รี 3 ลูกเสียบไม้ที่เปี่ยมด้วยรสชาติเปรี้ยวหวาน สดชื่น และเครื่องเทศจัดจ้านชัดเจน
Morse Code Gone Bananas
ยังคงสนุกกับชื่อค็อกเทลที่ชวนสงสัยต่อเนื่อง Morse Code Gone Bananas (390 บาท) ยังคงเบสด้วยรัม กระนั้นเป็นรัมที่นำไปอินฟิวส์กับกล้วยอบ เติมเหล้าคอร์เดียล (Cordial) ที่ทำจากโหระพาและผลจูนิเปอร์ ใส่น้ำมะนาวสดและน้ำฝรั่ง แก้วนี้ถือเป็นค็อกเทลที่ชวนให้ได้รับรสชาติของผลไม้ที่หลากหลายแต่กลับลงตัวได้อย่างดี ไม่โดนกลบจากความหวานของกล้วยหรือความเปรี้ยวจี๊ดของมะนาวจนเกินไป และหลายคนคงประหลาดใจถ้าเราบอกว่าค็อกเทลนี้แท้จริงแล้วเป็นค็อกเทลสไตล์ติกิ แต่ไหงกลับมีรูปลักษณ์เรียบหรู ผิดจากภาพค็อกเทลติกิที่มักตกแต่งอัดแน่นไปด้วยความชาวเกาะที่เราคุ้นเคยกันมา
ออกมาตามบูธถ่ายสติ๊กเกอร์กันได้แล้ว
Find The Photo Booth
Open: วันจันทร์-อาทิตย์ เวลา 19.00-02.00 น.
Address: สักแห่งหลัง Score Bar ซอยสุขุมวิท 11 กรุงเทพฯ
Budget: 360-400 บาท
Contact: 0 2117 2636
Map:
- Punt e Mes คืออิตาเลียนเวอร์มุทจากประเทศอิตาลี ส่วนผสมของควินิน และให้รสชาติขมหวานแบบสมุนไพร
- Cordial เป็นสปิริตชนิดหนึ่งที่ถือกำเนิดในอิตาลี มีสรรพคุณเป็นยา ในสมัยฟื้นฟูศิลปะวัฒนธรรมมักดื่มกันเพื่อบำรุงหัวใจ