×

คำสาปที่ถูกทำลายกับความหวังใหม่ที่เริ่มชัดเจนของอังกฤษ

04.07.2018
  • LOADING...

HIGHLIGHTS

3 MINS READ
  • จุดโทษของ จอร์แดน เฮนเดอร์สัน ที่พลาดทำให้ถึง แกเร็ธ เซาท์เกต ที่หัวใจสลาย หลังยิงจุดโทษลูกสุดท้ายในเกมรอบรองชนะเลิศกับเยอรมนี เมื่อศึกฟุตบอลยูโร 1996
  • เซาท์เกต เชื่อว่า ชัยชนะที่ได้มาอย่างยากลำบากในวันนี้ จะเป็น ‘แรงบันดาลใจ’ แก่ทีมชุดนี้ และเหล่าเยาวชนรุ่นหลังที่จะก้าวเดินตามในเวลาต่อมา
  • ความพิเศษของอังกฤษชุดนี้ไม่ใช่เรื่องของพรสวรรค์หรือฝีเท้า หากแต่เป็นการเล่นด้วยทีมสปิริตที่ยิ่งเวลาผ่านไปก็ยิ่งเห็นและสัมผัสได้อย่างชัดเจนมากขึ้น

มันอดคิดไม่ได้นะครับว่า ฤามันจะไม่ใช่เวลาของพวกเขาอีกแล้ว?

 

ไม่ว่าจะประตูตีเสมอในช่วงทดเวลาบาดเจ็บของ เยอร์รี มินา ที่ต่อความหวังให้กับ โคลอมเบียไปอีก 30 นาที หรือลูกยิงจุดโทษของ จอร์แดน เฮนเดอร์สัน ที่ไปไม่ถึงก้นตาข่าย เพราะถูกปลายมือของ ดาวิด ออสปินา ปัดป้องออกไปก่อน

 

ภาพความทรงจำในวันวานกับอาการหัวใจสลายของ แกเร็ธ เซาท์เกต หลังยิงจุดโทษลูกสุดท้ายในเกมรอบรองชนะเลิศกับเยอรมนี เมื่อศึกฟุตบอลยูโร 1996 ก็ผุดขึ้นมาในหัวด้วย

 

เสี้ยววินาทีนั้นผมคิดไปไกลถึงว่าเซาท์เกตจะหาวิธีปลอบใจเฮนเดอร์สัน คนที่ได้รับการยกย่องว่าเป็น Second Captain ของอังกฤษอย่างไรให้ก้าวพ้นจากความเศร้าในครั้งนี้ โดยเฉพาะมันเป็นการอกหักต่อเนื่องหลังจากที่พวกเขาหมดทางสู้เรอัล มาดริดในรอบชิงชนะเลิศยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก

 

แล้วก็อดคิดไปถึงสถิติของอังกฤษที่เลวร้ายในการดวลจุดโทษในทัวร์นาเมนต์ใหญ่ๆ 7 ครั้ง เป็นการแพ้ถึง 6 ครั้ง และหากนับเฉพาะในฟุตบอลโลกแพ้รวด 3 ครั้ง ตั้งแต่รอบรองชนะเลิศฟุตบอลโลกปี 1990, รอบ 16 ทีมสุดท้ายกับอาร์เจนตินาในฟุตบอลโลกที่ฝรั่งเศสปี 1998 และรอบ 8 ทีมสุดท้ายกับโปรตุเกสในฟุตบอลโลกที่เยอรมนีในปี 2006

 

ทำอย่างไรพวกเขาถึงจะก้าวผ่านไปได้นะ?

 

แต่ยังไม่ทันได้จิตตกเท่าไร มาเตอุส อูริเบ ก็ซัดไปชนมุมสามเหลี่ยมของประตูอย่างจัง และทำให้สถานการณ์ของอังกฤษ นอกจากจะไม่เสียเปรียบแล้วยังเรียกขวัญกำลังใจกลับมาได้อย่างรวดเร็วด้วย

 

ความจริงถ้าอูริเบยิงเข้าไปในลูกนั้น อังกฤษจะตกอยู่ใต้ความกดดันอย่างมหาศาลทันที และเป็นไปได้ที่บทสรุปของเกมอาจจะเปลี่ยนไปอีกด้าน

 

สิ่งที่เกิดขึ้นนั้นราวกับเทพีแห่งโชคได้หันมายิ้มให้อังกฤษบ้าง หลังจากที่เชิดหน้าหนีใส่มานานเหลือเกิน

 

สุดท้ายความกดดันไปอยู่ที่ คาร์ลอส บัคกา หัวหอกโคลอมเบีย ที่ต้องรับหน้าที่ผู้สังหารคนสุดท้าย

 

ในเข็มวินาทีนั้น ถึงจะเป็นบัคกา นักเตะผู้ที่ผ่านความยากลำบากในชีวิตมาอย่างมากมายมหาศาล ถึงขั้นที่ช่วงชีวิตหนึ่งต้องเป็นกระเป๋ารถเมล์ เพื่อหาเลี้ยงชีพควบคู่ไปกับการหล่อเลี้ยงความฝันในการเล่นฟุตบอล ความกดดันที่เกิดขึ้นมันหนักหน่วงและถ่วงขา

 

การตัดสินใจเลือกมุมยิง น้ำหนักของลูกบอลไม่ดีพอที่จะผ่าน จอร์แดน พิกฟอร์ด ไอ้ประตูตัวจ้อย (ตามคำหยามหยันของ ติโบต์ กูร์ตัวส์ ไอ้ประตูก้านยาวของเบลเยียม) ที่ถึงจะพุ่งไปอีกทาง แต่มือยังไวและแกร่งพอที่จะปัดป้องบอลออกมาได้

 

จังหวะนี้คือวินาทีแห่งชัยชนะของอังกฤษ ที่พวกเขาเฝ้ารอคอยมายาวนาน และมีความหมายอย่างยิ่งครับ

 

สำหรับเซาท์เกตผู้ที่เผชิญหน้ากับฝันร้ายชั่วนิรันดร์เมื่อ 22 ปีที่แล้ว ชัยชนะครั้งนี้ไม่ต่างอะไรจากการปลดปล่อย แม้ว่าสุดท้ายเจ้าตัวจะยืนยันว่า สิ่งที่เกิดขึ้นในวันนี้ไม่สามารถจะลบสิ่งที่ติดอยู่ในใจของเขาได้

 

แต่อย่างน้อยที่สุดเซาท์เกตเชื่อว่า ชัยชนะที่ได้มาอย่างยากลำบากในวันนี้จะเป็น ‘แรงบันดาลใจ’ แก่ทีมชุดนี้ และเหล่าเยาวชนรุ่นหลังที่จะก้าวเดินตามในเวลาต่อมา

 

 

“เราควรจะเชื่อในสิ่งที่สามารถเกิดขึ้นได้ในชีวิต ไม่ใช่ติดอยู่กับประวัติศาสตร์หรือความคาดหวัง ผมคิดว่า เด็กๆ ของผมได้แสดงให้เราได้เห็นแล้วในวันนี้”

 

สิ่งที่เซาท์เกตพูดนั้นผมแอบหวังว่า จะเป็นไปตามนั้นครับ เพราะอังกฤษเผชิญกับช่วงเวลาของความทุกข์ยากทางเกมลูกหนังมานาน จากชาติมหาอำนาจเป็นราชสีห์ผู้ยิ่งใหญ่ ในช่วงที่ผ่านมาอังกฤษไม่ต่างอะไรจากลูกแมวเชื่องๆ ที่ไร้พิษสง

 

จากเสียงคำรามกึกก้อง ที่ผ่านมาเราได้ยินแค่เสียงร้องแง้วๆ เหมือนแมวหิวข้าวเท่านั้น

 

ชัยชนะของอังกฤษเหนือโคลอมเบียอาจไม่ใช่ชัยชนะที่ยิ่งใหญ่หรือเลอค่ามากมายนัก แต่มันก็ทำให้เราได้เห็นว่าอนาคตของพวกเขานั้นมีอยู่จริง และดูเหมือนพวกเขาจะก้าวเดินได้อย่างถูกทาง โดยเฉพาะภายใต้การนำของเซาท์เกตที่กลายเป็น ‘ผู้กู้ชีพ’ อังกฤษที่แท้จริง หลังจากที่พวกเขาผ่านการลองผิดมากกว่าลองถูกอยู่นาน

 

โคลอมเบียไม่ใช่บราซิล และพวกเขาก็อาจไม่ได้แกร่งเท่าอุรุกวัย หรือทีมบิ๊กเนมอย่างฝรั่งเศสหรือเบลเยียม แต่จากสิ่งที่ได้เห็นในฟุตบอลโลกครั้งนี้ทีมจากละตินอเมริกาทีมนี้ไม่ใช่ทีมไก่กา ซึ่งตลอด 120 นาที ที่ซามารา สเตเดียม ผมคิดว่า เราก็น่าจะเห็นภาพที่ตรงกัน

 

เพียงแต่อังกฤษเองก็ไม่ใช่ทีมเด็กน้อยที่อ่อนแอแต่อย่างใด ในทางตรงกันข้ามพวกเขาสามารถยืนหยัดและต่อสู้ได้อย่างน่าปรบมือให้

 

ความพิเศษของอังกฤษในชุดนี้ไม่ใช่เรื่องของพรสวรรค์หรือฝีเท้า หากแต่เป็นการเล่นด้วยทีมสปิริต ที่ยิ่งเวลาผ่านไปก็ยิ่งเห็นและสัมผัสได้อย่างชัดเจนมากขึ้น

 

แฮร์รี เคน ไม่ใช่กัปตันที่ใช้คำพูดหากแต่ใช้การกระทำแทนน้ำเสียง ขณะที่เฮนเดอร์สันไม่ได้เป็นกัปตัน แต่ทำหน้าที่สนับสนุนเคนในฐานะกัปตันได้อย่างยอดเยี่ยม สมกับที่ผ่านการเคี่ยวกรำในบทกัปตันลิเวอร์พูล ที่ต้องรับช่วงต่อจากคนที่ไม่มีใครคิดว่าจะแทนที่ได้อย่าง สตีเวน เจอร์ราร์ด

 

 

มากกว่าสปิริตคือเรื่องหัวจิตหัวใจ ที่ผ่านมาถึงจุดนี้ แข้ง Three Lions เติบโตและแข็งแกร่งขึ้นจากวันแรกที่ลงสนามมาก

 

จากการเอาชนะตูนิเซียได้ในช่วงทดเวลาบาดเจ็บ ผ่านมาถึงการทำใจสู้ต่อกับโคลอมเบียได้หลังโดนตีเสมอในช่วงทดเวลาบาดเจ็บ

 

มันคือการผ่านบททดสอบยากๆ ที่สำคัญๆ ได้ทั้งหมด

 

ในความหมายถึงบททดสอบในเรื่องทางใจนะครับ

 

สิ่งที่เหลือจากนี้ก็อยู่ที่พวกเขาแล้วว่าจะไปได้ไกลถึงไหน ซึ่งมันจะมีเรื่องของระดับฝีเท้า เรื่องของประสบการณ์ที่เข้ามาเกี่ยวข้องมากขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งแน่นอนว่าไม่ใช่ง่ายต่อให้เส้นทางของพวกเขาไปจนถึงนัดชิงชนะเลิศจะดูเบากว่าอีกสายมากก็ตาม

 

จะไปได้ไกลถึงไหนนั้นอยู่ที่ตัวพวกเขา

 

อย่างน้อยที่สุดในเวลานี้ผมคิดว่าเราพอจะได้เห็นประกายความหวังจากทีมชุดนี้

 

และเกิดความรู้สึกแปลกๆ ว่า ไม่แน่ว่าอังกฤษอาจจะสร้างสิ่งที่พิเศษให้เกิดขึ้นในฟุตบอลโลกที่รัสเซียก็เป็นได้ครับ

 

  • LOADING...

READ MORE




Latest Stories

Close Advertising