×

Everybody Hurts

01.08.2017
  • LOADING...

     ในวันที่ผู้คนรอบตัวกำลังพูดถึงประเด็นของโรคซึมเศร้าที่พรากชีวิตของ เชสเตอร์ เบนนิงตัน นักร้องนำของวง Linkin Park ไปอีกคน ไม่นับการถกเถียงระบายอารมณ์ด้วยถ้อยคำที่บ้างก็รุนแรง บ้างก็โศกเศร้า ระลอกแล้วระลอกเล่า ที่เราอ่านพบในโซเชียลมีเดียแทบทุกช่องทาง เราเชื่อว่าทั้งหมดนั้นล้วนเป็นผลมาจากความสูญเสีย ความไม่เข้าใจ ไปจนถึงความรู้สึกเสียดายที่คนคนหนึ่งเลือกที่จะลาจากโลกนี้ไป ทั้งที่มีคนอีกมากมายที่เชื่อว่าการมีอยู่ของเขายังมีความหมาย

     กล่าวได้ไหมว่านี่เป็นความขมขื่นอย่างหนึ่งของมนุษย์เรา ที่บางคนไม่เคยรู้ว่าตัวเองมีความหมายกับใคร หรืออาจจะเคยรู้ แต่เมื่อความเศร้ามันกดทับจนถึงที่สุด ทุกเรื่องก็คล้ายไม่มีความหมายใดๆ อีกแล้วแม้แต่ชีวิตที่เคยมี

     ถึงจุดนี้ความเจ็บปวดจึงไม่ใช่ของใครคนใดคนหนึ่งแต่ทุกคนล้วนเจ็บปวดด้วยกันทั้งสิ้น

     ในยุคสมัยที่เราเชื่อมโยงกันด้วยโซเชียลมีเดียเช่นนี้ ทำให้เราตัดสินกันง่ายๆ ว่ายิ่งมียอดคนกดไลก์ หรือจำนวนคนที่กดติดตามเรามากเท่าไร ก็ยิ่งดี และอาจทำให้เผลอคิดไปว่า เรามีใครอยู่ในชีวิตมากมายเหลือเกิน ทั้งที่ว่ากันตามความจริงแล้ว ผู้คนมากมายเหล่านั้นดูจะเป็นคนละเรื่องกับใครสักคนที่พร้อมจะอยู่เคียงข้าง โดยเฉพาะในยามที่เราทุกข์เศร้า จะว่าไปแล้ว คนจำนวนมากที่รู้จักเราจะอยู่ตรงไหนบ้างอาจไม่ใช่คำถามสำคัญมากเท่ากับว่า ใครสักคนที่พร้อมจะอยู่เคียงข้างเราคือใครกันแน่? ยิ่งน่าเศร้าไปกว่านั้นก็คือ สำหรับบางคน นอกจากจะนึกไม่ออกว่าใครคือคนที่พร้อมจะอยู่เคียงข้างในยามทุกข์ แต่ยังนึกไม่ออกด้วยว่า ครั้งสุดท้ายที่บอกตัวเองว่ามีความสุขคือเมื่อไร?​

     ว่ากันตามธรรมดาโลก ทั้งความทุกข์ และความสุข ล้วนเป็นสิ่งที่ทำให้มนุษย์ทุกคนเท่าเทียมกัน เพราะไม่ว่าจะยากดีมีจน ทุกคนต่างก็ต้องเผชิญทั้งความทุกข์และความสุขกันมาแล้วทั้งนั้น สุดแท้แต่เราจะเลือกมองว่าควรจะเรียกมันว่าอะไร (เพราะบางทีมันก็แฝงตัวมาในกันและกันอย่างแยกไม่ออก) แต่ที่แน่ๆเมื่อมีความสุขเรามักจะไม่อยากให้ช่วงเวลานั้นผ่านเลยไปเรามีแนวโน้มที่จะยื้อยุดฉุดดึงช่วงเวลาแห่งความสุขให้อยู่กับเราเนิ่นนานที่สุดจนในที่สุดเราก็ทุกข์เพราะการยื้อยุดนั่นเอง

      ในขณะที่เมื่อมีความทุกข์ เราก็ยิ่งกลับซ้ำเติมให้ตัวเองทุกข์มากขึ้นด้วยการเร่งคืนเร่งวันให้มันผ่านไปเพื่อจะพบว่าไม่มีอะไรผ่านพ้นไปได้ดั่งใจแต่ทุกอย่างจะผ่านไปก็ต่อเมื่อมันถึงเวลาไม่ว่าจะช้าจะเร็ว

      ช่วงหลายปีที่ผ่านมา น่าสังเกตว่าหนังสือที่ผู้เขียนซื้อสะสมไว้มากขึ้นเรื่อยๆ คือหนังสือเกี่ยวกับการมีความสุข แต่ยังไม่มีเวลาหยิบมานั่งอ่านยาวๆ เลยกลายเป็นว่าเป็นทุกข์ เพราะไม่มีเวลาอ่านหนังสือเกี่ยวกับความสุข (เฮ้อ)​ ระยะหลังๆ ก็เลยเริ่มจะพิจารณาบ้างแล้วเหมือนกันว่า ตอนนี้เรายังจำเป็นต้องอ่านหนังสือที่ว่าด้วยการมีความสุขอยู่ไหม เพราะเท่าที่สังเกตดู ไม่ว่าในหนังสือจะแนะนำให้เรามีวิธีคิดหรือวิธีสร้างบรรยากาศแวดล้อมให้มีความสุขอย่างไรก็ตาม แต่หัวใจสำคัญอย่างหนึ่งที่เราจะลืมเสียไม่ได้เลยก็คือ คน หรือความสัมพันธ์กับผู้คนนั่นเอง ที่จะทำให้เรารู้สึกถึงความหมายในชีวิต ทั้งในมุมที่เรามีความหมายกับเขา และเขามีความหมายกับเรามากพอที่จะทำให้เราไม่มองกันและกันเป็นคนอื่น

     ครั้งสุดท้ายที่เราบอกตัวเองว่ามีความสุขอาจจะเป็นตอนนั้นเองตอนที่เราเชื่อมั่นว่ามีใครสักคนอยู่ตรงนี้กับเราเสมอไม่ว่าความทุกข์นั้นจะโบยตีเราจนยับเยินขนาดไหน

     แม้จะรู้ทั้งรู้ว่าไม่มีใครอยู่กับเราไปได้ตลอดแต่ขอเพียงบางขณะหากเรามีใครสักคนที่ช่วยประคับประคองให้ผ่านช่วงเวลาที่หม่นเศร้าไปได้เราจะขอบคุณเขาตลอดไป

วิไลรัตน์เอมเอี่ยม

บรรณาธิการบริหาร

[email protected]

  • LOADING...

READ MORE






Latest Stories

Close Advertising