×

ตารางและผลการแข่งขันฟุตบอลโลกล่าสุด

โดย THE STANDARD TEAM
16.07.2018
  • LOADING...
 
 
 
 

ผลการแข่งขันรอบชิงชนะเลิศ

 

สรุปผลการแข่งขันฟุตบอลโลก 2018 ประจำวันจันทร์ที่ 16 กรกฎาคม 2561

 

 

ฝรั่งเศส VS โครเอเชีย

ฝรั่งเศสเหนือชั้นกว่า เอาชนะโครเอเชีย 4-2 คว้าแชมป์ฟุตบอลโลกสมัยที่ 2 ในรอบ 20 ปีได้สำเร็จ!

 

ศึกการแข่งขันฟุตบอลโลก 2018 รอบชิงชนะเลิศที่สนามลุจนีกี สเตเดียม ทีมชาติฝรั่งเศสพบโครเอเชีย เกมนี้ผู้เล่นตัวหลักของทั้งสองทีมพร้อมเต็มสูบ 100% มาในแผนการเล่น 4-2-3-1 ฝั่งเลส์ เบลอส์ มี อูโก โยริส ลงประจำการในตำแหน่งผู้รักษาประตู ร่วมกับ เบนจามิน ปาวาร์, ราฟาแอล วาราน, ซามูเอล อุมติตี้ และลูคัส เอร์นานเดซ แดนกลางใช้ เอ็นโกโล ก็องเต, พอล ป็อกบา พร้อมขยับ แบลส มาตุยดี ขึ้นมาเล่นกราบซ้าย ฝั่งขวามี คีเลียน เอ็มบัปเป้ กองกลางตัวรุกใช้ อองตวน กรีซมันน์ เล่นร่วมกับศูนย์หน้า โอลิวิเยร์ ชิรูด์ 

 

ฝั่งโครเอเชียใช้ ดานิเยล ซูบาซิช ลงเล่นเป็นผู้รักษาประตู แผงหลัง 4 คนใช้ ซิเม เวอร์ซัลจ์โก, เดยัน ลอฟเรน, โดมาโกจ์ วิด้า และอีวาน สตรินิช ลงประสานงานร่วมกัน กองกลาง 3 คนใช้ อีวาน ราคิติช, มาร์เซโล โบรโซวิช และคีย์แมนคนสำคัญ ลูกา โมดริช ในตำแหน่งปีกซ้าย และปีกขวามี อีวาน เปริซิช และอันเต้ เรบิช โดยศูนย์หน้าตัวเป้าทิ้ง มาริโอ มานด์ซูคิช ยืนค้ำในแดนหน้า

 

เริ่มเกมได้ 7 นาที โครเอเชียได้ลูกเตะมุมก่อน แต่ฝรั่งเศสยังช่วยกันเคลียร์ออกมาได้ ก่อนที่อีก 11 นาทีต่อมาทัพตราไก่จะได้ประตูขึ้นนำไปก่อนอย่างรวดเร็ว กรีซมันน์เปิดฟรีคิกเข้ามาในกรอบเขตโทษ และเป็นมานด์ซูคิชที่โหม่งเข้าประตูตัวเองไป หลังโดนขึ้นนำโครเอเชียก็พยายามเดินเกมรุกอย่างต่อเนื่อง ก่อนที่ความพยายามของพวกเขาจะมาประสบความสำเร็จในนาทีที่ 28 เปริซิชดึงบอลหลบผู้เล่นฝรั่งเศส 1 จังหวะ ก่อนซัดเข้าไปอย่างแม่นยำ ฝรั่งเศสเสมอโครเอเชีย 1-1

 

นาทีที่ 39 โครเอเชียมาพลาดเสียลูกจุดโทษง่ายๆ เมื่อเปริซิชดันไปใช้มือปัดบอลในกรอบเขตโทษ ผู้ตัดสินเรียกใช้เทคโนโลยี VAR ก่อนให้จุดโทษกับฝรั่งเศส และเป็นกรีซมันน์ที่สังหารเข้าไปอย่างเลือดเย็นให้ทีมขึ้นนำอีกครั้ง และเป็นประตูที่ 4 ของดาวยิงจากสโมสรแอตเลติโก มาดริด ในทัวร์นาเมนต์นี้แล้ว จบครึ่งแรก เลส์ เบลอส์ นำ 2-1

 

เริ่มเกมครึ่งหลังในนาทีที่ 51 เอ็มบัปเป้ติดสปีดขึ้นมาทางด้านขวาของสนาม ก่อนแซงผู้เล่นโครเอเชียและได้ลองยิงเหน่งๆ แต่ซูบาซิชยังเซฟเอาไว้ได้ ก่อนที่ 8 นาทีต่อมาป็อกบาจะได้ลองซัดด้วยซ้ายหน้ากรอบเขตโทษให้ฝรั่งเศสขึ้นนำโครเอเชียอีกครั้งเป็น 3-1 และเป็นประตูแรกในฟุตบอลโลกครั้งนี้ของเจ้าตัว

 

หลังนำห่าง 2 ประตู ฝรั่งเศสยังคงเป็นฝ่ายคุมเกมได้อย่างต่อเนื่อง และเป็นโกลเดนบอยเอ็มบัปเป้ที่ยิงให้ทัพเลส์ เบลอส์ นำห่างอีกครั้งเป็น 4-1 ในนาทีที่ 65 และเป็นประตูที่ 4 ของศูนย์หน้าจากปารีส แซงต์ แชร์กแมง ในฟุตบอลโลกครั้งนี้ นำเป็นดาวซัลโวร่วมของทีมคู่กับกรีซมันน์ อย่างไรก็ดี 4 นาทีต่อมาโยริสเล่นติดประมาทจนพลาดเคลียร์บอลไปโดนเท้ามานด์ซูคิชเข้าประตูให้โครเอเชียไล่ตีตื้นขึ้นมาติดๆ ที่ 2-4

 

ช่วงเวลาที่เหลือทำอะไรกันไม่ได้ ฝรั่งเศสเอาชนะโครเอเชียได้ 4-2 พร้อมคว้าแชมป์ฟุตบอลโลกสมัยที่ 2 ได้สำเร็จในรอบ 20 ปี ขณะที่ ดิดิเยร์ เดส์ชองส์ ยังเป็นโค้ชคนที่ 3 ในประวัติศาสตร์ลูกหนังที่คว้าถ้วยฟุตบอลโลกได้สำเร็จทั้งในฐานะผู้เล่นและโค้ชต่อจาก มาริโอ ซากัลโล (บราซิล) และฟรานซ์ เบคเคนบาวเออร์ (เยอรมนี)

 


 

ผลการแข่งขันรอบชิงที่ 3 

 

สรุปผลการแข่งขันฟุตบอลโลก 2018 ประจำวันอาทิตย์ที่ 15 กรกฎาคม 2561

 

 
 
เบลเยียม VS อังกฤษ
เบลเยียมย้ำแค้นอังกฤษ 2-0 คว้าอันดับ 3 ฟุตบอลโลก
 
เบลเยียมย้ำแค้นอังกฤษอีกครั้งด้วยสกอร์ 2-0 จากการทำประตูของ โธมัส มูนิเยร์ ในช่วงต้นเกม และ เอเดน อาซาร์ ในช่วงก่อนหมดเวลา 8 นาที คว้าอันดับ 3 การแข่งขันฟุตบอลโลก 2018 ไปครอง
 
เกมที่เซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก อารีนา เป็นการกลับมาพบกันของเบลเยียมซึ่งพ่ายต่อฝรั่งเศส ตกรอบรองชนะเลิศมากับอังกฤษที่ผิดหวังด้วยการแพ้ต่อโครเอเชียในช่วงการต่อเวลาพิเศษ โดยทั้งสองทีมเคยพบกันมาแล้วในรอบแรก และเบลเยียมชนะไป 1-0 
 
นัดนี้ เบลเยียมมีการปรับผู้เล่นเพียงแค่ 2 ตำแหน่งเท่านั้น ขณะที่อังกฤษมีการปรับเปลี่ยนถึง 5 ตำแหน่ง และเริ่มเกมมาทางเบลเยียม ได้ประตูขึ้นนำอย่างรวดเร็วตั้งแต่นาทีที่ 4 เมื่อได้จังหวะสวนกลับ และเป็น โธมัส มูนิเยร์ วิ่งแบ็กขวาเติมขึ้นมาในเขตโทษวิ่งมายิงเข้าไปอย่างเด็ดขาดให้ทีมขึ้นนำ 1-0
 
หลังได้ประตูขึ้นนำ เบลเยียมยังทำได้เหนือกว่าแต่ไม่สามารถบวกสกอร์เพิ่มได้แต่อย่างใด ขณะที่อังกฤษเล่นไม่ไหลลื่นและไม่สามารถทำอะไรคืนได้จนจบครึ่งแรก จนต้องมีการแก้เกมส่ง มาร์คัส แรชฟอร์ด และ เจสซี ลินการ์ด ลงมาปรับแนวรุกและทำให้อังกฤษดูดีขึ้น
 
แต่ในขณะที่อังกฤษพยายามบุกหนักเพื่อตีเสมอ ก็มาโดนเกมสวนกลับของเบลเยียมเล่นงานอีกครั้งในนาทีที่ 82 โดยเป็น เอเดน อาซาร์ ได้หลุดเข้าเขตโทษ ก่อนยิงสวนตัว จอร์แดน พิกฟอร์ด เข้าไปอย่างเหนือชั้น และเป็นประตูย้ำชัยให้เบลเยียมคว้าชัยชนะ 2-0 ได้อันดับ 3 ของการแข่งขันฟุตบอลโลกครั้งนี้ไปครอง และเป็นการทำผลงานดีที่สุดในฟุตบอลโลกของพวกเขาด้วย ขณะที่อังกฤษได้อันดับ 4 เป็นสมัยที่ 2 หลังจากเคยได้มาแล้วครั้งหนึ่งในปี 1990
 
 

 

ผลการแข่งขันรอบรองชนะเลิศ

 

สรุปผลการแข่งขันฟุตบอลโลก 2018 ประจำวันพฤหัสบดีที่ 12 กรกฎาคม 2561

 

 

โครเอเชีย VS อังกฤษ

It’s Not Coming Home! อังกฤษฝันสลาย โครเอเชียผงาดแซง 2-1 เข้าชิงฟุตบอลโลกครั้งแรกในประวัติศาสตร์

 

เกมการแข่งขันนัดสุดท้ายในรอบรองชนะเลิศ โครเอเชียปะทะอังกฤษ เกมนี้ทั้งสองทีมยังเลือกใช้ผู้เล่นชุดหลัก 11 ตัวจริง ออกสตาร์ทในแผนถนัด โครแอตมี อีวาน ราคิติช, มาร์เซโล โบรโซวิช และ ลูกา โมดริช เป็นสามหัวใจสำคัญในแผงกลาง ด้านอังกฤษใช้ดาวซัลโวประจำทัวร์นาเมนต์ แฮร์รี เคน ยืนค้ำในแดนหน้าคู่กับ ราฮีม สเตอร์ลิง

 

เริ่มเกมมา 4 นาที อังกฤษได้ลุ้นก่อนจากฟรีคิกหน้ากรอบเขตโทษ และเป็น คีแรน ทริปเปียร์ ที่บรรจงปั่นโค้งๆ เข้าไปอย่างสวยงามให้ทีมขึ้นนำอย่างรวดเร็ว 1-0 และเป็นประตูที่ 9 จาก 12 ลูกในทัวร์นาเมนต์นี้แล้วที่สิงโตคำรามทำได้จากลูกตั้งเตะ หลังจากนั้นทัพตราหมากรุกพยายามตั้งเกมบุกอยู่เรื่อยๆ จนนาทีที่ 19 ก็มาได้ลุ้นตีเสมอจากจังหวะส่องไกลของ อีวาน เปริซิช แต่บอลยังหลุดกรอบออกไป จบ 45 นาทีแรก อังกฤษนำ 1-0 

 

ครึ่งหลังโครเอเชียเดินหน้าเปิดเกมบุกใส่ทรีไลออนส์อย่างต่อเนื่อง และความพยายามของพวกเขาก็ประสบความสำเร็จในนาทีที่ 68 ซิเม เวอร์ซัลจ์โก เปิดบอลเข้ามาจากกราบขวา เปริซิชวิ่งสอดขึ้นมาจากตัวสุดท้าย ก่อนกระโดดแตะบอลเข้าไปให้ทีมตามตีเสมอ 1-1 ก่อนที่อีก 4 นาทีถัดมาโครเอเชียจะชวดโอกาสขึ้นนำ เมื่อเปริซิชคนเดิมดันยิงบอลไปชนเสา ยิ่งเล่น โมเมนตัมของเกมก็เริ่มหันมาทางโครแอต จนอังกฤษต้องรีบปรับทัพ เปลี่ยน ราฮีม สเตอร์ลิงออก แล้วส่ง มาร์คัส แรชฟอร์ด ลงมาเล่นแทน ท้ายเกมยังใส่สกอร์เพิ่มกันไม่ได้ จบ 90 นาทีต้องไปลุ้นกันต่อในช่วงต่อเวลาพิเศษ

 

ช่วงต่อเวลาพิเศษนาทีที่ 98 อังกฤษเกือบเป็นฝ่ายขึ้นนำบ้างจากลูกเตะมุม จอห์น สโตนส์ ได้ขึ้นโหม่งคนเดียว แต่เวอร์ซัลจ์โกยังโหม่งสกัดออกมากจากเส้นประตูได้ ในที่สุดโครเอเชียก็มาได้ประตูขึ้นนำสำเร็จในนาทีที่ 109 เปริซิชโขกชงย้อนกลับหลังให้มาริโอ มานด์ซูคิช ได้ซัดเข้าไป โครเอเชียนำ 2-1 

 

ช่วงเวลาที่เหลือ อังกฤษได้แค่ป้วนเปี้ยนไปมาหน้ากรอบเขตโทษ จบเกม โครเอเชียชนะอังกฤษได้สำเร็จ ผ่านเข้าสู่รอบชิงชนะเลิศฟุตบอลโลกเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ โดยจะเข้าไปเจอกับทีมชาติฝรั่งเศสในวันอาทิตย์ที่ 15 ก.ค. นี้ เวลา 22.00 น. ส่วนผู้แพ้อย่างอังกฤษจะพบกับทีมชาติเบลเยียมในวันเสาร์ที่ 14 ก.ค. เวลา 21.00 น. เพื่อลุ้นแย่งอันดับที่ 3

 


 

สรุปผลการแข่งขันฟุตบอลโลก 2018 ประจำวันพุธที่ 11 กรกฎาคม 2561

 

 

ฝรั่งเศส VS เบลเยียม

ฝรั่งเศสไว้ลาย อุมติตี้ โขกชัยเฉือนหวิวเบลเยียม 1-0 ผ่านเข้าชิงเป็นทีมแรกได้สำเร็จในรอบ 12 ปี

 

เกมการแข่งขันนัดแรกรอบรองชนะเลิศ ฟุตบอลโลก 2018 ฝรั่งเศสพบเบลเยียม ฝรั่งเศสได้ แบลส มาตุยดี กลับมาคุมเกมในแดนกลาง ส่วนเบลเยียมเลือกใช้ มูซา เดมเบเล ลงมาเล่นแทน โธมัส มูนิเยร์ ที่โดนโทษแบนจากใบเหลืองที่สะสมครบโควตา เริ่มเกมมาเป็นฝรั่งเศสที่ได้ลุ้นก่อนเมื่อ คีเลียน เอ็มบัปเป้ ใช้ความเร็วกระชากพาบอลขึ้นมาทางกราบขวาก่อนเปิดเข้ากลาง แต่กองหลังเบลเยียมยังช่วยกันสะกัดทิ้งออกไปได้

 

นาทีที่ 15 ปีศาจแดงแห่งยุโรปมีโอกาสได้ลุ้นจากลูกซัดเรียดพื้นของ เอเดน อาซาร์ บอลยังหลุดกรอบออกไป ขณะที่รูปเกมส่วนใหญ่ทั้งสองทีมยังไม่ผลีผลามเดินเกมบุกใส่กันมากนัก ก่อนที่ 6 นาทีต่อมา โทบี้ อัลเดอร์ไวเรลด์ ได้กลับตัวยิงในกรอบเขตโทษ แต่ อูโก โยริส ยังโชว์เหนียวปัดออกไปได้ ท้ายครึ่งแรกฝรั่งเศสมาได้ลุ้นเสียวบ้างจากจังหวะที่แบ็กขวาดาวรุ่ง เบนจามิน ปาวาร์ เติมขึ้นมายิง แต่ ติโบต์ กูร์ตัวส์ ใช้ขาเซฟเอาไว้ได้เช่นกัน

 

ครึ่งหลังเริ่มมาได้แค่ 6 นาที ‘เลส์ เบลอส์’ ก็เป็นฝ่ายขึ้นนำก่อนจากจังหวะลูกเตะมุม อองตวน กรีซมันน์ เปิดเข้ามาให้ ซามูเอล อุมติตี้ เทกตัวขึ้นเหนือผู้เล่นเบลเยียมโขกบอลเข้าไปให้ฝรั่งเศสนำ 1-0 ทำให้สถานการณ์บีบบังคับเบลเยียมต้องเปิดเกมรุกเข้าแลกแบบไม่มีทางเลือก เฮดโค้ช โรแบร์โต มาร์ติเนซ จึงเลือกปรับหมากโดยเอา ดรีส์ เมอร์เทนส์ ลงมาเล่นแทน อุสมาน เดมเบเล

 

นาทีที่ 81 อักเซล วิตเซล ได้โอกาสลองตั้งป้อมซัดระยะไกล บอลยังไปตรงตัวของ โยริส ทุบทิ้งออกมาได้ ช่วงเวลาที่เหลือของเกมทั้งสองทีมทำอะไรไม่ได้ จบเกมฝรั่งเศสผ่านเข้าสู่รอบชิงชนะเลิศได้สำเร็จในรอบ 12 ปี รอพบผู้ชนะระหว่างโครเอเชียและอังกฤษที่จะแข่งกันในวันพฤหัสบดีที่ 12 ก.ย. นี้ เวลา 01.00 น. พร้อมขยับเข้าใกล้โอกาสการเป็นแชมป์ฟุตบอลโลกสมัยที่ 2 เข้าไปทุกขณะ (ก่อนหน้านี้คว้าแชมป์ฟุตบอลโลกได้สมัยเดียวเมื่อปี 1998) ส่วนผู้อกหักอย่างเบลเยียมจะรอพบกับผู้แพ้ของคู่ดังกล่าวเพื่อลุ้นชิงที่ 3 หลังเคยคว้าอันดับที่ 4 มาครองเมื่อปี 1986

 


 

ผลการแข่งขันรอบ 8 ทีม 

 

สรุปผลการแข่งขันฟุตบอลโลก 2018 ประจำวันอาทิตย์ที่ 8 กรกฎาคม 2561

 

 

คู่ที่ 1: สวีเดน VS อังกฤษ

อังกฤษฟอร์มแกร่งอัดสวีเดนนิ่ม 2-0 ทะลุรอบรองชนะเลิศเป็นครั้งแรกในรอบ 28 ปี

 

ทีมชาติอังกฤษ ได้ผ่านเข้าสู่รอบรองชนะเลิศฟุตบอลโลกเป็นครั้งแรกในรอบ 28 ปี หลังเอาชนะทีมชาติสวีเดนได้ไม่ยากด้วยสกอร์ 2-0 จากประตูของ แฮร์รี แม็กไกวร์ และ เดเล อัลลี

 

เกมรอบ 8 ทีมสุดท้ายฟุตบอลโลกคู่ที่ 3 ที่สนามซามารา สเตเดียม เป็นการพบกันระหว่างสวีเดน และ อังกฤษ โดยฝ่ายแรกเอาชนะสวิตเซอร์แลนด์มาได้ ขณะที่ทีม ‘สิงโตคำราม’ เอาชนะโคลอมเบีย มาได้อย่างสุดระทึกในการดวลจุดโทษในรอบที่แล้ว

 

เริ่มเกมมา สวีเดนมีโอกาสได้ลุ้นประตูก่อนจากการสับไกของ มาร์คัส เบิร์ก แต่หลังจากนั้นเป็นอังกฤษ ที่เดินเครื่องเข้าใส่ตลอด แต่มาได้ประตูขึ้นนำ 1-0 จากลูกเตะมุมในนาทีที่ 30 แอชลีย์ ยัง เปิดเข้ามาให้ แฮร์รี แม็กไกวร์ ปราการหลังดาวรุ่งทะยานขึ้นโขกเต็มศีรษะ บอลเข้าประตูไปอย่างสวยงาม โดยหลังจากนั้นอังกฤษมีโอกาสจะได้ประตูเพิ่มอีกหลายครั้ง แต่ทำไม่สำเร็จจนจบครึ่งแรก 

 

ในครึ่งหลัง อังกฤษ มาได้ประตูหนีห่างเป็น 2-0 จากจังหวะที่ เจสซี ลินการ์ด เปิดโค้งเข้ามาให้ เดเล อัลลี ขึ้นโหม่งระยะเผาขนเข้าไป ก่อนที่สวีเดนจะพยายามทวงประตูคืน ซึ่งก็มีโอกาสที่จะทำได้แต่ไม่สามารถยิงผ่านการเซฟของ จอร์แดน พิกฟอร์ด ได้ สุดท้ายอังกฤษรักษาสกอร์และเอาชนะได้สำเร็จ ได้ผ่านเข้าสู่รอบรองชนะเลิศเป็นครั้งแรกในรอบ 28 ปี นับตั้งแต่ฟุตบอลโลก 1990 ที่ประเทศอิตาลี และจะรอพบกับผู้ชนะระหว่างคู่ รัสเซีย และโครเอเชีย ที่จะลงสนามในคู่ดึกคืนนี้

 

คู่ที่ 2: รัสเซีย VS โครเอเชีย

โครเอเชียแม่นกว่า ดวลจุดโทษเฉือนรัสเซีย 4-3 ผ่านเข้าไปชนอังกฤษรอบรองชนะเลิศได้สำเร็จ

 

เกมการแข่งขันนัดสุดท้ายในรอบก่อนรองชนะเลิศ​ (8 ทีมสุดท้าย) เจ้าภาพรัสเซียพบทีมม้ามืดฟอร์มแรง ‘โครเอเชีย’ สถิติก่อนหน้านี้ทั้ง 2 ทีมพบกัน 3 ครั้ง (ไม่เคยพบกันในฟุตบอลโลกเลย) เป็นโครเอเชียที่ชนะได้ 1 ครั้ง ส่วนอีก 2 ครั้งเสมอกัน เกมนี้ทั้งสองทีมยังใช้ผู้เล่นตัวหลักลงเล่นเป็น 11 ตัวจริงเช่นเคย รัสเซียนำทัพมาโดย อิกอร์ อคินเฟเยฟ และ อเล็กซานเดอร์ โกโลวิน ส่วนทีมตราหมากรุกมี ลูกา โมดริช และ อีวาน ราคิติช เป็นหัวใจในแดนกลาง

 

เริ่มเกมได้ 6 นาที ทั้งรัสเซียและโครเอเชียต่างเปิดเกมรุกใส่กันทันที โดยได้โอกาสยิงกันทีมละ 2 ครั้งแต่ยังจบสกอร์ไม่ได้ หลังจากนั้นทั้ง 2 ทีมยังสลับกันรุกสลับกันรับอยู่เรื่อยๆ กระทั่งนาทีที่ 31 เจ้าภาพมาได้ประตูออกนำไปก่อนจากจังหวะที่ เดนิส เชรีเชฟ ทำชิ่งกับ อาร์เทม ซูบา ก่อนรับบอลกลับมาแล้วซัดไกลเข้าไปอย่างสุดสวย และเป็นประตูที่ 4 ของเขาในฟุตบอลโลกหนนี้แล้ว นำเป็นดาวซัลโวลำดับที่ 2 ร่วมกับ โรเมลู ลูกากู และ คริสเตียโน โรนัลโด (ทีมชาติโปรตุเกสตกรอบไปแล้ว)

 

หลังโดนขึ้นนำ โครเอเชียพยายามโหมบุกใส่หมีขาวอย่างหนักจนมาได้ประตูตีเสมอในนาทีที่ 40 ศูนย์หน้าร่างโย่ง มาริโอ มานด์ซูคิช เปิดบอลเข้าไปให้ อังเดรจ์ ครามาริช วิ่งเข้ามาโหม่งในกรอบเขตโทษเข้าประตูไป จบครึ่งแรกเสมอกัน 1-1

 

เริ่มครึ่งหลังนาทีที่ 59 โครเอเชียเฉียดเข้าใกล้การได้ประตูขึ้นนำแบบเส้นยาแดงผ่าแปด อีวาน เปริซิช ได้ยิงโล่งๆ หน้าประตู บอลไปชนเสาไกลเหลี่ยมในหลุดออกหลังไปอย่างน่าเสียดาย ท้ายเกมโครเอเชียมาโชคร้ายสุดๆ เมื่อผู้รักษาประตูมือหน่ึงของทีม ดานิเยล ซูบาซิช ได้รับบาดเจ็บบริเวณกล้ามเนื้อหลังต้นขากะทันหัน ขณะที่ทีมก็เปลี่ยนผู้เล่นตัวสำรองครบโควตาทั้ง 3 คนแล้ว ทำให้เจ้าตัวต้องฝืนเล่นช่วยประคองทีมต่อไป จบเกม 90 นาทียังทำอะไรกันไม่ได้ ต้องไปลุ้นกันต่อในช่วงต่อเวลาพิเศษ

 

ช่วงต่อเวลาพิเศษนาทีที่ 101 ​โดมาโกจ์ วิดา ปราการหลังวัย 29 ปีของโครเอเชียมาโขกลูกเตะมุมให้ทีมขึ้นนำรัสเซียเป็น 2-1 ได้สำเร็จ ต่อมาในนาทีที่ 115 เจ้าภาพมาได้ประตูตีเสมอ 2-2 จากจังหวะที่ อลัน ซาโกเยฟ เปิดลูกตั้งเตะให้ มาริโอ แฟร์น็องเดส โหม่งเข้าไป ปลุกขวัญกำลังใจของทีมและแฟนบอลกลับมาได้อีกครั้ง จบเกม 120 นาทีต้องไปตัดสินโดยการดวลจุดโทษ

 

ช่วงดวลจุดโทษเป็นโครเอเชียที่แม่นยำกว่า ยิงเข้าไป 4 จาก 5 ลูก เอาชนะรัสเซียที่ยิงเข้าไปแค่ 3 ลูก ผ่านเข้าไปเล่นในรอบรองชนะเลิศได้เป็นครั้งแรกในรอบ 20 ปี โดยจะเข้าไปพบกับทีมชาติอังกฤษในวันพฤหัสบดีที่ 12 ก.ค. เวลา 01.00 น. ผู้ชนะจะเข้าไปลุ้นเป็นคู่ชิงชนะเลิศฟุตบอลโลก 2018

 


 

สรุปผลการแข่งขันฟุตบอลโลก 2018 ประจำวันเสาร์ที่ 7 กรกฎาคม 2561

 

 

คู่ที่ 1: อุรุกวัย VS ฝรั่งเศส

ฝรั่งเศสทรงดีกว่า ชนะอุรุกวัยแบบไม่ยากเย็น 2-0 ผ่านเข้าไปรอเจอผู้ชนะระหว่างบราซิลและเบลเยียม

 

เกมการแข่งขันฟุตบอลโลกนัดแรกรอบ 8 ทีมสุดท้าย คู่แรกเป็นการพบกันระหว่างทีมชาติอุรุกวัยและทีมชาติฝรั่งเศส โดยทัพจอมโหดนัดนี้ไม่มี เอดินสัน คาวานี ที่ยังไม่หายจากอาการบาดเจ็บ ส่วนตราไก่ขาด แบลส มาตุยดี ที่โดนโทษแบนจากการสะสมใบเหลืองครบ 2 ใบติดต่อกัน 2 แมตช์

 

หลังบุกอยู่นาน ฝรั่งเศสมาได้ประตูออกนำก่อนในนาทีที่ 40 จากจังหวะลูกตั้งเตะ ราฟาแอล วาราน เทกตัวขึ้นโหม่งเข้าประตูไป ท้ายครึ่งแรก อุรุกวัยเกือบได้ประตูตีเสมอจากจังหวะที่ ลูคัส ตอร์เรรา เปิดลูกตั้งเตะให้ มาร์ติน กาเซเรส โหม่งเหน่งๆ กลางประตู แต่ อูโก โยริส ยังโชว์ซูเปอร์เซฟช่วยทีมเอาไว้ได้

 

เริ่มเกมครึ่งหลังมาได้ 17 นาที อองตวน กรีซมันน์ ได้ลองตั้งป้อมซัดไกลจากหน้ากรอบเขตโทษ บอลพุ่งแรง เฟร์นันโด มุสเลรา ปัดไม่อยู่ปลิ้นเข้าประตูไป ฝรั่งเศสขึ้นนำอีกครั้ง

 

ช่วงเวลาที่เหลือ Les Bleus แพ็กเกมแน่นจนจอมโหดไม่สามารถเจาะประตูได้ จบเกมฝรั่งเศสเอาชนะอุรุกวัย 2-0 ผ่านเข้าไปเป็นทีมแรกในรอบ 4 ทีมสุดท้ายของฟุตบอลโลกปีนี้ได้สำเร็จ รอพบผู้ชนะระหว่างทีมชาติบราซิลและเบลเยียมที่จะแข่งกันในเวลา 01.00 น. (เช้าวันเสาร์)

 

คู่ที่ 2: บราซิล VS เบลเยียม

เบลเยียมทำได้ ล้มบราซิลสุดมัน 2-1 ทะลุรอบรองรอฉะฝรั่งเศส

 

เบลเยียม สร้างประวัติศาสตร์หน้าใหม่ของชาติเมื่อสามารถสยบแชมป์โลก 5 สมัยอย่างบราซิล ได้ในเกมสุดมัน 2-1 ได้ผ่านเข้าไปสู่รอบรองชนะเลิศพบกับฝรั่งเศส

 

เกมที่สนามคาซาน อารีนา เป็นการพบกันของทีมเต็งหนึ่งของรายการอย่าง บราซิล ซึ่งวันนี้ไม่มี คาเซมิโร กองกลางตัวตัดเกมคนสำคัญที่ติดโทษแบน ต้องเป็น เฟอร์นานดินโญ ลงทำหน้าที่แทน และได้ มาร์เซโล คืนกลับมาเป็นตัวจริง พบกับ เบลเยียม ที่ส่ง มารูยาน เฟลไลนี ลงเป็นตัวจริง

 

เริ่มเกมมา บราซิล พยายามบุกกดดันอย่างหนัก และน่าจะได้ประตูขึ้นนำจากลูกเตะมุม ติอาโก ซิลวา เข้าชาร์จบอลลูกโดนผิดเหลี่ยมจึงไปชนเสากระเด้งออกมาอย่างน่าเสียดาย แต่หลังจากนั้นในนาทีที่ 13 เบลเยียม กลับได้ประตูขึ้นนำไปก่อนจากลูกเตะมุมเหมือนกันและเป็นเฟอร์นานดินโญ ที่บอลมาโดนไหล่เปลี่ยนทางเข้าประตู

 

หลังจากนั้นเกมของ บราซิล กลายเป็นช็อตไปเลย ขณะที่ เบลเยียม รอจังหวะสวนกลับและทำได้อันตรายทุกครั้ง จนมาได้ประตูยิงหนีเป็น 2-0 ในนาทีที่ 31 เมื่อ เควิน เดอ บรอยน์ ได้โอกาสส่องหน้ากรอบเขตโทษบอลพุ่งเป็นจรวดอย่างสวยงาม และเกมจบครึ่งแรกด้วยสกอร์นี้

 

ครึ่งหลัง บราซิล ส่ง โรแบร์โต เฟอร์มิโน ลงมาเติมเกมรุก และสามารถขึงเกมบุกกดดันเบลเยียมตลอด แต่ไม่ว่าจะพยายามสักกี่ครั้งก็ยังไม่ผ่าน ติโบต์ กูร์ตัวส์ ผู้รักษาประตูเบลเยียม ที่เซฟได้ทั้งหมด

 

จนกระทั่งนาทีที่ 75 ความพยายามของบราซิล ประสบความสำเร็จจากการเปิดบอลของ ฟิลิปป์ คูตินโญ เข้ามาให้ เรนาโต ออกุสโต ตัวสำรองคนสุดท้ายที่ลงมาขึ้นโหม่งเช็ดบอลเข้าประตูไปจุดความหวังให้บราซิลตามมาเป็น 2-1

 

แต่สุดท้ายบราซิลไล่ตามไม่ทัน จบเกมเบลเยียมเอาชนะได้ 2-1 ได้ผ่านเข้าสู่รอบรองชนะเลิศ ขณะที่อดีตแชมป์โลก 5 สมัยต้องอกหักอีกครั้ง

 


 

ผลการแข่งขันรอบ 16 ทีม 

 

สรุปผลการแข่งขันฟุตบอลโลก 2018 ประจำวันพุธที่ 4 กรกฎาคม 2561

 

 

คู่ที่ 1: สวีเดน VS สวิตเซอร์แลนด์

ฟอร์สเบิร์กซัดนำชัยสวีเดนชนะ 1-0 สวิตเซอร์แลนด์ทะลุรอบ 8 ทีมสุดท้าย

 

สวีเดนเป็นทีมที่ 7 ที่ได้ผ่านเข้าสู่รอบ 8 ทีมสุดท้ายฟุตบอลโลก หลังจากที่ เอมิล ฟอร์สเบิร์ก ทำประตูโทนในเกม ช่วยให้ทีมเฉือนเอาชนะสวิตเซอร์แลนด์ได้อย่างหวุดหวิด 1-0 และเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 1994 ที่พวกเขาได้ผ่านมาถึงรอบนี้

 

เกมที่เซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก สเตเดียม เป็นการพบกันระหว่างสวีเดน แชมป์ของกลุ่ม F พบกับสวิตเซอร์แลนด์​ รองแชมป์กลุ่ม E ซึ่งเป็นสองทีมที่ทำผลงานได้เซอร์ไพรส์ด้วยกันทั้งคู่ในฟุตบอลโลกครั้งนี้ เมื่อต้องมาพบกันเองทำให้เกมค่อนข้างเป็นไปอย่างสูสี ต่างฝ่ายต่างพยายามเล่นอย่างรัดกุม แม้จะพอมีโอกาสบ้าง แต่ก็ยังทำอะไรกันไม่ได้ในครึ่งแรก

 

หลังจากนั้นในครึ่งหลัง สวีเดนมาได้ประตูขึ้นนำในนาทีที่ 66 จากจังหวะที่ เอมิล ฟอร์สเบิร์ก เพลย์เมกเกอร์ตัวเก่งซัดไปแฉลบเปลี่ยนทางเข้าประตูให้ทีมขึ้นนำ 1-0 ซึ่งประตูนี้กลายเป็นประตูโทนของเกมที่เกิดขึ้น โดยสวิตเซอร์แลนด์พยายามจะทวงประตูคืน แต่ทำไม่สำเร็จ และยังเหลือ 10 คนในช่วงทดเวลาบาดเจ็บในจังหวะที่ ไมเคิล แลง ทำฟาวล์ คีเซอ เธลิน กองหน้าตัวสำรองที่กำลังจะหลุดเข้าเขตโทษ สุดท้ายสวีเดนชนะ ได้ผ่านเข้ารอบ 8 ทีมสุดท้ายเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ฟุตบอลโลก 1994 ซึ่งในครั้งนั้นพวกเขาได้เป็นทีมอันดับ 3 ด้วย

 

คู่ที่ 2: โคลอมเบีย VS อังกฤษ

สิงโตหนุ่มทำสำเร็จ ดวลจุดโทษเฉือนโคลอมเบีย 4-3 จอร์แดน พิกฟอร์ด เซฟ 1 พาทีมเข้าไปเจอสวีเดนรอบ 8 ทีมสุดท้าย

 

เกมคู่สุดท้ายของรอบ 16 ทีมสุดท้ายในฟุตบอลโลก 2018 ทีมชาติโคลอมเบีย แชมป์กลุ่ม H พบทีมชาติอังกฤษ ทีมอันดับ 2 จากกลุ่ม G เกมนี้โคลอมเบียไม่มีผู้เล่นคีย์แมนคนสำคัญ ฮาเมส โรดริเกวซ ทั้งตัวจริงและตัวสำรอง เพราะยังไม่หายจากอาการบาดเจ็บ แต่ได้ คาร์ลอส ซานเชซ กองกลางตัวรับลงมาประจำการหน้าแผงแบ็กโฟร์หลังพ้นโทษแบนจากใบแดงในนัดเปิดสนาม ส่วนอังกฤษยังใช้ผู้เล่นชุดเก่งจากนัดถล่มปานามาและปราบตูนิเซีย

 

เริ่มเกมมาเป็นสิงโตคำรามที่ได้ครองบอลบุกมากกว่า แต่ยังหาจังหวะจบสกอร์ไม่ได้ ส่วนโคลอมเบียอาศัยจังหวะสวนกลับได้อยู่เรื่อยๆ ทั้งสองทีมดูจะยังระมัดระวัง ยังไม่มีฝ่ายไหนผลีผลามเปิดเกมแลกกันสักเท่าไร จบครึ่งแรกเสมอกันที่ 0-0 

 

เกมครึ่งหลัง อังกฤษมาได้จุดโทษในนาทีที่ 53 ซานเชซไปเหนี่ยว แฮร์รี เคน ล้มในกรอบเขตโทษ และเป็นกัปตันทีมวัย 24 ปีที่ลุกขึ้นมาสังหารด้วยตัวเองให้ทีมออกนำไปก่อน 1-0 พร้อมทิ้งห่าง โรเมลู ลูกากู (4 ประตู) ขึ้นนำเป็นดาวซัลโวอันดับ 1 หลังยิงไปแล้ว 6 ประตูในฟุตบอลโลกหนนี้ 

 

นาทีที่ 81 โคลอมเบียมาได้โอกาสทองลุ้นตีเสมอจากความผิดพลาดของ ไคล์ วอล์กเกอร์ ที่ปล่อยให้กองหน้าตัวสำรองของทีมโคเคน คาร์ลอส บัคกา ฉกบอลไปได้ ก่อนเลี้ยงควบขึ้นมาแล้วจ่ายต่อไปให้ ฮวน กวาดราโด ยิงข้ามคานออกไปอย่างน่าเสียดาย หลังบดอยู่นานในที่สุดโคลอมเบียก็มาโกงความตายในช่วงทดเวลาบาดเจ็บได้สำเร็จจาก เยอร์รี มินา ที่กระโดดโหม่งลูกเตะมุมเข้าไปให้ทีมตามตีเสมอเป็น 1-1 และเป็นประตูที่ 3 ของปราการหลังจากบาร์เซโลนาในทัวร์นาเมนต์นี้แล้ว จบ 90 นาทีต้องไปลุ้นกันต่อในช่วงต่อเวลาพิเศษ

 

ช่วงต่อเวลาพิเศษ อังกฤษเป็นฝ่ายบุกมากกว่าอย่างเห็นได้ชัด แต่กลับทำได้มากสุดแค่ป้วนเปี้ยนบริเวณหน้าประตูโคลอมเบีย จบ 30 นาทีต้องไปตัดสินกันในช่วงดวลจุดโทษ และเป็นอังกฤษที่เฉียบคมกว่า เอาชนะการดวลจุดโทษโคลอมเบียไปได้ 4-3 ผ่านเข้าไปเจอกับทีมชาติสวีเดนในวันอาทิตย์ที่ 8 กรกฎาคม เวลา 01.00 น.

 


 

สรุปผลการแข่งขันฟุตบอลโลก 2018 ประจำวันอังคารที่ 3 กรกฎาคม 2561

 

 

คู่ที่ 1: บราซิล VS เม็กซิโก

บราซิลกินนิ่มเม็กซิโก 2-0 เนย์มาร์และเฟอร์มิโน ซัดคนละตุง รอพบผู้ชนะระหว่างเบลเยียมและญี่ปุ่น

 

รูปเกมช่วงแรกเป็นเม็กซิโกที่อาศัยความคล่องตัวของผู้เล่นในแนวรุก เดินเกมใส่บราซิลได้อย่างไม่เกรงกลัวศักดิ์ศรีบารมีแชมป์ 5 สมัย ก่อนที่เซเลเซาจะเริ่มปรับจังหวะเกมได้ ก่อนจะบุกได้เป็นระยะๆ จนในนาทีที่ 24 เนย์มาร์อาศัยชั้นเชิงลูกหนังสุดแพรวพราว ล็อกหลบผู้เล่นเม็กซิโกหลุดเข้าไปยิงเหน่งๆ แต่ กิแยร์โม โอชัว ผู้รักษาประตูทีมจังโก้ยังปัดบอลออกไปได้

 

นาทีที่ 33 กาเบรียล เฆซุส ได้โอกาสยิงบริเวณหน้าประตู แต่โอชัวก็ยังเซฟไว้ได้เช่นเคย บอลกระดอนออกมาเข้าทางปืนของ ฟิลิปป์ คูตินโญ ซ้ำ แต่กองหลังเม็กซิโกยังกันบล็อกไว้ได้ดี จบครึ่งแรกยังเสมอกันที่ 0-0 

 

ครึ่งหลังเริ่มได้แค่ 5 นาที บราซิลมาได้ประตูขึ้นนำจนได้ เมื่อเนย์มาร์เลี้ยงบอลจี้เข้ามาบริเวณกลางกรอบเขตโทษ ก่อนตกส้นคืนให้วิลเลียน ปีกขวาจากเชลซี ที่วิ่งฉีกขึ้นมาทางฝั่งซ้าย ก่อนเปิดกลับเข้าไปยังจุดนัดพบให้เนย์มาร์วิ่งขึ้นมาชาร์จเข้าประตูไปได้สำเร็จ 

 

เกมยื้อยุดกันมาถึงช่วงท้ายเกม เฟอร์นานดินโญแทงบอลทะลุช่องไปให้เนย์มาร์หลุดขึ้นมาทางฝั่งซ้ายของกรอบเขตโทษ ก่อนซัดบอลติดหัวเกือก โอชัวยังเซฟเอาไว้ได้ แต่บอลกระเด้งไปเข้าทาง โรแบร์โต เฟอร์มิโน ตัวสำรองซ้ำเข้าไปง่ายๆ ให้บราซิลขึ้นนำอีกครั้งเป็น 2-0

 

จบเกมบราซิลชนะเม็กซิโกไป 2-0 ผ่านเข้าไปรอพบผู้ชนะระหว่างทีมชาติเบลเยียมและญี่ปุ่นที่จะแข่งกันในเวลา 01.00 น.​ (เช้าวันอังคารที่ 3 กรกฎาคม)

 

คู่ที่ 2: เบลเยียม VS ญี่ปุ่น

ญี่ปุ่นทำดีที่สุดแล้ว เบลเยียมโกงความตาย พลิกแซงชนะซามูไรบลูสุดมัน 3-2 นาเซอร์ ชาดลี ซัดชัยนาทีที่ 90+4

 

เกมนี้เบลเยียมได้กองหลังประสบการณ์สูง แว็งซ็องต์ กอมปานี ที่หายจากอาการบาดเจ็บกลับมาลงสนามบัญชาเกมรับ ส่วนญี่ปุ่นมาพร้อมกับขุมกำลังฟูลทีมเช่นเคยพร้อม ทาคาชิ อินุอิ ดาวเตะตัวสำคัญในตำแหน่งปีกซ้าย เริ่มเกมได้ไม่ถึงนาที ซามูไรบลูได้ลุ้นก่อนจากจังหวะส่องของ ชินจิ คากาวา แต่บอลยังหลุดห่างเสาออกไปไกล จากนั้นเบลเยียมยังคงเป็นฝ่ายตั้งเกมบุกได้อย่างต่อเนื่อง แต่หาจังหวะใส่สกอร์ไม่ได้ จบเกมครึ่งแรกเสมอกันที่ 0-0

 

ครึ่งหลังเริ่มได้เพียงแค่ 3 นาที ญี่ปุ่นที่เหมือนได้แรงฮึดจากช่วงพักครึ่งได้ประตูขึ้นนำเบลเยียมไปก่อน 1-0 จากจังหวะจ่ายทะลุช่องของ กาคุ ชิบาซากิ กองหลังเบลเยียม แยน แฟร์ตองเกน สกัดบอลไม่อยู่ เก็งกิ ฮารากูชิ ได้บอลหลุดเข้าไปดวลเดี่ยวกับ ติโบต์ กูร์ตัวส์ ก่อนเลือกซัดไปที่เสาไกล บอลพุ่งเข้าประตูไป สุดปัญญาที่ผู้รักษาประตูจากเชลซีจะเซฟไว้ได้

 

ยิ่งเล่นเหมือนทัพซามูไรบลูจะยิ่งได้ใจ นาทีที่ 52 ญี่ปุ่นมาได้ประตูหนีห่างเป็น 2-0 เมื่อปีกตัวเก่งอย่างอินุอิเลี้ยงบอลตัดเข้าในก่อน เลือกเปิดไปยังบริเวณอันตรายของเบลเยียม กอมปานีโขกสกัดออกมาเข้าทาง ชินจิ คากาวา เกี่ยวบอลแล้วล็อกหลบผู้เล่นเบลเยียม 1 จังหวะก่อนจ่ายคืนหลังให้ ทาคาชิ อินุอิ ซัดไกลเข้าไปอย่างสวยงาม

 

หลังโดนนำห่าง 2-0 เบลเยียมพยายามเดินเกมรุกใส่ญี่ปุ่นอย่างหนัก จนมาทวงประตูคืนได้สำเร็จในนาทีที่ 69 จากลูกโหม่งของแฟร์ตองเกน บอลลอยโด่งย้อยเข้าเสาไกล ช่วยให้ปีศาจแดงจากยุโรปไล่ตามมาติดๆ ที่ 2-1 และเป็นเบลเยียมที่ยังไม่ผ่อนเกมบุกจนมาได้ประตูตีเสมอ 2-2 ในนาทีที่ 74 เอเดน อาซาร์ เปิดบอลให้ตัวสำรองจอมเปลี่ยนเกม มารูยาน เฟลไลนี ลอยเทกตัวโหม่งเข้าประตูไปอย่างสุดมัน

 

เบลเยียมเกือบมาได้ประตูขึ้นนำในช่วงท้ายเกม โธมัส มูนิเยร์ ปิดบอลเข้ามาให้ นาเซอร์ ชาดลี โขกเหน่งๆ แต่ เออิจิ คาวาชิมา ผู้รักษาประตูญี่ปุ่นยังเซฟเอาไว้ได้ โรเมลู ลูกากู ได้โหม่งซ้ำอีกที แต่มือกาวจาก Metz ก็ยังเซฟช่วยชีวิตซามูไรบลูได้อีกเช่นเคย 

 

ช่วงทดเวลาบาดเจ็บในนาที 90+4 เบลเยียมได้ประตูชัยแซงชนะญี่ปุ่น 2-3 จนได้ จากจังหวะสวนกลับจากแดนของตัวเอง เควิน เดอ บรอยน์ พาบอลตะลุยขึ้นมาในฝั่งญี่ปุ่น ก่อนจ่ายออกขวาไปให้มูนิเยร์เปิดกลับเข้ามากลางประตู ลูกากูข้ามหลอก ก่อนเป็นชาดลี ตัวสำรองที่วิ่งสอดขึ้นมายิงเข้าไปง่ายๆ 

 

จบเกมในเวลา เบลเยียมเอาชนะญี่ปุ่นได้สำเร็จ ผ่านเข้าไปเจอกับบราซิลในรอบ 8 ทีมสุดท้าย วันเสาร์ที่ 7 กรกฎาคม เวลา 01.00 น. ส่วนญี่ปุ่นยังไม่สามารถผ่านเข้าไปเล่นในฟุตบอลโลกรอบ 8 ทีมสุดท้ายได้เลย

 


 

สรุปผลการแข่งขันฟุตบอลโลก 2018 ประจำวันจันทร์ที่ 2 กรกฎาคม 2561

 

 

คู่ที่ 1: สเปน VS รัสเซีย

อวสานกระทิงดุ! อคินเฟเยฟ เซฟ 2 พารัสเซียเฉือนชนะจุดโทษสเปน 4-3 ผ่านเข้าไปรอเจอผู้ชนะระหว่างโครเอเชียและเดนมาร์ก

 

เกมการแข่งขันในรอบ 16 ทีมสุดท้ายคู่แรกคืนวันอาทิตย์ที่ 1 ก.ค. สเปนพบเจ้าภาพรัสเซีย เกมนี้ทัพกระทิงดุเลือกปรับผู้เล่นหลายตำแหน่งเพื่อความสด เอา นาโช เฟร์นันเดซ, โกเก และ มาร์โก อเซนซิโอ ลงมาเล่นแทน ดานี การ์บาฆัล, ติอาโก และ อันเดรส อิเนียสตา ส่วนรัสเซียเลือกดรอปปีกตัวจี๊ดอย่าง เดนิส เชรีเชฟ เป็นตัวสำรอง (ก่อนหน้านี้มีข่าวลือว่าใช้โกรทฮอร์โมนก่อนทัวร์นาเมนต​์เริ่มและอาจถูกแบน แต่เจ้าตัวออกมาปฏิเสธว่าไม่เป็นความจริง)

 

สเปนมาได้ประตูออกนำไปก่อนในนาทีที่ 12 จากลูกตั้งเตะบริเวณมุมขวาสนามของรัสเซีย อเซนซิโอเปิดบอลลอยโด่งเข้ามาที่เสาสอง เซอร์เก อิกนาเชวิช กองหลังประสบการณ์สูงวัย 38 ปีเสียเหลี่ยมให้ เซร์คิโอ รามอส จนทรงตัวไม่อยู่ สกัดบอลพลาดเข้าประตูตัวเองไป

 

แม้จะโดนออกนำไปก่อน แต่เจ้าภาพยังไม่ยอมแพ้ กัดฟันเดินเกมบุกใส่ทัพกระทิงดุอย่างต่อเนื่อง จนมาได้จุดโทษในนาทีที่ 39 เมื่อ อาร์เทม ซูบา กระโดดขึ้นโขกลูกเตะมุม บอลลอยไปโดนมือของเคราร์ด ปิเก ที่เทกตัวขึ้นโหม่งในจังหวะเดียวกัน และเป็นซูบาที่สังหารจุดโทษเข้าไปอย่างเยือกเย็นให้หมีขาวตามตีเสมอเป็น 1-1

 

รูปเกมครึ่งหลังทั้งสองทีมยังผลัดกันรุกรับได้อย่างสูสี โดยเป็นสเปนที่ครองบอลบุกได้มากกว่าแต่หาจังหวะจบสกอร์ไม่ได้ ส่วนรัสเซียก็ไม่น้อยหน้า อาศัยจังหวะโต้กลับได้เป็นระยะๆ แต่จนแล้วจนรอดทั้งสองทีมก็ยังทำอะไรกันไม่ได้ จบเกม 90 นาทีต้องไปวัดกันในช่วงต่อเวลาพิเศษ 30 นาที

 

ช่วงต่อเวลาพิเศษครึ่งแรก 15 นาที สเปนยังคงเป็นฝ่ายครองบอลบุกได้เช่นเคย แต่กลับขาดประสิทธิภาพไม่สามารถบวกสกอร์ให้ทีมขึ้นนำได้ จังหวะที่ใกล้เคียงที่สุดเป็นของโรดริโก ศูนย์หน้าตัวสำรองจากวาเลนเซียในนาทีที่ 108 เมื่อได้ดวลเดี่ยวกับ อิกอร์ อคินเฟเยฟ แต่เป็นผู้รักษาประตูจากซีเอสเคเอ มอสโก ที่เซฟเอาไว้ได้ จบเกมช่วงต่อเวลาพิเศษ 30 นาทียังเสมอกัน 1-1 ทำให้ต้องไปชี้ขาดกันในช่วงดวลจุดโทษ

 

ช่วงดวลจุดโทษ โกเก และ ยาโก อัสปาส ดันมาพลาดท่ายิงติดเซฟของอคินเฟเยฟทั้งคู่ ส่วนเพชฌฆาตจากแดนหมีขาวไม่พลาดเลยสักคน ทำให้แชมป์ฟุตบอลโลก 1 สมัย (2010) ต้องมาตกรอบไปอย่างน่าเสียดาย โดยรัสเซียจะผ่านเข้าไปรอเจอผู้ชนะระหว่างโครเอเชียและเดนมาร์กที่จะแข่งกันในช่วงเวลา 01.45 น. (เช้าวันจันทร์ที่ 2 ก.ค.)

 

คู่ที่ 2: โครเอเชีย VS เดนมาร์ก

เหนือ ชไมเคิล ยังมี ซูบาซิช! โครเอเชียดวงดีเฉือนจุดโทษเดนมาร์ก 3-2 ผ่านเข้าไปชนรัสเซีย

 

เริ่มเกมได้แค่ 2 นาที เดนมาร์กมาได้ประตูออกนำไปก่อนอย่างรวดเร็วจากจังหวะทุ่มไกล เกมรับโครเอเชียเคลียร์กันไม่ขาด บอลลอยมาเข้าทางผู้เล่นทีมโคนมในกรอบเขตโทษ และเป็น มาธิอัส ยอร์เกนเซน ปราการหลังตัวกลางที่เติมขึ้นมายิง ถึงผู้รักษาประตู ดานิเยล ซูบาซิช จะเซฟไว้ได้ในจังหวะแรก แต่บอลก็ปลิ้นเข้าประตูไปอย่างหมดหนทาง

 

แม้โครเอเชียจะโดนขึ้นนำไปก่อนแต่ก็ไม่ได้ขวัญกระเจิงเลย เมื่อตั้งสติได้ ก็เดินเกมรุกเข้าใส่เดนมาร์กทันทีจนมาได้ประตูตีเสมอแบบทันควันในนาทีที่ 4 เมื่อกองหลังเดนมาร์กสกัดบอลผิดพลาด บอลกระเด้งมาเข้าทางศูนย์หน้าร่างโย่ง มาริโอ มานด์ซูคิช หวดจังหวะเดียวแบบไม่จับเข้าไปให้ทีมตีเสมอได้สำเร็จ ช่วงเวลาที่เหลือทั้งสองทีมยังทำอะไรกันไม่ได้ จบครึ่งแรกเสมอกันที่ 1-1

 

รูปเกมครึ่งหลัง โครเอเชียและเดนมาร์กไม่ผลีผลามบุกใส่กันเท่าที่ควร ทั้งคู่ยังเดินเกมกันแบบระมัดระวัง ทำให้จบ 90 นาทียังทำอะไรกันไม่ได้ ต้องไปดวลกันต่อในช่วงต่อเวลาพิเศษ 30 นาที กระทั่งในนาทีที่ 113 เดนมาร์กมาเสียจุดโทษจากจังหวะที่ยอร์เกนเซนไปเสียบฟาวล์ อันเต้ เรบิช จากด้านหลัง แต่ แคสเปอร์ ชไมเคิล ยังโชว์เหนือ เซฟจุดโทษของ ลูกา โมดริช ได้แบบติดมือ ช่วยให้โคนมรอดพ้นจากการโดนขึ้นนำได้สำเร็จ จบเกม 120 นาทียังเสมอกัน 1-1 ต้องไปตัดสินกันในช่วงดวลจุดโทษเหมือนเกมในคู่หัวค่ำ

 

ช่วงการดวลจุดโทษ โครเอเชียคมกว่า ยิงเข้าไป 3 จาก 5 ลูก ส่วนเดนมาร์กยิงเข้าไปแค่ 2 ลูกเท่านั้น และเป็นซูบาซิชที่งัดฟอร์มเก่งป้องกันจุดโทษได้ถึง 3 ลูก (ชไมเคิลเซฟจุดโทษได้ 2 ลูก) โดยนัดต่อไปทีมตราหมากรุกจะเข้าไปเจอกับเจ้าภาพรัสเซีย ในรอบ 8 ทีมสุดท้าย วันเสาร์ที่ 7 ก.ค. เวลา 21.00 น.

 


 

สรุปผลการแข่งขันฟุตบอลโลก 2018 ประจำวันอาทิตย์ที่ 1 กรกฎาคม 2561

 

 

คู่ที่ 1: ฝรั่งเศส VS อาร์เจนตินา

เอ็มบัปเป้เหมาสอง ฝรั่งเศสเฉือนอาร์เจนตินาสุดมัน 4-3 ดับฝันเมสซี 

 

คีเลียน เอ็มบัปเป้ เหมาทำคนเดียว 2 ประตูและเรียกอีก 1 จุดโทษช่วยให้ฝรั่งเศส เฉือนเอาชนะอาร์เจนตินาแบบสุดมัน 4-3 ผ่านเข้าสู่รอบก่อนรองชนะเลิศเป็นทีมแรก พร้อมดับฝันของลิโอเนล เมสซี ที่หมดโอกาสสัมผัสแชมป์โลกอีกครั้ง

 

ฝรั่งเศส แชมป์กลุ่ม C ลงสนามพบกับอาร์เจนตินา รองแชมป์จากกลุ่ม D ที่ผ่านเข้ารอบมาได้แบบปาฏิหาริย์ โดยเกมนี้ ดิดิเยร์ เดสชองส์ จัดทีมเน้นเกมรุกใส่ 3 ประสานลงแดนหน้าทั้งคีเลียน เอ็มบัปเป้, อองตวน กรีซมันน์ และโอลิวิเยร์ ชิรูด์ ตรงข้ามกับอาร์เจนตินาที่ใช้ระบบศูนย์หน้าเดี่ยว ทิ้งลิโอเนล เมสซี เอาไว้คนเดียว

 

เริ่มเกมมา 13 นาที ฝรั่งเศสได้จุดโทษจากลูกที่เอ็มบัปเป้โดนมาร์กอส โรโฮ ดึงล้มในเขตโทษ ก่อนที่จะเป็นกรีซมันน์ที่รับหน้าที่สังหารเป็นประตูขึ้นนำ 1-0 ก่อนที่อาร์เจนตินาจะพยายามรวบรวมเกมกลับมา แต่ก็ทำได้ไม่ดีนัก ซ้ำยังโดนโต้กลับให้หวาดเสียวเป็นระยะ แต่สุดท้ายก่อนหมดครึ่งแรก อังเคล ดิ มาเรีย ตีเสมอให้ทีมฟ้าขาวได้สำเร็จจากลูกยิงไกลระยะ 30 หลาให้สกอร์กลับมาเสมอกัน 1-1 ก่อนจบครึ่งแรกด้วยสกอร์นี้

 

จากนั้นในครึ่งหลัง อาร์เจนตินากลับมาพลิกแซงนำ 2-1 จากจังหวะที่เมสซีได้โอกาสสับไกในเขตโทษ บอลไปแฉลบโดนกาเบรียล แมร์คาโด เปลี่ยนทางเข้าประตูไปในนาทีที่ 48 แต่ดีใจไม่ทันไร ฝรั่งเศสก็มาไล่ตีเสมอได้ 2-2 จากจังหวะเติมมาวอลเลย์แถวสองของเบนจามิน ปาวาร์ เข้าประตูไปอย่างสุดสวยในนาทีที่ 57

 

ประตูนี้เปลี่ยนทิศทางของเกมทันที ฝรั่งเศสมาพลิกแซงนำ 3-2 ในนาทีที่ 64 จากเอ็มบัปเป้ที่ได้พลิกบอลในเขตโทษก่อนซัดด้วยซ้ายเข้าไป และในอีก 4 นาทีถัดมาฝรั่งเศสโต้กลับเร็ว ชิรูด์ไหลให้เอ็มบัปเป้สปีดเข้ามายิงเสียบมุมเข้าไปเป็น 4-2

 

อาร์เจนตินาพยายามจะทวงประตูคืน แต่กว่าจะได้ก็ต้องรอช่วงทดเวลาบาดเจ็บจากจังหวะที่เมสซีวางบอลให้เซร์คิโอ อเกวโร ตัวสำรองที่ขึ้นโหม่งเข้าไป และมีโอกาสสุดท้ายของเกมที่เกือบตีเสมอได้ แต่มักซิมิลิอาโน เมซา ตัวสำรองคนสุดท้ายได้บอลเปิดมาหน้ากรอบเขตโทษ แต่ยิงระยะ 6 หลาพลาด ก่อนที่เสียงนกหวีดสุดท้ายจะดังขึ้น ฝรั่งเศสชนะ 4-3 เข้าสู่รอบต่อไปได้สำเร็จ รอพบผู้ชนะระหว่างอุรุกวัยและโปรตุเกส พร้อมดับความฝันตลอดชีวิตของเมสซีเอาไว้แค่รอบนี้

 

คู่ที่ 2: อุรุกวัย VS โปรตุเกส

โรนัลโดร่วงอีกคน โดนทีเด็ดคาวานียิงเบิ้ลอุรุกวัย เฉือนโปรตุเกสสุดระทึก 2-1

 

คริสเตียโน โรนัลโด ไปไม่ถึงฝันแชมป์โลกอีกคน เมื่อเอดินสัน คาวานี งัดทีเด็ดเหมาทำคนเดียว 2 ประตู ช่วยให้อุรุกวัยเฉือนเอาชนะโปรตุเกสไปแบบสุดระทึก 2-1 ผ่านเข้าไปเจอกับฝรั่งเศสในรอบต่อไป

 

คู่ที่ 2 ของศึกฟุตบอลโลกรอบ 16 ทีมสุดท้ายเป็นเกมระหว่างอุรุกวัย แชมป์ในกลุ่ม A พบกับโปรตุเกส รองแชมป์กลุ่ม B ซึ่งก่อนเกมคนที่ถูกจับตามองมากที่สุดคือ หลุยส์ ซัวเรซ ดาวยิงตัวเก่งของอุรุกวัยจากสโมสรบาร์เซโลนา และคริสเตียโน โรนัลโด ซูเปอร์สตาร์โปรตุเกสจากเรอัล มาดริด

 

แต่กลับเป็นเอดินสัน คาวานี อีกหนึ่งหัวหอกตัวหลักของอุรุกวัยที่จุดประกายให้เกมก่อนจากจังหวะที่ประสานงานกับซัวเรซอย่างสุดสวยด้วยการเปิดข้ามกันไปมา ก่อนที่คาวานีจะทะยานขึ้นโขกบอลเข้าไปอย่างสวยงามในนาทีที่ 7 ให้ทีม ‘จอมโหด’ ขึ้นนำ 1-0

 

โปรตุเกสพยายามจะทวงประตูคืน แต่ก็ไม่สำเร็จ จนกระทั่งเกมเข้าสู่ครึ่งหลังในนาทีที่ 55 ทีมแชมป์ยูโร 2016 มาได้ประตูตีเสมอ 1-1 จากลูกเตะมุม เปเป้ขึ้นโขกบอลเข้าไปตุงตาข่าย และทำให้โปรตุเกสได้ใจเดินหน้าลุยอย่างเต็มที่

 

แต่อีกแค่ 7 นาทีต่อมา อุรุกวัยก็มาได้ประตูขึ้นนำอีกครั้งจากคาวานีเจ้าเก่าที่ได้บอลหลุดเดี่ยว ก่อนจะเอี้ยวตัวยิงเสียบเสาไกลอย่างสุดเหนือชั้นให้ทีมขึ้นนำอีกครั้งเป็น 2-1 หลังจากนั้นก็บาดเจ็บและต้องเปลี่ยนตัวออกมา แต่สุดท้ายอุรุกวัยรักษาสกอร์เอาไว้ได้จนหมดเวลา จบเกมคว้าชัยชนะและผ่านไปสู่รอบ 8 ทีมสุดท้ายพบกับฝรั่งเศส ส่วนโปรตุเกส และโดยเฉพาะอย่างยิ่งโรนัลโดนั้นไปไม่ถึงดวงดาวอีกครั้ง

 


 

ตารางคะแนนล่าสุด! วันศุกร์ที่ 29 มิถุนายน 2561

 

 

สรุปผลการแข่งขันฟุตบอลโลก 2018 ประจำวันศุกร์ที่ 29 มิถุนายน 2561

 

 

คู่ที่ 1: ญี่ปุ่น VS โปแลนด์

คู่ที่ 2: เซเนกัล VS โคลอมเบีย 

โคลอมเบียเฉือนเซเนกัลเข้ารอบ ฉุดญี่ปุ่นที่พ่ายโปแลนด์แต่ได้เข้ารอบตามกฎแฟร์เพลย์ 

โคลอมเบียล้มเซเนกัล 1-0 ผ่านเข้ารอบ 16 ทีมสุดท้ายฟุตบอลโลก พร้อมฉุดญี่ปุ่นที่แม้จะพ่ายโปแลนด์ 1-0 แต่ก็ได้ผ่านเข้ารอบตามกฎแฟร์เพลย์เป็นทีมแรกในประวัติศาสตร์

 

เกมการแข่งขันในกลุ่ม H ลงสนามพร้อมกัน 2 คู่ โดยคู่ที่เป็นไฮไลต์คือเกมระหว่าง เซเนกัล ทีมจากแอฟริกาทีมสุดท้ายที่มีลุ้นผ่านรอบแรก กับ โคลอมเบีย ที่ยังมีความหวังในการเข้ารอบหากเอาชนะได้ในเกมนี้ ซึ่งเกมต่อสู้กันอย่างดุเดือด โดยทีมจากอเมริกาใต้เสีย ฮาเมส โรดริเกวซ กองกลางคนสำคัญที่บาดเจ็บต้องถูกเปลี่ยนตัวออกจากสนาม

 

เกมผ่านมาถึงนาทีที่ 74 โคลอมเบียมาได้ประตูขึ้นนำ 1-0 จาก เยอร์รี มินา กลายเป็นประตูสำคัญเพราะในสถานการณ์เวลานั้น โปแลนด์ขึ้นนำญี่ปุ่นอยู่ 1-0 จาก ยาน เบดนาเร็ก ที่ยิงเผาขนเข้าไปในนาทีที่ 59 ทำให้ญี่ปุ่นและเซเนกัลมีคะแนนเท่ากัน และมีผลต่างประตูได้เสียเท่ากันทั้งหมด

 

ตามกฎของฟีฟ่า เกณฑ์ที่จะตัดสินขั้นต่อไปคือการใช้กฎแฟร์เพลย์ ซึ่งจะดูจากจำนวนใบเหลืองและใบแดงที่แต่ละทีมได้รับ ผลคือญี่ปุ่นมีคะแนนแฟร์เพลย์ที่ดีกว่า ทำให้เมื่อเกมจบลงญี่ปุ่นจึงได้ผ่านเข้าสู่รอบต่อไปตามกฎแฟร์เพลย์เป็นทีมแรกในประวัติศาสตร์ ส่วนเซเนกัลตกรอบไปแบบเจ็บปวด

 

คู่ที่ 3: ปานามา VS ตูนิเซีย

ตูนิเซียแซงปานามาคว้าชัยส่งท้าย 2-1

 

ปานามา ได้ประตูขึ้นนำไปก่อนจากการทำเข้าประตูตัวเองของ ยัสซีน เมเรียห์ ปราการหลังตูนิเซีย ในนาทีที่ 33 และเป็นประตูโทนในครึ่งแรก แต่ ตูนิเซีย มาตีเสมอได้ในครึ่งหลังจาก ฟาเครดดีน เบน ยูสซุฟ ในนาทีที่ 51 ก่อนที่ วาห์บี คาซรี จะยิงแซงให้ทีมเอาชนะได้ 2-1 เป็นรางวัลปลอบใจแฟนๆในเกมสุดท้าย

 

คู่ที่ 4: อังกฤษ VS เบลเยียม

สิงโตเสียท่าพ่ายเบลเยียม 0-1 จบที่ 2

 

ทีมชาติอังกฤษ พลาดท่าแพ้เป็นเกมแรกในฟุตบอลโลกครั้งนี้เมื่อพ่ายต่อ เบลเยียม ที่ทำได้ดีกว่าเอาชนะไปด้วยสกอร์ 1-0 จากประตูโทนของ อัดนัน ยานูไซ ขณะที่ ตูนิเซีย ได้ชัยชนะส่งท้ายด้วยการแซงเอาชนะปานามาได้ 2-1

 

อังกฤษ และเบลเยียมผ่านเข้าสู่รอบต่อไปอย่างแน่นอนแล้วเหลือเพียงแค่การชิงตำแหน่งแชมป์กลุ่ม ทำให้ทั้งสองทีมมีการเปลี่ยนแปลงผู้เล่นหลายตำแหน่งเพื่อถนอมตัวไว้ใช้ในรอบหน้าแทน แต่ชุดเล็กของ เบลเยียม ทำได้ดีกว่าอังกฤษ สามารถหาโอกาสลุ้นทำประตูได้มากกว่าหลายครั้ง แต่มาได้ประตูชัยจาก อัดนัน ยานูไซ ที่ลากแต่งบอลเข้าซ้ายในเขตโทษก่อนปั่นบอลโค้งเสียบเสาไกลอย่างสวยสดในนาทีที่ 51 เป็นประตูโทนทำให้ เบลเยียม ชนะรวด 3 นัดในรอบแรก

 

หลังจากนี้ เบลเยียม จะได้พบกับญี่ปุ่นในวันที่ 3 ก.ค. ขณะที่อังกฤษ จะพบกับโคลอมเบีย ในวันที่ 4 ก.ค.

 

สรุปผลการแข่งขันฟุตบอลโลก 2018 ประจำวันพฤหัสบดีที่ 28 มิถุนายน 2561

 

 

คู่ที่ 1: เม็กซิโก VS สวีเดน

ด้านเม็กซิโกที่ชนะรวดมา 2 นัด ถูกสวีเดนไล่ถล่มขาดลอยถึง 3-0

 

โดยสวีเดนมาได้ 3 ประตูในช่วงครึ่งหลังทั้งหมดจาก ลุดวิก ออกุสตินส์สัน ในนาทีที่ 50 อันเดรียส กรันควิสต์ ยิงจุดโทษเข้าไปในนาทีที่ 62 และเอ็ดสัน อัลบาเรซ ทำเข้าประตูตัวเองในนาทีที่ 74 ทำให้สวีเดนกลายเป็นแชมป์กลุ่ม ควงเม็กซิโกเข้ารอบไปแบบเหลือเชื่อ

 

คู่ที่ 2: เกาหลีใต้ VS เยอรมนี

แชมป์โลกตกรอบ! เกาหลีใต้ช็อกวงการโค่นเยอรมนี 2-0 ส่งสวีเดนที่ถล่มเม็กซิโก 3-0 ควงกันเข้ารอบ

 

ช็อกทั้งโลก เมื่อเยอรมนีแชมป์โลกต้องกระเด็นตกรอบแรกอย่างไม่น่าเชื่อ หลังโดนทีเด็ดเกาหลีใต้ในช่วงท้ายเกม 2-0 ร่วงตกรอบตามกันไป ปล่อยให้สวีเดนที่ถล่มเม็กซิโก 3-0 ได้ควงกันเข้าสู่รอบต่อไป

 

จากสถานการณ์ที่สูสีในกลุ่ม F ทำให้เยอรมนีแชมป์เก่าที่สร้างปาฏิหาริย์เอาชนะสวีเดนได้ในช่วงทดเวลาบาดเจ็บเกมที่แล้วต้องการชัยชนะเพื่อการันตีโอกาสในการเข้ารอบ ส่วนทางด้านเกาหลีใต้ตกรอบไปแล้วหลังแพ้ 2 นัดรวด แต่ต้องการทำผลงานให้ดีที่สุดเพื่อเป็นการไว้ลาย ซึ่งปรากฏว่าตัวแทนจากเอเชียสามารถต้านทานทีมแชมป์โลกเอาไว้ได้ตลอดทั้งเกม

 

และสิ่งที่ไม่มีใครคาดคิดก็เกิดขึ้นในช่วงท้ายเกม เมื่อเกาหลีใต้มาได้ 2 ประตูในช่วงทดเวลาบาดเจ็บจากคิมยองกวอน ทำให้เยอรมนีต้องพยายามทวงประตูคืนให้ได้ เพราะต้องชนะสถานเดียว แต่มานูเอล นอยเออร์ ที่ขึ้นไปช่วยเกมรุกพลาดเสียบอล สุดท้ายเกาหลีใต้หวดตูมเดียวขึ้นมาถึงซนฮึงมิน วิ่งควบขึ้นหน้าไปส่งบอลเข้าไปตุงตาข่ายเป็นประตู 2-0 ในเกมนี้ และทำให้เกาหลีใต้ชนะเยอรมนีได้เป็นครั้งแรก พร้อมส่งแชมป์โลกตกรอบทันที

 

คู่ที่ 3: เซอร์เบีย VS บราซิล

บราซิลไม่พลาดบดเซอร์เบีย 2-0 คว้าแชมป์กลุ่ม สวิตเซอร์แลนด์เจ๊าคอสตาริกาตามหลังเข้ารอบ

 

บราซิลโชว์ชั้นเชิงและประสบการณ์ที่เหนือกว่าเอาชนะเซอร์เบียได้ 2-0 คว้าแชมป์กลุ่ม F ไปครอง ขณะที่สวิตเซอร์แลนด์ถึงจะเสมอกับคอสตาริกา 2-2 แต่ก็ได้ผ่านเข้าสู่รอบต่อไปด้วยในฐานะรองแชมป์กลุ่ม

 

ฟุตบอลโลกในกลุ่ม F ลงสนามพร้อมกัน 2 คู่ โดยบราซิลพบกับเซอร์เบีย ทีมจอมเทคนิคแห่งยุโรปตะวันออกด้วยเงื่อนไขขอแค่ไม่แพ้จะผ่านเข้ารอบ ขณะที่เซอร์เบียจำเป็นต้องชนะสถานเดียว ทำให้บรรยากาศในเกมค่อนข้างร้อนแรง

 

เกมเปิดฉากมาแค่ 10 นาที บราซิลต้องเสียมาร์เซโล แบ็กซ้ายตัวทำเกมคนสำคัญที่มีอาการบาดเจ็บ ต้องเปลี่ยนตัวออกทั้งน้ำตาให้ฟิลิเป หลุยส์ ลงสนามแทน แต่ทีมก็ไม่ได้เสียหายอะไรมาก ยังสู้กับเซอร์เบียได้อย่างสนุก จนมาได้ประตูขึ้นนำก่อน 1-0 ในนาทีที่ 36 จากจังหวะที่เปาลินโญสอดขึ้นไปในเขตโทษแล้วกระดกบอลข้ามตัวผู้รักษาประตู ลูกนี้เป็นประตูโทนในครึ่งแรกด้วย

 

ครึ่งหลังเซอร์เบียเดินเครื่องเต็มกำลังหวังจะทวงประตูคืนให้ได้ และสามารถขึงจนบราซิลเจียนอยู่เจียนไปอยู่นาน แต่สุดท้ายในนาทีที่ 68 ก็ได้ประตูหนีห่างเป็น 2-0 จากลูกเตะมุมที่ติอาโก ซิลวา กระโดดขึ้นขวิดที่เสาแรกเข้าไปก่อนที่บราซิลจะรักษาสกอร์เอาไว้ได้ จบเกมคว้าชัยชนะและได้เป็นแชมป์กลุ่ม โดยจะไปพบกับเม็กซิโกในรอบต่อไป

 

คู่ที่ 4: สวิตเซอร์แลนด์ VS คอสตาริกา

จบเกมเสมอกันไป 2-2 สวิตเซอร์แลนด์ได้เข้ารอบไปพบกับสวีเดน

อีกคู่ สวิตเซอร์แลนด์ลงสนามพบกับคอสตาริกา โดยสวิตเซอร์แลนด์ขอแค่ไม่แพ้ก็จะเข้ารอบเช่นกัน ซึ่งปรากฏว่าเกมนี้เป็นเกมที่สนุกตื่นเต้น เมื่อทีมจากแดนนาฬิกาขึ้นนำสองครั้งสองครา แต่ทีมจากอเมริกากลางก็สามารถไล่ตามตีเสมอได้ทั้งสองครั้ง

 

นาทีที่ 31 สวิตเซอร์แลนด์ได้ประตูขึ้นนำไปก่อนจากเบลริม เชมัลลิ ก่อนที่คอสตาริกาจะตีเสมอเป็น 1-1 จากเคนดัลล์ วัสตัน จากนั้นในช่วงท้ายเกม สวิตเซอร์แลนด์ได้ประตูขึ้นนำอีกครั้งจากโจซิป เดอมิก แต่คอสตาริกาไม่ยอมแพ้ง่ายๆ โดยมาได้จุดโทษ แต่ไบรอัน รุยซ์ ตัวเก๋ายิงพลาด และได้ของขวัญจากยานน์ ซอมเมอร์ ที่ทำเข้าประตูตัวเองในนาทีสุดท้าย จบเกมจึงเสมอกันไป สวิตเซอร์แลนด์ได้เข้ารอบไปพบกับสวีเดน

 

สรุปผลการแข่งขันฟุตบอลโลก 2018 ประจำวันพุธที่ 27 มิถุนายน 2561

 

 

คู่ที่ 1: เดนมาร์ก VS ฝรั่งเศส

ฝรั่งเศสกอดคอเดนมาร์กเข้ารอบ หลังเสมอ 0-0 เปรูสยบจิงโจ้ 2-0 คว้าชัยปลอบใจ

 

ฝรั่งเศสและเดนมาร์ก เป็น 2 ทีมจากกลุ่ม C ที่ได้ผ่านเข้าสู่รอบ 16 ทีมสุดท้าย หลังจากที่เสมอกัน 0-0 ในเกมที่เล่นประคองจังหวะกันเกือบตลอดทั้งเกม

 

เกมนี้ฝรั่งเศสมีการสลับตัวผู้เล่นบางตำแหน่ง รวมถึง คีเลียน เอ็มบัปเป้ ที่เป็นตัวสำรองข้างสนาม ขณะที่รูปเกมฝรั่งเศสครองเกมมากกว่า และมีโอกาสมากกว่าเดนมาร์กเล็กน้อยตลอดทั้งเกม แต่ก็ไม่มีสกอร์เกิดขึ้น ทำให้สุดท้ายแล้วเกมจบลงด้วยการเสมอกันไปแบบไม่มีสกอร์เป็นคู่แรกในฟุตบอลโลกครั้งนี้ โดยฝรั่งเศสมี 7 คะแนนจาก 3 นัด ขณะที่เดนมาร์กมี 5 คะแนนจาก 3 นัดผ่านเข้าสู่รอบต่อไป

 

อีกคู่ที่ลงสนามพร้อมกัน ออสเตรเลีย​ ซึ่งก่อนลงสนามยังมีความหวังในการแอบลุ้นเข้ารอบอยู่หากเดนมาร์กแพ้ฝรั่งเศส แต่สุดท้ายสู้ความแข็งแกร่งของเปรูไม่ไหว พ่ายไป 2-0 โดยทีมจากอเมริกาใต้มาได้ประตูแรกในนาทีที่ 18 จาก อังเดร การ์ริโย ก่อนที่ในครึ่งหลังนาทีที่ 50 กัปตันทีมและขวัญใจเบอร์หนึ่ง เปาโล เกอร์เรโร มาบวกประตูที่ 2 ให้ทีมได้สำเร็จ สุดท้าย เปรูชนะ 2-0 ถึงจะไม่เข้ารอบ แต่ก็ได้รางวัลปลอบใจสำหรับการได้กลับมาเล่นฟุตบอลโลกครั้งแรกในรอบ 36 ปี

 

คู่ที่ 2: ออสเตรเลีย VS เปรู

เปรูชนะออสเตรเลีย 2-0

 

คู่ที่ 3: ไนจีเรีย VS อาร์เจนตินา

เมสซีได้ไปต่อ! อาร์เจนตินายิงดับไนจีเรียท้ายเกม 2-1 เข้ารอบตามโครเอเชียที่เฉือนไอซ์แลนด์

 

มาร์กอส โรโฮ ปราการหลังกลายเป็นฮีโร่ของชาวอาร์เจนตินา เมื่อทำประตูชัยให้ทีม ‘ฟ้าขาว’ เฉือนเอาชนะไนจีเรียได้ในช่วงท้ายเกม 2-1 ผ่านเข้าสู่รอบน็อกเอาต์ได้แบบสุดปาฏิหาริย์ ขณะที่โครเอเชียยังแกร่ง ใช้ชุดสำรองหักอกไอซ์แลนด์ในช่วงท้ายเกมเช่นกันด้วยสกอร์ 2-1 ชนะรวด คว้าแชมป์กลุ่มไปครองสบายๆ

 

เกมที่เซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก สเตเดียม อาร์เจนตินา อดีตแชมป์โลก 2 สมัยอยู่ในสถานการณ์ลำบากในการลุ้นเข้ารอบ โดยต้องชนะไนจีเรียให้ได้สถานเดียว ขณะที่ทีมจากแอฟริกาขอแค่ไม่แพ้ก็ถือว่ามีลุ้นเข้ารอบ เมื่อถึงเวลาลงสนาม อาร์เจนตินาซึ่งมีการปรับทัพและระบบการเล่นจากนัดที่แพ้โครเอเชีย 0-3 เดินเครื่องไล่ถล่มทันที

 

และในนาทีที่ 14 อาร์เจนตินามาได้ประตูขึ้นนำจากจังหวะการวางบอลยาวของ เอเวอร์ บาเนกา ให้ ลิโอเนล เมสซี สลัดตัวประกบก่อนดูดบอลลงมาเล่นได้อย่างนุ่มนวลและซัดด้วยเท้าขวาเข้าไปตุงตาข่ายเป็นประตู 1-0 และเป็นประตูแรกของเมสซีในรายการนี้ด้วย

 

หลังจากนั้นอาร์เจนตินาบดหนักจนจบครึ่งแรกมีโอกาสอีกหลายครั้ง โดยเฉพาะลูกฟรีคิกของเมสซีที่ไปชนเสา แต่สุดท้ายบวกสกอร์เพิ่มไม่ได้ เมื่อเกมกลับมาลงสนามใหม่ในครึ่งหลังแค่ 6 นาที ไนจีเรียมาได้ลูกจุดโทษจากการที่ ฮาเวียร์ มาสเคราโน ไปรั้งคู่ต่อสู้ในเขตโทษ เป็น วิกเตอร์ โมเซส ที่สังหารเข้าไปนิ่มๆ ให้สกอร์กลับมาเท่ากันที่ 1-1

 

ที่สกอร์ดังกล่าว ไนจีเรียจะเข้ารอบทันที ทำให้อาร์เจนตินาไม่มีทางเลือก นอกจากเดินหมดหน้าตัก แต่ก็เกือบเสียท่าไนจีเรียที่คอยสวนกลับหลายครั้ง และรอดตัวจากการเสียจุดโทษจากการทำแฮนด์บอลของ มาร์กอส โรโฮ ด้วย ก่อนที่สุดท้ายโรโฮจะกลายเป็นฮีโร่ของทีมเมื่อเติมขึ้นไปช่วยทำประตูได้ในนาทีที่ 86 และเป็นประตูชัยให้อาร์เจนตินาชนะในเกมนี้ 2-1

 

อีกคู่ โครเอเชีย ซึ่งมีการสลับพักผู้เล่นตัวหลักไว้ข้างสนาม สามารถเอาชนะ ไอซ์แลนด์ ได้ 2-1 โดยได้ประตูจาก มิลาน บาเดลจ์ ในนาทีที่ 53 ก่อนที่ไอซ์แลนด์จะตามตีเสมอได้จากลูกจุดโทษของ กิลฟี ซิเกิร์ดส์สัน ในนาทีที่ 76 ก่อนที่ อิวาน เปริซิช จะยิงดับความหวังของทีมจอมเซอร์ไพรส์ในนาทีที่ 90 จบเกมโครเอเชียชนะรวด 3 นัด คว้าแชมป์กลุ่มสบายๆ

 

ในรอบต่อไป อาร์เจนตินาจะพบศึกหนักในการเจอแชมป์กลุ่ม C อย่างฝรั่งเศส ในวันที่ 30 มิ.ย. ขณะที่ โครเอเชีย จะได้พบกับเดนมาร์ก รองแชมป์กลุ่ม C ในวันอาทิตย์ที่ 2 ก.ค.

 

คู่ที่ 4: ไอซ์แลนด์ VS โครเอเชีย

โครเอเชียชนะไอซ์แลนด์ 2-1

 

สรุปผลการแข่งขันฟุตบอลโลก 2018 ประจำวันอังคารที่ 26 มิถุนายน 2561

 

 

คู่ที่ 1: อุรุกวัย VS รัสเซีย

หมีขาวโหดไม่จริง อุรุกวัยไล่ทุบรัสเซีย 3-0 เก็บ 9 แต้มครองแชมป์กลุ่ม A ส่วนซาอุฯ เดือดท้ายเกมไล่แซงอียิปต์ 2-1

 

ฟุตบอลโลกแมตช์สุดท้ายในรอบแบ่งกลุ่ม กลุ่ม A อุรุกวัยดวลกับรัสเซียเพื่อหาแชมป์กลุ่ม ส่วนอีกคู่ซาอุดีอาระเบียพบอียิปต์ ซึ่งไม่มีผลอะไรแล้วเพราะทั้งสองทีมตกรอบเป็นที่เรียบร้อย เริ่มเกมมาได้แค่ 10 นาที ทีม ‘จอมโหด’ อุรุกวัยมาได้ฟรีคิกในระยะอันตรายเยื้องไปทางซ้าย หลุยส์ ซัวเรซ รับหน้าที่เป็นคนสังหาร บอลพุ่งเรียดเข้าไปอย่างแม่นยำ จนปัญญาที่ อิกอร์ อคินเฟเยฟ จะปัดป้องไว้ได้

 

หลังเดินเกมรุกอย่างต่อเนื่อง อุรุกวัยมาได้ประตูที่ 2 ในนาทีที่ 23 จากจังหวะลูกเตะมุมที่รัสเซียเคลียร์ไม่ขาด บอลกระดอนมาเข้าทางแบ็กซ้าย ดิเอโก ลักซัลต์ ตั้งป้อมซัดไกล ลูกไปแฉลบ เดนิส เชรีเชฟ เข้าประตูตัวเองไปแบบโชคร้าย อุรุกวัยนำรัสเซีย 2-0 

 

นาทีที่ 36 อิกอร์ อคินเฟเยฟ แบ็กขวาทีมหมีขาวตัวสำรองที่วันนี้ได้รับโอกาสลงมาเล่นแทน มาริโอ แฟร์น็องเดส จะมาบวกใบเหลืองที่ 2 ให้ตัวเอง และถูกไล่ออกจากสนามไป ส่งผลให้ช่วงเวลาที่เหลือของเกม รัสเซียต้องสู้ด้วยตัวผู้เล่นที่เหลือ 10 คน

 

ครึ่งหลังยังเป็นอุรุกวัยที่ได้เปรียบด้วยจำนวนตัวผู้เล่น และยังคงเปิดฉากบุกใส่เจ้าภาพแบบไม่ออมแรง และมาได้ลูกที่ 3 ในช่วงท้ายเกมจากลูกเตะมุม ดิเอโก โกดิน ขึ้นโหม่งเหน่งๆ แต่ถูกปฏิเสธ บอลมาเข้าทาง เอดินสัน คาวานี ซ้ำดาบสองเข้าไป จบเกมอุรุกวัยไล่ถล่มรัสเซียขาดลอย 3-0 คว้าแชมป์กลุ่ม

 

ด้านเกมการแข่งขันอีกคู่ที่ลงเล่นในเวลาเดียวกัน ซาอุดีอาระเบียเฉือนชนะอียิปต์ 2-1 เก็บ 3 แต้มแรกของฟุตบอลโลกปีนี้ได้สำเร็จ อียิปต์ออกนำไปก่อนจาก โมฮัมเหม็ด ซาลาห์ ที่มายิงลูกที่ 2 ในทัวร์นาเมนต์ให้ตัวเอง ส่วนซาอุฯ ได้ประตูจากลูกจุดโทษในนาทีที่ 45 โดย ซัลมาน อัล-ฟาราจ รับหน้าที่สังหารเข้าไป (จุดโทษแรก ฟาฮัด อัล-มูวัลลัด ยิงพลาด) ท้ายเกมซาอุฯ มาได้ประตูในช่วงทดเวลาบาดเจ็บจาก ซาเลม อัล-ดอวซารี

 

เกมต่อไปอุรุกวัยในฐานะแชมป์กลุ่มจะเข้ารอบไปเจอกับทีมอันดับ 2 ของกลุ่ม B (สเปน, โปรตุเกส, อิหร่าน) ส่วนรัสเซียจะไปเจอกับแชมป์กลุ่ม B ในวันอาทิตย์ที่ 1 ก.ค. (01.00 น. และ 21.00 น.)

 

คู่ที่ 2: ซาอุดีอาระเบีย VS อียิปต์ 

ซาอุดีอาระเบียชนะอียิปต์ 2-1

 

คู่ที่ 3: อิหร่าน VS โปรตุเกส

อิหร่านเสมอโปรตุเกส 1-1

 

คู่ที่ 4: สเปน VS โมร็อกโก

โมร็อกโกทำเต็มที่แล้ว ยันเสมอสเปน แชมป์กลุ่ม 2-2 โปรตุเกสหลุดท้ายเกมเสมออิหร่าน 1-1 โด้ยิงจุดโทษพลาด!

 

เกมคู่ดึกเวลา 01.00 น. (เช้าวันอังคารที่ 26 มิ.ย.) เป็นคิวของ 4 ทีมในกลุ่ม B โดยสเปน โปรตุเกส และอิหร่าน ยังมีโอกาสลุ้นเข้ารอบด้วยกันทั้ง 3 ทีม (โมร็อกโกหมดลุ้นแล้วเพราะเก็บแต้มไม่ได้เลย) โดยเป็นการพบกันระหว่างสเปนและโมร็อกโก ส่วนอีกคู่ที่ลงแข่งในเวลาเดียวกันอิหร่านพบโปรตุเกส

 

เกมคู่สเปนพบโมร็อกโก ทัพกระทิงดุมาพลาดเสียประตูไปก่อนจากจังหวะที่ เซร์คิโอ รามอส ไม่เข้าใจกับ อันเดรส อิเนียสตา เล่นกั๊กจังหวะกันจน คาลิด บูตาอิบ ศูนย์หน้าวัย 31 ปีจากสโมสรเยนิ มาลัตยาสปอร์ ตัดบอลได้ และเลี้ยงเข้าไปลุยเดี่ยวตัวต่อตัวกับ ดาวิด เด เฆอา ก่อนซัดลอดขาเข้าไป ช่วยให้โมร็อกโกออกนำ 1-0 ในนาทีที่ 14 แต่สเปนก็ไม่รอช้า ใช้เวลาแค่ 5 นาทีเดินเกมรุกจนมาตีเสมอ 1-1 ได้จากจังหวะที่ทำชิ่งกันให้อิเนียสตา พาบอลไปสุดเส้นหลังแล้วตัดกลับมาให้อิสโกวิ่งเข้ามายิง

 

รูปเกมในครึ่งหลัง สเปนยังครองเกมบอลบุกได้มากกว่า แต่โมร็อกโกก็หาจังหวะสวนกลับได้เรื่อยๆ และเกือบมาได้ประตูขึ้นนำอีกครั้ง นอร์ดิน อัมราบัต ลองปั่นไซด์ก้อย เด เฆอา ยืนขาตายหมดสิทธิ์รับแล้ว แต่โชคร้ายบอลพุ่งไปชนเสาไกลก่อนที่ผู้เล่นสเปนจะช่วยกันสกัดให้พ้นบริเวณอันตราย 

 

กระทั่งนาทีที่ 81 โมร็อกโกมาได้ประตูขึ้นนำสเปนอีกครั้ง เมื่อตัวสำรอง ยูเซฟ อ็อง-เนไซริ กระโดดเทกตัวโหม่งลูกเตะมุมเข้าไป ช่วงท้ายเกมสเปนมาได้ประตูตีเสมอจนได้จาก ยาโก อัสปาส ที่ไขว้บอลเข้าไป จบเกมสเปนเสมอกับโมร็อกโก 2-2 แบ่งกันไปทีมละ 1 แต้ม สเปนสามารถจบอันดับ 1 ของกลุ่ม B ได้สำเร็จจากจำนวนประตูที่ยิงเยอะกว่าโปรตุเกสที่ 6:5 (ลูกได้เสียเท่ากันที่ 1 ลูก)

 

อีกคู่โปรตุเกสพลาดช่วงท้ายเกม ทำได้แค่เสมอกับอิหร่าน 1-1 โปรตุเกสได้ประตูขึ้นนำก่อนในช่วงท้ายครึ่งแรกจากปีกจอมปั่นไซด์ก้อย ริคาร์โด ควอเรสมา ที่บรรจงปั่นไซด์ก้อย บอลโค้งหนีมือผู้รักษาประตูอิหร่านเข้าไป ครึ่งหลัง คริสเตียโน โรนัลโด ยิงจุดโทษพลาดในนาทีที่ 53 ช่วงท้ายเกม นาทีที่ 90+3 อิหร่านมาได้จุดโทษและเป็น คาริม อันซาริฟาร์ด ที่ซัดให้ทีมตีเสมอได้สำเร็จ จบเกมทั้งสองทีมแบ่งกันทีมละแต้ม ส่วนโปรตุเกสเป็นได้แค่รองแชมป์กลุ่ม

 

เกมนัดต่อไปในวันอาทิตย์ที่ 1 ก.ค. อุรุกวัยแชมป์กลุ่ม A จะเข้าไปเจอกับโปรตุเกส ทีมอันดับ 2 ของกลุ่ม B เวลา 01.00 น ส่วนรัสเซีย เจ้าภาพและรองแชมป์กลุ่ม A จะพบกับสเปน ทีมอันดับ 1 ของกลุ่ม B เวลา 21.00 น.

 

สรุปผลการแข่งขันฟุตบอลโลก 2018 ประจำวันจันทร์ที่ 25 มิถุนายน 2561

 

 

คู่ที่ 1: อังกฤษ VS ปานามา

อังกฤษโหดไม่ไว้หน้า ถลุงปานามาหมดสภาพ 6-1 แฮร์รี เคน ซัดแฮตทริกขึ้นนำดาวซัลโวเดี่ยว

 

เกมในนัดนี้เป็นการพบกันครั้งแรกระหว่างอังกฤษและปานามา อังกฤษเลือกเปลี่ยนผู้เล่นตำแหน่งเดียวจากแมตช์ที่ชนะตูนิเซีย 2-1 ปรับเอารูเบน ลอฟตัส-ชีก กองกลางดาวรุ่งวัย 22 ปี ลงมาเล่นแทนเดเล อัลลี ที่ยังไม่หายจากอาการบาดเจ็บ ที่สำคัญสิงโตคำรามยังต้องเล่นภายใต้ความกดดันเล็กน้อย เมื่อทีมร่วมกลุ่ม G อย่างเบลเยียมถล่มตูนิเซียขาดลอย 5-2 ไปเมื่อวาน การันตีผ่านเข้ารอบไปรอก่อนแล้ว

 

เริ่มเกมมา อังกฤษเปิดฉากโหมบุกใส่น้องใหม่ฟุตบอลโลกปีนี้อย่างต่อเนื่องจนมาได้ประตูขึ้นนำไปก่อนในนาทีที่ 8 เมื่อแบ็กขวาเท้าชั่งทอง คีแรน ทริปเปียร์ เปิดลูกเตะมุมเข้ามาที่จุดนัดพบให้จอห์น สโตนส์ โหม่งโล่งๆ คนเดียว บอลพุ่งเข้าไปจูบก้นตาข่ายปานามาชนิดที่ผู้รักษาประตูหมดสิทธิ์รับ

 

อังกฤษมาได้ลูกจุดโทษในนาทีที่ 19 เมื่อเจสซี ลินการ์ด เลี้ยงบอลเข้าไปในกรอบเขตโทษ ก่อนถูกฟิเดล เอสโกบาร์ แซะจากด้านหลังล้มลงไป กัปตันทีม แฮร์รี เคน รับหน้าที่เพชฌฆาตสังหารเข้าไปอย่างเยือกเย็น ช่วยให้ทัพสิงโตคำรามออกนำอีกครั้งเป็น 2-0 

 

ดูเหมือนอังกฤษยังไม่หนำใจ นาทีที่ 36 ลินการ์ดทำชิ่งกับราฮีม สเตอร์ลิง ก่อนควบบอลขึ้นมาบริเวณหัวกะโหลกหน้ากรอบเขตโทษ แล้วบรรจงเปิดหน้าเท้าปั่นบอลโค้งๆ พุ่งเสียบใต้คานเข้าไปอย่างสวยงาม หลังนำ 3-0 ผ่านไปแค่ 4 นาที สโตนส์มาบวกประตูที่ 2 ของตัวเองในเกมนี้จากลูกตั้งเตะที่เคนโหม่งชงกลับมาให้สเตอร์ลิงโขกจ่อๆ กลางประตู แต่ถูกไฆเม เปเนโด ผู้รักษาประตูปานามาเซฟไว้ได้ บอลลอยมาเข้าทางกองหลังวัย 24 ปีจากสโมสรแมนเชสเตอร์ ซิตี้ โหม่งเข้าไป

 

ยิ่งเล่นเหมือนเกมรับปานามาจะยิ่งรวน ไมเคิล มูริโย ไปเหนี่ยวรั้งเคนในกรอบเขตโทษ ผู้ตัดสินไม่รอช้า เป่าเป็นจุดโทษทันที และเคนก็ยังคงเฉียบขาดเช่นเดิม ยิงเข้าไปทางมุมซ้ายของตัวเอง อังกฤษนำห่าง 5-0 

 

เริ่มเกมครึ่งหลัง กัปตันสิงโตคำรามวัย 24 ปี มากดแฮตทริกให้ตัวเองได้สำเร็จ เมื่อลอฟตัส-ชีก พยายามตั้งป้อมลองส่องไกล บอลไปแฉลบโดนส้นเท้าของเคนเข้าประตู อังกฤษขึ้นนำปานามา 6-0 ส่งผลให้เขาขึ้นไปนำเดี่ยวเป็นดาวซัลโวสูงสุดของรายการที่ 5 ประตูแล้ว (แซงคริสเตียโน โรนัลโด และโรเมลู ลูกากู ที่ยิงไป 4 ประตูเท่ากัน)

 

นาทีที่ 78 ปานามามาได้ประตูปลอบใจ (และประตูแรกในทัวร์นาเมนต์) จากลูกตั้งเตะที่เปิดเข้ามาให้เฟลิเป บาลอย ตัวสำรองวัย 37 ปี ล้มกวาดบอลเข้าประตูไป จบเกมอังกฤษเอาชนะปานามาไปได้ขาดลอย 6-1 แข่ง 2 นัดชนะรวด เก็บ 6 แต้มเต็ม ขึ้นนำจ่าฝูงกลุ่มร่วมกับทีมชาติเบลเยียม (ลูกได้เสียและจำนวนประตูเท่ากัน) และนับเป็นครั้งแรกในรอบ 12 ปีที่อังกฤษสามารถชนะในฟุตบอลโลกรอบสุดท้ายได้ 2 แมตช์ติดต่อกัน (ครั้งล่าสุดทำได้ในปี 2006) 

 

เกมนัดต่อไปเป็นนัดตัดสินแชมป์กลุ่ม G อังกฤษจะพบกับเบลเยียมในวันศุกร์ที่ 29 มิถุนายน เวลา 01.00 น. อันดับ 1 ของกลุ่มนี้จะเข้าไปเจอกับอันดับที่ 2 ของกลุ่ม H (เซเนกัล, ญี่ปุ่น, โคลอมเบีย, โปแลนด์) ส่วนอันดับ 2 ของกลุ่ม G จะไขว้ดวลกับแชมป์กลุ่ม H

 

คู่ที่ 2: ญี่ปุ่น VS เซเนกัล

ญี่ปุ่นโชว์ฮึด โดนเซเนกัลนำ 2 หน แต่ไล่ตีเสมอได้หมด จบเกมเจ๊า 2-2 แบบสุดมัน

 

ขุนพล ‘ซามูไรบลู’ ญี่ปุ่นยังทำผลงานได้น่าประทับใจในศึกฟุตบอลโลกในเกมที่ตกเป็นรองเซเนกัลถึงสองครั้งสองครา แต่ก็สามารถไล่ตามตีเสมอได้ สุดท้ายเกมจบลงที่สกอร์ 2-2 อย่างสุดมัน

 

ญี่ปุ่นและเซเนกัลชนะมาในเกมแรกทั้งสองทีม ทำให้เกมนี้หากใครคว้าชัยชนะได้ก็แทบการันตีโอกาสในการเข้ารอบได้ทันที แต่เป็นทีมจากแอฟริกาที่ฉวยโอกาสขึ้นนำได้ก่อนในนาทีที่ 11 จากจังหวะที่อิจิ คาวาชิมะ ผู้รักษาประตูญี่ปุ่น พยายามชกบอล แต่ไปกระเด้งโดนซาดิโอ มาเน เข้าประตูไป

 

แต่ญี่ปุ่นไม่ยอมแพ้ มาไล่ตีเสมอได้ในนาทีที่ 34 จากการยิงสุดสวยของทาคาชิ อินุอิ ทำให้สกอร์ในช่วงครึ่งแรกจบลงด้วยการเสมอกัน 1-1 ก่อนที่จะกลับมาเปิดเกมสู้กันใหม่อย่างเร้าใจในช่วงครึ่งหลัง

 

เกมสูสีอย่างมากจนกระทั่งในนาทีที่ 71 เซเนกัลมาได้ประตูนำอีกครั้งในจังหวะที่มุสซา วากูเอ ได้บอลเปิดจากยุสซุฟ ซาบาลี ก่อนจะวิ่งมาซัดเข้าไปตุงตาข่าย แต่ญี่ปุ่นโชว์สปิริตไล่ตามตีเสมออีกครั้งในนาทีที่ 78 จากเคซูเกะ ฮนดะ ก่อนที่เกมจะจบลงด้วยการเสมอกัน 2-2 ทำให้ทั้งสองทีมมีทีมละ 4 แต้มในเวลานี้ และต้องลุ้นผลคู่สุดท้ายระหว่างโปแลนด์และโคลอมเบียว่าจะจบอย่างไร

 

สำหรับเกมสุดท้ายของกลุ่ม H จะมีขึ้นในวันพฤหัสบดีที่ 28 มิถุนายน ญี่ปุ่นจะพบกับโปแลนด์ และเซเนกัลจะพบกับโคลอมเบีย

 

คู่ที่ 3: โปแลนด์ VS โคลอมเบีย

โคลอมเบียชนะโปแลนด์ 3-0

 

สรุปผลการแข่งขันฟุตบอลโลก 2018 ประจำวันอาทิตย์ที่ 24 มิถุนายน 2561

 

 

คู่ที่ 1: เบลเยียม VS ตูนิเซีย

เบลเยียมแกร่งเกินทน ไล่อัดตูนิเซียขาดลอย 5-2 ลูกากูและอาซาร์ยิงเบิล

 

เริ่มเกมได้แค่ 4 นาที เอเดน อาซาร์ ถูกผู้เล่นตูนิเซียสกัดล้มบริเวณกรอบเขตโทษ ผู้ตัดสินไม่รอช้าเป่าให้เป็นจุดโทษของเบลเยียมทันที ก่อนที่ดาวเตะจากเชลซีจะลุกขึ้นมาสังหารด้วยตัวเอง ให้ปีศาจแดงแห่งยุโรปออกนำตูนิเซียไปก่อน 1-0

 

เบลเยียมมาได้ประตูขึ้นนำอีกครั้งจากจังหวะการจบสกอร์ที่เฉียบคมของ ‘บิ๊กรอม’ โรเมลู ลูกากู แต่หลังจากขึ้นนำลูกที่ 2 ได้แค่ไม่กี่นาที ตูนิเซียก็อาศัยความผิดพลาดในการประกบตัวของนักเตะเบลเยียม โดย วาห์บี คาซรี เปิดบอลให้แบ็กขวา ดิลัน บรอนน์ โขกเข้าประตูไป ตูนิเซียไล่ตาม 2-1

 

ลูกากูมาเบิลประตูที่ 2 ของตัวเองในเกมนี้ จากจังหวะที่ โธมัส มุลเลอร์ แทงทะลุช่องให้หลุดเข้าไปกดนิ่มๆ เบลเยียมออกนำ 3-1 โดยประตูนี้ยังส่งผลให้ศูนย์หน้าจากสโมสรแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ยิงไปแล้ว 4 ประตู ขึ้นไปนำเป็นดาวซัลโวร่วมกับคริสเตียโน โรนัลโด

 

เกมครึ่งหลังเริ่มต้นได้แค่ 5 นาที เอเดน อาซาร์ มาโชว์ทักษะฟุตบอลที่เหนือชั้น ดึงบอลหลบผู้รักษาประตูตูนิเซียก่อนซัดเข้าไปให้เบลเยียมหนีห่างไปเป็น 4-1 และเป็นประตูที่ 2 ของกัปตันทีมชาติเบลเยียมในเกมนี้แล้ว ช่วงท้ายเกมตัวสำรอง มิชี บาตชูอายี มายิงประตูเพิ่มให้เบลเยียมขึ้นนำตูนิเซีย 5-1 ได้สำเร็จ

 

เกมทำท่าว่าจะจบลงแล้ว แต่ทีมจากแอฟริกายังไม่ถอดใจ ตีตื้นขึ้นมาเป็น 5-2 จากกัปตันทีม คาซรี ในนาทีที่ 93 จบเกมเบลเยียมชนะตูนิเซียไปได้สำเร็จ พร้อมขึ้นนำเป็นจ่าฝูงกลุ่ม G ชั่วคราว แข่ง 2 นัด เก็บได้ 6 คะแนนเต็ม การันตีการผ่านเข้ารอบ 16 ทีมสุดท้ายแล้ว

 

คู่ที่ 2: เกาหลีใต้ VS เม็กซิโก

เม็กซิโกยังร้อนแรงต่อเนื่อง เบียดชนะเกาหลีใต้ 2-1 เพิ่มโอกาสลุ้นเข้ารอบสูง

 

เกมในนัดที่ 2 ของกลุ่ม F คู่แรกเป็นการพบกันระหว่างเกาหลีใต้และเม็กซิโก หลังเกมแรกของทั้งคู่ เกาหลีใต้พ่ายสวีเดนไป 0-1 ส่วนเม็กซิโกโชว์ฟอร์มโหดพลิกล็อกเอาชนะเยอรมนี 1-0 โดยเกมในนัดนี้ประธานาธิบดีเกาหลีใต้ ‘มุนแจอิน’ และภริยา คิมจองซุก ก็เดินทางมาให้กำลังใจทัพนักฟุตบอลโสมขาวด้วย

 

เริ่มเกมมา เม็กซิโกและเกาหลีใต้เปิดฉากแลกหมัดเดินเกมเร็วใส่กันได้อย่างวูบวาบน่าหวาดเสียว และเป็นจังโก้ที่ได้ประตูขึ้นนำก่อน 1-0 จากจังหวะจุดโทษของ คาร์ลอส เวลา ศูนย์หน้าวัย 29 ปีที่ยิงเข้าไปอย่างเยือกเย็นในนาทีที่ 26 ขณะที่ 2 ประตูแรกที่เสียในฟุตบอลโลกปีนี้ของเกาหลีใต้มาจากลูกจุดโทษล้วนๆ

 

เกมครึ่งหลังยังเป็น El Tri ที่รุกใส่เกาหลีใต้อย่างไม่มีทีท่าว่าจะลดละ จนมาได้ประตูขึ้นนำอีกครั้งเมื่อ เออร์วิง โลซาโน จ่ายบอลให้ ฮาเวียร์ เอร์นานเดซ ล็อกหลบ จางฮุนซู ก่อนซัดสวนตัวผู้รักษาประตูเข้าไป ส่งผลให้ ‘ถั่วน้อย’ ยิงประตูในนามทีมชาติเป็นลูกที่ 50 จากการลงสนามทั้งหมด 104 นัดแล้ว (นำดาวซัลโวสูงสุดตลอดกาลของทีมชาติเม็กซิโก)

 

ช่วงทดเวลาบาดเจ็บนาทีที่ 90+3 ดูเหมือนเกมจะจบแล้ว แต่ ซนฮึนมิน ก็งัดไม้ตายเลี้ยงบอลตัดเข้าในก่อนซัดไกลจากนอกกรอบเขตโทษเข้าไปอย่างหมดจด ช่วยให้เกาหลีใต้ไล่เม็กซิโกตามมาติดๆ จบเกมเม็กซิโกชนะเกาหลีใต้ได้ 2-1 เพิ่มโอกาสลุ้นเข้ารอบสูง รอลุ้นผลคู่สวีเดนพบเยอรมนีในเวลา 01.00 น. (เช้าวันอาทิตย์)

 

คู่ที่ 3: เยอรมนี VS สวีเดน

โครส ฮีโร่ยิงทดเจ็บช่วยแชมป์เก่าเยอรมนีแซงชนะสวีเดนสุดระทึก 2-1

 

‘อินทรีเหล็ก’ เยอรมนี แชมป์โลกเมื่อ 4 ปีที่แล้ว ลงเล่นเกมที่ 2 ในศึกฟุตบอลโลกโดยมีเป้าหมายต้องการชัยชนะเท่านั้นในการพบกับ สวีเดน หลังจากแพ้เม็กซิโกมาในเกมแรก ขณะที่ทีมจากสแกนดิเนเวียชนะเกาหลีใต้มาในเกมแรกจึงอยู่ในสถานการณ์ที่ดีกว่า

 

นัดนี้ โยอาคิม เลิฟ โค้ชเยอรมนีตัดสินใจเปลี่ยนทีมหลายตำแหน่ง โดยดรอปตัวหลักอย่าง เมซุต โอซิล, ซามี เคดิรา และ อิลคาย กุนโดกัน และให้โอกาส มาร์โค รอยส์, เซบาสเตียน รูดี้ ได้โอกาสลงสนามเป็นตัวจริงบ้าง และพยายามจะเปิดเกมบุกใส่ตั้งแต่ต้น

 

แต่เกมรับที่หละหลวมของแชมป์เก่าก็กลายเป็นจุดสลบ เมื่อสวีเดนได้โอกาสสวนกลับเร็ว โอลา ทอยโฟเนน ได้หลุดเดี่ยวเข้าไปกระดกบอลข้าม มานูเอล นอยเออร์ เข้าประตูไปให้ สวีเดนขึ้นนำ 1-0 ในนาทีที่ 32 และเป็นประตูโทนของครึ่งแรก

 

เยอรมนีมาไล่ตีเสมอได้ในช่วงต้นครึ่งหลังในนาทีที่ 49 จาก มาร์โค รอยส์ ที่ได้ยิงในกรอบเขตโทษเข้าไป ก่อนที่แชมป์เก่าจะพยายามเปิดเกมรุกหนักแต่ก็ทำอะไรสวีเดนไม่ได้ 

 

จนกระทั่งช่วงทดเวลาบาดเจ็บ เยอรมนีซึ่งเหลือผู้เล่น 10 คนในช่วงท้าย หลัง เยโรม บัวเต็ง โดนใบเหลืองแดงไล่ออกจากสนาม มาได้ลูกฟรีคิกริมกรอบเขตโทษทางฝั่งซ้าย โทนี โครส เขี่ยเปลี่ยนจุดยิง ก่อนจะปั่นโค้งเสียบเสาสองไปแบบมหัศจรรย์ ทำให้แชมป์เก่าพลิกสถานการณ์กลับมาชนะได้ 2-1 รักษาความหวังในการเข้ารอบต่อไปเอาไว้ได้สำเร็จ

 

เกมสุดท้าย เยอรมนีจะพบกับเกาหลีใต้ ในวันพุธที่ 27 มิ.ย. ขณะที่ สวีเดนจะพบกับเม็กซิโก ในเวลาเดียวกัน

 

สรุปผลการแข่งขันฟุตบอลโลก 2018 ประจำวันเสาร์ที่ 23 มิถุนายน 2561

 

 

คู่ที่ 1: บราซิล VS คอสตาริกา

เดือดท้ายเกม! บราซิลบี้คอสตาริกา 2-0 ได้ประตูช่วงทดเวลาบาดเจ็บทั้ง 2 ลูก

 

เริ่มเกมมาได้แค่ไม่กี่นาที บราซิลเป็นฝ่ายพับสนามบุกใส่ ‘กล้วยหอม’ ทีมชาติคอสตาริกาอย่างหนัก แต่กลับขาดความเฉียบขาดในจังหวะสุดท้าย และเกือบมาได้จุดโทษจากจังหวะที่เนย์มาร์ล้มลงไปในกรอบเขตโทษของคอสตาริกา แต่ผู้ตัดสินเรียกใช้เทคโนโลยี VAR ก่อนตัดสินไม่ให้เป็นประตู

 

จนกระทั่งช่วงท้ายเกมนาทีที่ 90+1 เซเลเซามาได้ประตูขึ้นนำ 1-0 จากจังหวะที่ฟูลแบ็กจอมบุก มาร์เชลโล เปิดบอลจากฝั่งซ้ายของสนามข้ามไปให้ โรแบร์โต เฟอร์มิโน โหม่งตั้งกลับมายัง กาเบรียล เฆซุส ที่ถึงจะจับบอลลั่น แต่กลายเป็นโชคของบราซิล เพราะ ฟิลิปป์ คูตินโญ วิ่งขึ้นมายิงเข้าประตูไปได้สำเร็จ

 

บราซิลมาได้ประตูย้ำชัยอีกครั้งในนาทีที่ 90+7 เมื่อเนย์มาร์วิ่งสอดเข้าไปยิงประตูจากลูกจ่ายของ ดักลาส คอสตา ทำให้บราซิลลงแข่งไปทั้งหมด 2 นัดเก็บได้ 4 แต้ม พาทีมขึ้นไปนำเป็นจ่าฝูงกลุ่ม E ชั่วคราว รอลุ้นผลคู่ระหว่างเซอร์เบียและสวิตเซอร์แลนด์ในเวลา 01.00 น. (เช้าวันเสาร์ที่ 23 มิ.ย.) 

 

คู่ที่ 2: ไนจีเรีย VS ไอซ์แลนด์

มูซา ซัดเบิลไนจีเรียสยบไอซ์แลนด์ 2-0 กลุ่ม D เตรียมชี้ชะตาเดือดนัดสุดท้าย

 

ไนจีเรีย ซึ่งพ่ายต่อ โครเอเชีย มาในเกมแรก ลงสนามบนเงื่อนไขที่จำเป็นต้องชนะให้ได้เพื่อรักษาความหวังในการเข้ารอบต่อไป เช่นเดียวกับ ไอซ์แลนด์ ที่ต้องการ 3 แต้มเต็มเพื่อโอกาสสูงสุดในการเข้ารอบหลังอาร์เจนตินาพลาดท่าพ่ายต่อโครเอเชียย่อยยับในเกมเมื่อคืนนี้

 

เกมในครึ่งแรกไม่มีฝ่ายใดทำอะไรกันได้ จนกระทั่งกลับมาลงสนามใหม่ในครึ่งหลังได้แค่ 4 นาที ไนจีเรียได้ประตูขึ้นนำ 1-0 จากจังหวะที่ วิกเตอร์ โมเซส ลุยมาทางขวาก่อนเปิดเข้ากลางมาให้ อาห์เหม็ด มูซา จับบอลก่อนยิงเข้าไปอย่างหมดจด

 

หลังจากนั้นมูซามาทำประตูที่สองของตัวเองได้อีกในนาทีที่ 75 จากการพาบอลมาเองก่อนจะลากหลบ ฮันเนส ฮัลดอร์สสัน ผู้รักษาประตูไอซ์แลนด์ ก่อนจบสกอร์เข้าไปเป็นประตู 2-0 เพิ่มความหวังในการเก็บชัยชนะให้พญาอินทรีมรกตจากแอฟริกา

 

ไอซ์แลนด์ มีโอกาสตีไข่แตกจากลูกจุดโทษที่ได้จากการตัดสินด้วย VAR ในนาทีที่ 81 แต่ กิลฟี ซิเกิร์ดส์สัน มือสังหารกลับยิงพลาดข้ามคานออกไป ก่อนที่เกมจะจบลงด้วยชัยชนะของไนจีเรีย ทำให้สถานการณ์ในเวลานี้พวกเขามี 3 คะแนน เป็นรองจ่าฝูงต่อจากโครเอเชีย และจะพบกับอาร์เจนตินาในนัดสุดท้าย ขณะที่ ไอซ์แลนด์ จะพบกับโครเอเชีย ในวันที่ 26 มิ.ย. นี้

 

คู่ที่ 3: เซอร์เบียร์ VS สวิตเซอร์แลนด์ 

สวิตเซอร์แลนด์เอาชนะเซอร์เบียร์ไป 2-1

 

สรุปผลการแข่งขันฟุตบอลโลก 2018 ประจำวันศุกร์ที่ 22 มิถุนายน 2561

 

 

คู่ที่ 1: เดนมาร์ก VS ออสเตรเลีย เสมอ 1-1

 

คู่ที่ 2: ฝรั่งเศส VS เปรู

ฝรั่งเศสเหนือกว่า คีเลียน เอ็มบัปเป้ ยิงประตูชัยส่งเปรูกลับบ้าน 1-0 พร้อมการันตีผ่านเข้ารอบแล้ว

 

ทีมชาติฝรั่งเศสเอาชนะทีมชาติเปรูไป 1-0 ได้ประตูจากลูกยิงซ้ำจ่อๆ ของศูนย์หน้าดาวรุ่งวัย 19 ปี คีเลียน เอ็มบัปเป้ ในนาทีที่ 34 พร้อมทำสถิติเป็นนักเตะฝรั่งเศสอายุน้อยที่สุดที่ทำประตูได้ในฟุตบอลโลกรอบสุดท้าย (19 ปี 183 วัน) พาทีมเก็บอีก 3 คะแนน รวมแข่ง 2 นัดได้ 6 คะแนน นำจ่าฝูงกลุ่ม C และการันตีผ่านเข้ารอบ 16 ทีมสุดท้ายเป็นที่เรียบร้อยแล้ว 

 

ด้านเปรูที่นัดนี้สู้ได้อย่างสมศักดิ์ศรีและห่างหายจากทัวร์นาเมนต์ฟุตบอลโลกไปถึง 36 ปีเต็มก็กระเด็นตกรอบไปอย่างน่าเสียดาย หลังแข่ง 2 นัด แพ้ทั้ง 2 นัด เก็บแต้มไม่ได้เลย ส่วนคู่หัวค่ำที่ลงแข่งขันไปก่อนหน้านี้อย่างออสเตรเลียทำได้แค่เสมอกับเดนมาร์กไป 1-1

 

เกมการแข่งขันนัดต่อไป เปรูจะพบกับออสเตรเลีย ขณะที่ฝรั่งเศสจะไปวัดกับเดนมาร์กในวันอังคารที่ 26 มิถุนายน เวลา 21.00 น.

 

คู่ที่ 3: อาร์เจนตินา VS โครเอเชีย

เมสซีสิ้นหวัง อาร์เจนตินาพ่ายโครเอเชียย่อยยับ 3-0 จ่อตกรอบ 

 

เกมบิ๊กแมตช์ที่แฟนบอลเฝ้ารอคอยในการพบกันระหว่างอาร์เจนตินาและโครเอเชียที่มีความหมายถึงโอกาสในการลุ้นเข้ารอบต่อไปของทั้งสองทีม โดยเฉพาะทีม ‘ฟ้าขาว’ ที่พลาดเสมอไอซ์แลนด์มาในเกมแรก ทำให้จะพลาดไม่ได้อีก

 

ด้วยความกดดัน ทำให้อาร์เจนตินาพยายามเร่งเกมและบุกใส่โครเอเชีย และมีโอกาสที่จะได้ประตูขึ้นนำจากจังหวะที่เอ็นโซ เปเรซ ได้ยิงโล่งๆ แต่กลับยิงหลุดกรอบออกไปแบบเหลือเชื่อ ก่อนที่เกมจะกลับมาสู้กันอย่างสูสีและจบลงด้วยการเสมอกัน 0-0 ในครึ่งแรก

 

เข้าสู่ครึ่งหลัง เกมกำลังทำท่าจะสู้กันเข้มข้น ความผิดพลาดที่เหลือเชื่อของวิลเฟรโด กาบาเยโร ได้นำไปสู่ฝันร้ายตลอดกาลของอาร์เจนตินา เมื่อเตะพลาดบอลลอยไปเข้าทางอันเต้ เรบิช ได้หวดเต็มๆ เข้าไปเป็นประตู 1-0 ในนาทีที่ 53

 

อาร์เจนตินาพยายามบุกเพื่อเอาคืนโดยส่งแนวรุกลงมาเสริมทั้งกอนซาโล อิกวาอิน และเปาโล ดีบาลา แต่กลับมาโดนโครเอเชียยิงหนีเป็น 2-0 นาทีที่ 80 จากลูกปั่นโค้งหน้ากรอบเขตโทษของลูกา โมดริช ก่อนที่จะได้ประตูฝัง 3-0 ในช่วงทดเวลาบาดเจ็บจากอีวาน ราคิติช จบเกมโครเอเชียชนะขาดลอยผ่านเข้าสู่รอบต่อไปเป็นที่เรียบร้อย ขณะที่อาร์เจนตินาความหวังเข้าสู่รอบต่อไปแทบไม่เหลือ โดยต้องรอลุ้นผลคู่ระหว่างไอซ์แลนด์และไนจีเรียในวันพรุ่งนี้เป็นลำดับแรก

 

สรุปผลการแข่งขันฟุตบอลโลก 2018 ประจำวันพฤหัสบดีที่ 21 มิถุนายน 2561

 

 

คู่ที่ 1: โปรตุเกส VS โมร็อกโก

คริสเตียโน โรนัลโด ซัดอีก นำโปรตุเกสเฉือนโมร็อกโก 1-0

 

คริสเตียโน โรนัลโด ยังร้อนแรงต่อเนื่อง ทำประตูชัยให้โปรตุเกสเฉือนเอาชนะโมร็อกโก 1-0 รักษาความหวังในการลุ้นเข้ารอบเอาไว้ได้

 

โปรตุเกส ซึ่งนำโดยคริสเตียโน โรนัลโด ซูเปอร์สตาร์ผู้ทำแฮตทริกในเกมนัดแรกช่วยให้ทีมไล่ตีเสมอสเปนได้สำเร็จ 3-3 ลงสนามพบกับโมร็อกโกที่พลาดท่าพ่ายพลิกล็อกต่ออิหร่านในเกมแรก และทำให้เกมนี้ไม่สามารถพลาดได้อีก

 

แต่เริ่มเกมมา โมร็อกโกก็พลาดท่าเสียทีให้โปรตุเกสจากลูกเตะมุม แบร์นาโด ซิลวาเปิดเข้ามากลางประตู เป็นคริสเตียโน โรนัลโด พุ่งโหม่งเข้าไปอย่างรวดเร็วตั้งแต่นาทีที่ 4

 

หลังจากนั้นโมร็อกโกพยายามจะเปิดเกมบุกเพื่อเอาประตูคืน แต่ช่วงเวลาที่เหลือไม่สามารถที่จะเจาะผ่านเกมรับของโปรตุเกสที่เหนียวแน่นและสามารถโต้กลับมาเป็นระยะได้ ทำให้จบเกมโปรตุเกสเป็นฝ่ายเฉือนเอาชนะได้ 1-0 มี 4 คะแนน ขณะที่โมร็อกโกไม่มีสักแต้ม ตกรอบเป็นทีมแรกของฟุตบอลโลกหนนี้

 

เกมนัดสุดท้ายของกลุ่มนี้จะมีขึ้นในวันที่ 25 มิถุนายน ลงสนามพร้อมกันในเวลา 01.00 น. โดยโปรตุเกสจะพบกับอิหร่าน ขณะที่โมร็อกโกจะพบกับสเปน

 

คู่ที่ 2: อุรุกวัย VS ซาอุดีอาระเบีย

ซัวเรซยิงประตูโทนส่งซาอุดีอาระเบียกลับบ้าน 1-0 พาอุรุกวัยและรัสเซียเข้ารอบ 2 ทีมแรก

 

หลุยส์ ซัวเรซ ศูนย์หน้าจากอุรุกวัย เจ้าของสถิติรับใช้ชาตินัดที่ 100 ยิงประตูชัยของเกมในนาทีที่ 23 พา ‘ทัพจอมโหด’ อุรุกวัยชนะซาอุดีอาระเบียไปแบบหวาดเสียวที่ 1-0 โดยประตูในนัดนี้นับเป็นลูกที่ 52 ในนามทีมชาติของเขาแล้ว และยังเป็นนักเตะอุรุกวัยคนแรกที่สามารถยิงประตูในฟุตบอลโลกรอบสุดท้ายได้ 3 สมัยติดต่อกัน 

 

ชัยชนะในนัดนี้ยังส่งผลให้เกมนัดหน้าของอุรุกวัยและรัสเซียจะเล่นสบายกันมากขึ้น เนื่องจากทั้งสองทีมลงเล่น 2 นัด เก็บได้ 6 แต้มเต็ม และผ่านเข้ารอบ 16 ทีมสุดท้ายอย่างเป็นทางการไปแล้วทั้งคู่ ขณะที่เหลือการแข่งในกลุ่ม A อีกแค่นัดเดียว ซาอุดีอาระเบียและอียิปต์หมดสิทธิ์ลุ้นผ่านเข้ารอบอย่างเป็นทางการ 

 

คู่ที่ 3: อิหร่าน VS สเปน  

สเปนเฉือนหวิวอิหร่าน 1-0 นำจ่าฝูงร่วมกับโปรตุเกสที่ 4 คะแนน

 

ทีมชาติสเปนเป็นฝ่ายบุกชุดใหญ่โหมกระหน่ำใส่อิหร่าน กระทั่งมาปลดล็อกได้ประตูขึ้นนำในนาทีที่ 54 จากดิเอโก คอสตา ส่งผลให้เขาขึ้นนำเป็นดาวซัลโวลำดับ 2 ร่วมกับเดนิส เชรีเยฟ ที่ยิงไป 3 ประตูเท่ากัน (อันดับ 1 คือคริสเตียโน โรนัลโด ยิงไป 4 ประตู)

 

ช่วงนาทีที่ 62 ทีมจากเอเชียเกือบมาได้ประตูตีเสมอ แต่ผู้ตัดสินเรียกใช้เทคโนโลยี VAR ก่อนตัดสินไม่เป็นประตู เนื่องจากผู้เล่นอิหร่านยืนเหลื่อมอยู่ในตำแหน่งล้ำหน้า จบเกมสเปนชนะอิหร่านไป 1-0 เก็บ 3 แต้มขึ้นอันดับ 1 ร่วมกลุ่ม B กับทีมชาติโปรตุเกสที่แข่ง 2 นัดเก็บไป 4 แต้มเท่ากัน ส่งผลให้โมร็อกโกที่แพ้รวดทั้งสองนัดตกรอบเป็นที่เรียบร้อย

 

เกมนัดต่อไป ‘La Roja’ ทีมชาติสเปนจะพบกับโมร็อกโก ส่วนโปรตุเกสจะพบกับอิหร่าน ในวันอังคารที่ 26 มิถุนายน เวลา 01.00 น.

 

สรุปผลการแข่งขันฟุตบอลโลก 2018 ประจำวันพุธที่ 20 มิถุนายน 2561

 

 

คู่ที่ 1: ญี่ปุ่น VS โคลอมเบีย

ญี่ปุ่นทำได้! เชือดโคลอมเบีย 2-1 Carlos Sánchez ประเดิมใบแดงแรกฟุตบอลโลกปีนี้

 

คาร์ลอส ซานเชซ กองกลางตัวรับจากสโมสรฟิออเรนตินา สร้างประวัติศาสตร์ได้รับใบแดงแรกของทัวร์นาเมนต์ฟุตบอลโลก 2018 และเป็นใบแดงที่เร็วเป็นอันดับ 2 ของฟุตบอลโลกด้วยสถิติเวลา 2.56 นาที (สถิติใบแดงเร็วที่สุดตลอดกาลอยู่ที่ 54 วินาทีเป็นของโฆเช บาติสตา นักฟุตบอลทีมชาติอุรุกวัยในปี 1986) จากจังหวะที่กระโดดลอยตัวเอาแขนไปปัดป้องบอลในกรอบเขตโทษ ก่อนที่ชินจิ คากาวะ จะสังหารจุดโทษเข้าไปให้ญี่ปุ่นออกนำก่อน 1-0

 

โคลอมเบียที่เหลือกันอยู่ 10 คนมาได้ประตูตีเสมอ 1-1 ในช่วงท้ายเกมครึ่งแรก เมื่อฮวน ควินเตโร ยิงฟรีคิกหน้ากรอบเขตโทษทีมชาติญี่ปุ่นแบบกดเรียดพื้นเข้าไป แม้ผู้รักษาประตู อิจิ คาวาชิมะ จะควักบอลออกมาได้ แต่เทคโนโลยี Goal Line ก็ชี้ให้เห็นว่าบอลข้ามเส้นเข้าไปแล้วเต็มใบ

 

ญี่ปุ่นมาได้ประตูชัยจากยูยะ โอซาโกะ กองหน้าวัย 28 ปี ที่กระโดดโหนตัวขึ้นโหม่งลูกเตะมุมชนเสาเข้าไปในนาทีที่ 73 ช่วงเวลาที่เหลือทั้งสองทีมทำอะไรกันไม่ได้ ‘ซามูไรบลู’ เก็บ 3 แต้มประเดิมทัวร์นาเมนต์ในปีนี้ได้สำเร็จ ขึ้นอันดับ 1 ของกลุ่ม H ชั่วคราว รอลุ้นผลคู่โปแลนด์พบเซเนกัลในเวลา 22.00 น. โดยเกมนัดต่อไป ญี่ปุ่นจะเจอกับเซเนกัลในวันอาทิตย์ที่ 24 มิถุนายนนี้

 

คู่ที่ 2: เซเนกัล VS โปแลนด์

เซเนกัลแกร่งเกินคาด พลิกชนะโปแลนด์ 2-1 ทีมแรกจากแอฟริกาเก็บ 3 แต้มแรกในฟุตบอลโลกปีนี้

 

ทีมชาติเซเนกัลทำผลงานได้ยอดเยี่ยมเหนือความคาดหมายเมื่อสามารถเอาชนะโปแลนด์ ทีมอันดับ 8 ของโลกจาก FIFA Ranking ได้สำเร็จ (อันดับล่าสุดนับจนถึงวันอังคารที่ 19 มิ.ย.) ได้ประตูจากติอาโก ชิโอเน็ก นักเตะทีมชาติโปแลนด์ที่ทำเข้าประตูตัวเองในนาทีที่ 37 และเอ็มบาย เนียง ศูนย์หน้าวัย 23 ปีจากสโมสรโตริโนในประเทศอิตาลี

 

ช่วงท้ายเกม โปแลนด์พยายามโหมบุกหนักจนมาได้ประตูปลอบใจในนาทีที่ 86 จากเกอร์เซกอร์ซ ครีโชเวียก แต่ช่วงเวลาที่เหลือพวกเขาไม่สามารถทำอะไรทีมดังจากแอฟริกาได้ จบเกมเซเนกัลเก็บ 3 แต้มขึ้นอันดับ 1 ร่วมกลุ่ม H กับทีมชาติญี่ปุ่นที่ลงแข่งไปก่อนหน้านี้ และยังเป็นทีมจากทวีปแอฟริกาทีมแรกที่คว้า 3 แต้มในฟุตบอลโลกปีนี้ได้สำเร็จ

 

คู่ที่ 3: รัสเซีย VS อียิปต์

รัสเซียโชว์ฟอร์มร้อนต่อเนื่อง ต้อนอียิปต์ 3-1 การันตีเข้ารอบ

 

รัสเซียโชว์ฟอร์มร้อนแรงต่อเนื่องด้วยการถล่มอียิปต์ขาดลอย 3-1 เก็บอีก 3 คะแนน และการันตีโอกาสในการเข้ารอบต่อไปเรียบร้อย

 

ชาติเจ้าภาพซึ่งประเดิมเกมแรกได้อย่างสวยงามด้วยการถล่มซาอุดีอาระเบีย 5-0 ลงสนามด้วยขุนพลชุดเก่งที่นำมาโดยอเล็กซานเดอร์ โกโลวิน และเดนิส เชรีเชฟ สองฮีโร่จากเกมแรก ขณะที่อียิปต์ได้โมฮัมเหม็ด ซาลาห์ กองหน้าตัวเก่งผ่านความฟิตกลับมาลงสนามเป็นตัวจริงได้อีกครั้ง

 

เกมในครึ่งแรกไม่มีฝ่ายใดทำอะไรกันได้ ทำให้ยังเสมอกันอยู่ 0-0 แต่เข้าสู่ครึ่งหลังรัสเซียมาได้ประตูขึ้นนำ 1-0 จากจังหวะที่อาห์เหม็ด ฟาธี สกัดบอลเข้าประตูตัวเอง ก่อนที่จะมารัวอีก 2 ประตูจากเดนิส เชรีเชฟ ในนาทีที่ 59 ต่อด้วยประตู 3-0 ในอีก 3 นาทีต่อมาจากอาร์เทม ซูบา

 

แต่อียิปต์ ไม่ยอมแพ้ง่ายๆ พยายามเปิดเกมบุกใส่และมาได้ลูกจุดโทษในจังหวะที่ซาลาห์โดนดึงล้มในเขตโทษ และเป็นเจ้าตัวที่ลุกขึ้นมาสังหารประตูเข้าไปให้ทีมไล่ตามมาเป็น 3-1 ในนาทีที่ 73 แต่ในช่วงเวลาที่เหลือก็ไม่สามารถยิงประตูเพิ่มได้ เกมจึงจบลงด้วยสกอร์ดังกล่าว และทำให้รัสเซียมีโอกาสเข้ารอบสูงลิบ ขณะที่อียิปต์ตกรอบทันที

 

สรุปผลการแข่งขันฟุตบอลโลก 2018 ประจำวันอังคารที่ 19 มิถุนายน 2561

 

 

คู่ที่ 1: สวีเดน VS เกาหลีใต้

VAR มาอีกแล้ว! สวีเดนชนะเกาหลีใต้ 1-0 ขึ้นอันดับ 2 กลุ่ม F นัดหน้าดวลเยอรมนี

 

ทีมชาติสวีเดนเอาชนะทีมชาติเกาหลีใต้ไปได้ 1-0 ได้ประตูจากจังหวะที่ผู้ตัดสินเรียกใช้เทคโนโลยี VAR และเป่าให้เป็นจุดโทษ ก่อนที่อันเดรียส กรันควิสต์ กองหลังประสบการณ์สูงวัย 33 ปี จะซัดจุดโทษเข้าไปอย่างเยือกเย็นในนาทีที่ 65 ส่งทีมขึ้นอันดับ 2 ของกลุ่ม F

 

เกมนัดถัดไป เกาหลีใต้จะเจอกับทีมฟอร์มแรง ‘เม็กซิโก’ ในวันเสาร์ที่ 23 มิถุนายน เวลา 22.00 น. ส่วนสวีเดนจะพบกับเยอรมนีในวันอาทิตย์ที่ 24 มิถุนายน เวลา 01.00 น. 

 

คู่ที่ 2: เบลเยียม VS ปานามา

เบลเยียมฟอร์มร้อนแรง ปราบปานามา 3-0 ลูกากูยิงคนเดียว 2 ลูก

เบลเยียมได้ประตูขึ้นนำก่อนจากดรีส์ เมอร์เทนส์ ศูนย์หน้าจากสโมสรนาโปลี ที่ซัดบอลจังหวะเดียวแบบไม่จับในกรอบเขตโทษลอยโด่งเข้าประตูไปอย่างสวยงามในนาทีที่ 47

 

นาทีที่ 69 เบลเยียมมาได้ประตูขึ้นนำ 2-0 อีกครั้ง จากจังหวะเปิดบอลไซด์ก้อยสุดแม่นของเควิน เดอ บรอยน์ ให้โรเมลู ลูกากู โหม่งเข้าประตูไปแบบเหน่งๆ 

 

ก่อนที่ศูนย์หน้าวัย 25 ปีจะหลุดเดี่ยวเข้าไปยิงประตูที่ 2 ของตัวเองในเกมนี้ ย้ำชัยให้เบลเยียมในนาทีที่ 75 จบเกม 90 นาที ปีศาจแดงจากยุโรปชนะปานามา ทีมน้องใหม่ศึกฟุตบอลโลก 2018 ไปแบบขาดลอย 3-0 พาทีมขึ้นจ่าฝูงกลุ่ม G ชั่วคราว รอลุ้นผลคู่ตูนิเซียพบอังกฤษในเวลา 01.00 น. (เช้าวันอังคารที่ 19 มิ.ย.)

 

คู่ที่ 3: อังกฤษ VS ตูนิเซีย

เคน ฮีโร่เหมาสองโขกทดเจ็บอังกฤษเฉือนตูนิเซีย 2-1

 

ทีม ‘สิงโตคำราม’ อังกฤษ ลงสนามเกมแรกในศึกฟุตบอลโลก 2018 โดยพบกับตูนิเซีย จากแอฟริกา โดยเริ่มเกมมาแค่ 11 นาที อดีตแชมป์โลกเมื่อปี 1966 ที่บุกหนักก็ได้ประตูขึ้นนำจากจังหวะที่จอห์น สโตนส์ โหม่งไปติดเซฟของมูเอซ ฮัสเซน ผู้รักษาประตูตูนิเซีย แต่บอลมาเข้าทางแฮร์รี เคน กัปตันทีมอังกฤษยิงซ้ำดาบสองเข้าไป

 

หลังจากนั้นอังกฤษยังเดินเครื่องต่อ แต่กลับมาพลาดเสียจุดโทษง่ายๆ ในนาทีที่ 33 เมื่อไคล์ วอล์กเกอร์ ไปฟาดแขนใส่หน้าเบน ยูสเซฟ ผู้ตัดสินชี้ไปที่จุดโทษทันที และเป็นเฟอร์จานี ซาสซี ยิงตีเสมอให้กับตูนิเซียเป็น 1-1 ก่อนที่เกมจะจบครึ่งแรกไปด้วยสกอร์นี้

 

ในช่วงครึ่งเวลาหลัง อังกฤษพยายามเร่งเครื่องเพื่อจะตามหาประตูที่สอง และมาทำได้สำเร็จในนาทีสุดท้ายจากการโหม่งในระยะเผาขนของแฮร์รี เคน เจ้าเก่า

 

นัดต่อไป ตูนิเซียจะพบกับเบลเยียมในวันเสาร์ที่ 23 มิถุนายน ขณะที่อังกฤษมีคิวลงสนามนัดที่ 2 พบกับปานามา ในวันอาทิตย์ที่ 24 มิถุนายน

 

สรุปผลการแข่งขันฟุตบอลโลก 2018 ประจำวันจันทร์ที่ 18 มิถุนายน 2561

 

 

คู่ที่ 1: เซอร์เบีย VS คอสตาริกา

ทีเด็ดโคลารอฟ! ซัดฟรีคิกสุดสวย พาเซอร์เบียเฉือนหวิวคอสตาริกา 1-0 ขึ้นจ่าฝูงกลุ่ม E ชั่วคราว

หลังจากเซอร์เบียเป็นฝ่ายบุกอย่างต่อเนื่อง แต่ขาดเพียงแค่ความเด็ดขาดในจังหวะสุดท้าย ในที่สุดก็มาได้ประตูขึ้นนำ 1-0 ในนาทีที่ 56 จากอเล็กซานเดอร์ โคลารอฟ แบ็กซ้ายเท้าฉมังวัย 32 ปี ที่ปั่นฟรีคิกจากบริเวณมุมขวาของสนามฝั่งคอสตาริกาเข้าไปอย่างสุดสวย 

 

ท้ายเกมมีจังหวะชุลมุนเล็กน้อย เมื่อสตาฟฟ์โค้ช ‘กล้วยหอม’ คอสตาริกาไปแย่งบอลมาจากเนมันยา มาติช จนผู้ตัดสินต้องรีบเข้ามาปราม ช่วงเวลาที่เหลือทำอะไรกันไม่ได้ จบเกมเซอร์เบียชนะคอสตาริกา 1-0 

 

ประตูชัยในนัดนี้ของโคลารอฟยังส่งผลให้เจ้าตัวยิงประตูในนามทีมชาติไปทั้งหมด 11 ลูกจาก 77 นัดแล้ว พร้อมพาทีมเก็บ 3 แต้มแรกในทัวร์นาเมนต์ขึ้นไปเป็นจ่าฝูงล่วงหน้าของกลุ่ม E ได้สำเร็จ รอลุ้นผลคู่บราซิล-สวิตเซอร์แลนด์ที่จะลงเล่นในช่วง 01.00 น. (เช้าวันจันทร์ 18 มิ.ย.)

 

คู่ที่ 2: เม็กซิโก VS เยอรมนี

เม็กซิโกสู้ไม่ถอย! พลิกล็อกเอาชนะแชมป์เก่าเยอรมนี 1-0 ขึ้นจ่าฝูงกลุ่ม F ชั่วคราว

 

เริ่มต้นเกมได้แค่ไม่กี่นาที ทั้งสองทีมเปิดฉากเข้าแลกใส่กันได้สูสี ฝั่งจังโก้เองก็ไม่ได้เกรงกลัวบารมีแชมป์เก่าปี 2014 เลย เพราะหาจังหวะสวนกลับบุกได้น่าลุ้นตลอด โดยอาศัยความคล่องตัวและความวูบวาบของผู้เล่นในเกมรุก

 

กระทั่งนาทีที่ 35 เม็กซิโกมาได้ประตูขึ้นนำไปก่อนจากเออร์วิง โลซาโน ปีกดาวรุ่งวัย 22 ปี ที่รับบอลต่อจากฮาเวียร์ เอร์นานเดซ ก่อนล็อกหลบผู้เล่นเยอรมนีและซัดบอลสวนตัวมานูเอล นอยเออร์ เข้าประตูไปให้ทีมออกนำเยอรมนี 1-0 

 

ช่วงเวลาที่เหลือ เยอรมนีดาหน้าบุกแหลกใส่จังโก้ แต่ไม่เฉียบขาดในจังหวะสุดท้าย จบเกมเม็กซิโกทำผลงานได้เหนือความคาดหมาย ประเดิมเก็บ 3 แต้มแรกของทัวร์นาเมนต์ ทะยานขึ้นอันดับ 1 กลุ่ม F ชั่วคราว รอลุ้นผลคู่สวีเดน-เกาหลีใต้ ในวันพรุ่งนี้ (จันทร์ 18 มิ.ย.) เวลา 19.00 น. 

 

นัดต่อไปเม็กซิโกมีคิวพบกับเกาหลีใต้ในวันเสาร์ที่ 23 มิถุนายน เวลา 22.00 น. ส่วนอินทรีเหล็กจะเจอกับสวีเดนในวันอาทิตย์ที่ 24 มิถุนายน เวลา 01.00 น.

 

คู่ที่ 3: บราซิล VS สวิตเซอร์แลนด์

บราซิลพลาดชัย โดนสวิตเซอร์แลนด์ไล่เจ๊าสุดมัน 1-1

 

ลูกปั่นโค้งสุดสวยของฟิลิปป์ คูตินโญ ในนาทีที่ 20 เป็นประตูขึ้นนำเหนือสวิตเซอร์แลนด์ 1-0 และยังเป็นการเริ่มต้นที่สวยงามให้บราซิล อดีตแชมป์ฟุตบอลโลก 5 สมัยในเกมการแข่งขันที่สนามรอสตอฟ อารีนา 

 

แต่ขุนพลนักเตะจากแดนนาฬิกาไม่ยอมแพ้ง่ายๆ พยายามต่อสู้กับทีมเต็งหนึ่งของการแข่งขันอย่างบราซิลที่อุดมไปด้วยขุนพลระดับซูเปอร์สตาร์ล้นทีม นำมาโดย เนย์มาร์ จูเนียร์, กาเบรียล เฆซุส, มาร์เซโล, คาเซมิโร ได้อย่างน่าดูชม โดยอาศัยเกมรับที่แข็งแกร่งและเกมสวนกลับที่วูบวาบตอบโต้เป็นระยะ

 

จนกระทั่งเข้าสู่ครึ่งหลังในนาทีที่ 50 สวิตเซอร์แลนด์สามารถตีเสมอได้สำเร็จจากการโหม่งของสตีเวน ซูเบอร์ ทำให้สกอร์กลับมาเท่ากันที่ 1-1 ซึ่งในช่วงเวลาหลังจากนั้น บราซิลพยายามโหมบุกอย่างหนัก แต่ก็ไม่สามารถเจาะตาข่ายคู่แข่งได้เพิ่ม ทำให้เกมจบลงด้วยการเสมอกันไป 1-1 ในเกมนัดแรกของกลุ่ม E

 

สำหรับเกมนัดต่อไป บราซิลจะลงสนามพบคอสตาริกาที่แพ้เซอร์เบียมาในเกมแรกในวันศุกร์ที่ 22 มิถุนายน เวลา 19.00 น. ขณะที่สวิตเซอร์แลนด์จะพบจ่าฝูงของกลุ่มเซอร์เบียในช่วงดึก เวลา 01.00 น.

 

สรุปผลการแข่งขันฟุตบอลโลก 2018 ประจำวันอาทิตย์ที่ 17 มิถุนายน 2561

 

 

คู่ที่ 1: ฝรั่งเศส VS ออสเตรเลีย

VAR ใช้งานครั้งแรกตัดสินจุดโทษ ฝรั่งเศสเฉือนออสเตรเลีย 2-1

 

ทีมชาติฝรั่งเศสคว้าชัยชนะประเดิมศึกฟุตบอลโลก 2018 ได้สำเร็จเหนือออสเตรเลีย โดยทีมของดิดิเยร์ เดสชองส์ พยายามเปิดเกมรุกเข้าใส่ตลอด แต่ไม่สามารถเจาะเกมรับที่เหนียวแน่นของคู่แข่งได้ จนกระทั่งมาได้ลูกจุดโทษในนาทีที่ 56 เมื่อพอล ป็อกบา ไหลบอลให้อองตวน กรีซมันน์ หลุดเข้าเขตโทษ แต่โดนเกี่ยวล้ม และเป็นกรีซมันน์ที่ลุกขึ้นมายิงจุดโทษให้ทีมขึ้นนำ 1-0

 

แต่หลังจากนั้นแค่ 3 นาที ออสเตรเลียมาได้ลูกจุดโทษบ้างจากการทำแฮนด์บอลของซามูเอล อุมติตี้ และเป็นไมล์ เยดินัค ที่ทำประตูตีเสมอเป็น 1-1 

 

หลังถูกตีเสมอ ฝรั่งเศสพยายามบุกต่อเนื่อง และในที่สุดก็มาได้ประตูขึ้นนำอีกครั้งเป็น 2-1 จากจังหวะที่ป็อกบาทำชิ่งกับเพื่อน ก่อนพยายามจิ้มบอลหนีแมทธิว ไรอัน บอลเปลี่ยนทางย้อยเสียบเข้าใต้ประตูก่อนกระเด้งออกมา แต่ระบบ Goal Line ตัดสินให้เป็นประตู ซึ่งลูกนี้เป็นประตูชัยของพลพรรค ‘เลส์ เบลอส์’ ในเกมนี้ด้วย

 

คู่ที่ 2: อาร์เจนตินา VS ไอซ์แลนด์

ลิโอเนล เมสซี ซัดจุดโทษพลาด อาร์เจนตินาได้แค่เสมอไอซ์แลนด์ 1-1

 

ลิโอเนล เมสซี พลาดครั้งใหญ่เมื่อซัดจุดโทษไม่เข้า ทำให้อาร์เจนตินาทำได้เพียงแค่เสมอกับไอซ์แลนด์ที่ลงเล่นฟุตบอลโลกเป็นเกมแรกในประวัติศาสตร์ สามารถยันเสมอ 1-1 ได้ โดยเริ่มเกมมา ทีม​ ‘ฟ้าขาว’ เหมือนจะมาดี เมื่อเซร์คิโอ อเกวโร สบโอกาสพลิกแต่งบอลในเขตโทษ ก่อนซัดด้วยซ้ายเข้าไปอย่างสุดมันในนาทีที่ 19

 

แต่อาร์เจนตินาขึ้นนำได้เพียงแค่ 4 นาทีเท่านั้น ไอซ์แลนด์ก็ตีเสมอได้สำเร็จจากอัลเฟรด ฟินน์โบกาสัน ที่เข้าซ้ำหลังวิลลี กาบาเยโร ปัดบอลมาเข้าทาง

 

หลังจากนั้นไอซ์แลนด์ต้านทานเกมบุกของอาร์เจนตินาอย่างแข็งขัน แต่ก็มาเสียจุดโทษในนาทีที่ 63 เมื่อมักซิมิิลิอาโน เมซา โดนทำฟาวล์ในเขตโทษ แต่เมสซีกลับซัดไปติดเซฟของฮันเนส ธอร์ ฮัลดอร์สสัน ก่อนที่ไอซ์แลนด์จะยันเอาไว้ได้จนหมดเวลา เสมอกันไปในเกมแรก

 

คู่ที่ 3: เดนมาร์ก VS เปรู

แคสเปอร์ ชไมเคิล สุดเหนียว เซฟอุตลุดพาเดนมาร์กเฉือนเปรู 1-0 

 

แคสเปอร์ ชไมเคิล ผู้รักษาประตูทีมชาติเดนมาร์กจากสโมสรเลสเตอร์ ซิตี้ วัย 31 ปี โชว์ฟอร์มสุดหนึบเซฟไปถึง 6 ครั้ง ช่วยทีมเก็บ 3 แต้มแรกของทัวร์นาเมนต์จนขึ้นอันดับ 2 กลุ่ม C ได้สำเร็จ 

 

รูปเกมตลอดทั้ง 90 นาที ทั้งสองทีมผลัดกันรุก-รับอย่างสูสี กระทั่งนาทีที่ 44 เทคโนโลยี VAR มาถูกเรียกใช้งานในจังหวะที่คริสเตียน กูเอวา ถูกสกัดล้มในกรอบเขตโทษ ผู้ตัดสินให้เปรูได้จุดโทษ แต่กูเอวาดันยิงข้ามคานหลุดไปไกล ไม่สามารถฉวยโอกาสทองไว้ได้

 

เริ่มครึ่งหลังได้เพียง 13 นาที ความพยายามของทัพโคนมก็มาประสบความสำเร็จ เมื่อมิดฟิลด์จอมทัพ คริสเตียน อีริกเซน แทงบอลทะลุช่องให้ยุสซุฟ โพลเซน วิ่งหลุดกับดักล้ำหน้า ยิงสวนผู้รักษาประตูให้เดนมาร์กออกนำไปก่อน 0-1 ในนาทีที่ 58 ช่วงเวลาที่เหลือทั้สองทีมไม่สามารถทำอะไรกันได้ จบเกมเดนมาร์กเก็บ 3 แต้มแรกของทีม ขึ้นอันดับ 2 ของกลุ่ม C ได้สำเร็จ

 

คู่ที่ 4: โครเอเชีย VS ไนจีเรีย

โครเอเชียประเดินนัดแรกสวย ชนะไนจีเรีย 2-0 ขึ้นจ่าฝูงกลุ่ม

 

ครึ่งแรกโครเอเชียมาได้ประตูขึ้นนำก่อนจากจังหวะลูกเตะมุมที่มาริโอ มานด์ซูคิช พุ่งโหม่งบอลไปแฉลบขาของโอเฮเนคาโร อีเตโบ ผู้เล่นไนจีเรีย เปลี่ยนทางเข้าประตูตัวเองไป 1-0 ในนาทีที่ 32 ก่อนที่ครึ่งหลังลูกา โมดริช กัปตันทีม จะมาซัดจุดโทษให้ทีมขึ้นนำ 2-0 ในนาทีที่ 72

 

จบเกม 90 นาที โครเอเชียเก็บ 3 แต้มแรกประเดิมทัวร์นาเมนต์ได้สำเร็จ พร้อมขึ้นนำเป็นจ่าฝูงของกลุ่ม D แซงหน้าอาร์เจนตินาและไอซ์แลนด์ที่ลงเล่นในช่วงหัวค่ำที่ผ่านมาที่ทำได้แค่เสมอ

 

สรุปผลการแข่งขันฟุตบอลโลก 2018 ประจำวันเสาร์ที่ 16 มิถุนายน 2561

 

 

คู่ที่ 1: อียิปต์ VS อุรุกวัย

ซาลาห์ไม่มาตามนัด! Giménez โขกคว้าชัยพาอุรุกวัยเฉือนอียิปต์ 1-0 ขึ้นอันดับสองกลุ่ม A

 

อุรุกวัยเอาชนะอียิปต์ไปได้ 1-0 จากการทำประตูของโฆเซ กิเมเนซ กองหลังวัย 23 ปี ในนาทีที่ 89 ขณะที่เกมในนัดนี้ โมฮัมเหม็ด ซาลาห์ ที่เพิ่งหายจากอาการบาดเจ็บยังไม่ได้รับโอกาสลงเล่น

 

ส่วนเกมนัดหน้าของกลุ่ม A รัสเซียจะดวลกับอียิปต์ในวันพุธที่ 20 มิถุนายน เวลา 01.00 น. (คืนวันอังคารที่ 19 มิ.ย.) ด้านอุรุกวัยจะพบกับซาอุดีอาระเบีย เวลา 22.00 น.

 

คู่ที่ 2: โมร็อกโก VS อิหร่าน

ดราม่าเดือดท้ายเกม! โมร็อกโกทำเข้าประตูตัวเอง น.90+5 ส่งอิหร่านประเดิมเก็บ 3 แต้มแรกสำเร็จ

 

อิหร่านแซงเอาชนะโมร็อกโก 1-0 โดยได้ประตูจากการทำเข้าประตูตัวเองของอาซิซ บูฮัดดูซ กองหน้าตัวสำรองทีมชาติโมร็อกโกในนาทีที่ 90+5 ช่วยให้ตัวแทนจากทวีปเอเชียประเดิมเก็บ 3 แต้มแรกของทัวร์นาเมนต์ได้สำเร็จ 

 

รูปเกมเกือบตลอดทั้ง 90 นาที เป็นโมร็อกโกที่เดินหน้าเปิดเกมบุกข่มอิหร่านอยู่ฝ่ายเดียว แต่กลับไม่เฉียบขาดในจังหวะสุดท้ายจนต้องมาพลาดท่าเสียประตูแบบโชคร้ายสุดๆ ในช่วงท้ายเกม

 

และถือเป็นข้อได้เปรียบของอิหร่านเป็นอย่างมาก เพราะในสองแมตช์ต่อไปของทั้งคู่จะต้องเผชิญหน้ากับของแข็งในกลุ่ม B อย่างสเปนและโปรตุเกส

 

คู่ที่ 3: โปรตุเกส VS สเปน

สมศักดิ์ศรีเกมใหญ่ระดับ 5 ดาว สเปนดวลเดือดโปรตุเกสสุดมัน เสมอ 3-3 โด้กดแฮตทริกแรกทัวร์นาเมนต์!

 

‘ทัพกระทิงดุ’ ทีมชาติสเปนเสมอกับทีมชาติโปรตุเกสไปอย่างสุดมันด้วยสกอร์ 3-3 โดยคริสเตียโน โรนัลโด สามารถกดแฮตทริกแรกประจำทัวร์นาเมนต์ได้สำเร็จ ส่วนสเปนมาได้ 2 ประตูจากดิเอโก คอสตา อีกลูกเป็นผลงานการยิงสุดสวยของนาโช เฟร์นันเดซ

 

เริ่มต้นเกมมาได้เพียง 4 นาที โปรตุเกสออกนำไปก่อนจากจังหวะจุดโทษที่โรนัลโดถูกนาโช เฟร์นันเดซ แซะในกรอบเขตโทษ และเป็นโรนัลโดที่ลุกขึ้นมาซัดจุดโทษด้วยตัวเอง ช่วยให้ทีมขึ้นนำ 1-0 ก่อนที่ในนาทีที่ 24 สเปนจะมาตีเสมอ 1-1 จากความสามารถเฉพาะตัวล้วนๆ ของดิเอโก คอสตา ที่ส่งบอลเข้าไปตุงตาข่ายด้วยความเยือกเย็นและแข็งแกร่ง

 

ช่วงท้ายครึ่งแรก โปรตุเกสมาออกนำอีกครั้ง 2-1 ในนาทีที่ 44 หลังโรนัลโดซัดไกลจากหัวกะโหลกหน้ากรอบเขตโทษลูกเรียดพื้น แต่ดาวิด เด เฆอา ซองแตกรับบอลไม่อยู่ พลาดท่าเสียประตู

 

ครึ่งหลังเริ่มต้นเกมมาได้แค่ 10 นาที คอสตาคนเดิมมาบวกสกอร์ที่ 2 ให้ตัวเองตีเสมอ 2-2 ได้ในนาทีที่ 55 หลังจากนั้นอีก 3 นาทีสเปนก็ขึ้นนำ 2-3 อีกครั้งจากนาโช เฟร์นันเดซ

 

เกมทำท่าว่าจะจบลงโดยโปรตุเกสเป็นฝ่ายปราชัย แต่ดาวเตะมากความสามารถแห่งยุคอย่างคริสเตียโน โรนัลโด ก็มากดแฮตทริกแรกประจำทัวร์นาเมนต์ได้สำเร็จจากลูกยิงฟรีคิกสุดสวยที่ส่งบอลแหวกทะลุอากาศพุ่งเข้าไปจูบก้นตาข่ายในนาทีที่ 88

 

จบเกมสเปนและโปรตุเกสแบ่งกันไปทีมละ 1 แต้ม โดยเกมต่อไปโปรตุเกสจะเจอกับโมร็อกโกในวันพุธที่ 20 มิถุนายน เวลา 19.00 น. ส่วนสเปนจะต้องไปดวลกับจ่าฝูงของกลุ่มอย่างอิหร่านในวันพฤหัสบดีที่ 21 มิถุนายน เวลา 01.00 น. (คืนวันพุธที่ 20 มิ.ย.)

 

ผลการแข่งขันฟุตบอลโลก 2018 ประจำวันศุกร์ที่ 15 มิถุนายน 2561

 

 

รัสเซียโชว์ฟอร์มดุ ไล่ทุบซาอุฯ ขาดลอย 5-0 โกโลวินฉายแววเด่น ยิง 1 จ่าย 2

 

จบการแข่งขันฟุตบอลโลกนัดแรก ทีมชาติรัสเซียโชว์ฟอร์มสุดหรูเอาชนะซาอุดีอาระเบียไปด้วยสกอร์ 5-0 ได้ประตูขึ้นนำก่อนจากยูริ กาซินสกี ในนาทีที่ 12 และมาได้ประตูที่ 2 จากเดนิส เชรีเยฟ ที่กระดกบอลหลบผู้เล่นซาอุดีอาระเบียอย่างเหนือชั้นแล้วซัดบอลเข้าไปตุงตาข่ายในนาทีที่ 43 

 

ครึ่งหลังอาร์เทม ซูบา กองหน้าตัวสำรองมาบวกสกอร์เพิ่มให้ทีมอีกครั้งหลังถูกเปลี่ยนลงสนามมาได้เพียงแค่ 1 นาทีเท่านั้น ก่อนที่เชรีเยฟจะมาบวกประตูที่ 2 ของตัวเองในนาทีที่ 90

 

ช่วงทดเวลาบาดเจ็บ เพชรเม็ดงามวัย 22 ปีอย่างอเล็กซานเดอร์ โกโลวิน ที่โชว์ฟอร์มได้เข้าฝักสุดๆ ในนัดนี้ก็มายิงฟรีคิกปิดกล่องฝังซาอุฯ เข้าไปอย่างหมดจด โดยในนัดนี้เขายังจ่ายให้เพื่อนทำประตูไปได้ถึง 2 ลูกอีกด้วย

  • LOADING...

READ MORE




Latest Stories

Close Advertising
X