ทีมนักเศรษฐศาสตร์ของธนาคาร Deutsche Bank ออกโรงเตือนรัฐบาลทั่วโลกอย่าเพิกเฉยต่อตัวเลขอัตราเงินเฟ้อที่กำลังขยับขึ้นอยู่ในปัจจุบัน เพราะแม้หลายฝ่ายจะเห็นว่าเงินเฟ้อที่เพิ่มขึ้นในช่วงเวลานี้เป็นเพียงการเพิ่มขึ้นชั่วคราว แต่ในมุมมองของ Deutsche Bank กลับเห็นว่า อัตราเงินเฟ้อดังกล่าวมีแนวโน้มจะลากยาว และนำไปสู่สาเหตุของวิกฤตเศรษฐกิจโลกในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า
ทั้งนี้ ในรายงานคาดการณ์แนวโน้มทิศทางเศรษฐกิจโลกของหลายองค์กรและหน่วยงานชั้นนำของรัฐทั่วโลก รวมถึงนักลงทุนในตลาดวอลล์สตรีท ต่างลงความเห็นไปในทางเดียวกันว่าเศรษฐกิจโลกมีการฟื้นตัวในทิศทางบวก แต่ทาง Deutsche Bank กลับเห็นว่ามีแนวโน้มที่สดใส ไม่ได้หมายความว่าเศรษฐกิจโลกไม่มีปัจจัยเสี่ยงที่ต้องกังวล โดยหยิบยกประเด็นที่รัฐบาลทั่วโลกเร่งฟื้นฟูจากโควิด-19 ด้วยมาตรการกระตุ้นชุดใหญ่
Deutsche Bank กล่าวว่า การมุ่งกระตุ้นเศรษฐกิจโดยไม่สนใจกับอัตราเงินเฟ้อที่ปรับสูงขึ้นจะเป็นข้อพิสูจน์ความผิดพลาด ที่จะทำให้เศรษฐกิจโลกเข้าขั้นวิกฤตภายในอนาคตอันใกล้ หรือนับตั้งแต่ปี 2023 เป็นต้นไป
งานนี้ Deutsche Bank ได้ยกตัวอย่างให้เห็นภาพด้วยการชี้ไปที่มาตรการของธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ที่แสดงจุดยืนท่าทีต่อเงินเฟ้อที่สูงขึ้นว่าเป็นเรื่องที่ยอมรับได้เพื่อแลกกับการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ ทำให้ไม่มีนโยบายปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยจนกว่าอัตราเงินเฟ้อจะส่งสัญญาณปรับขึ้นอย่างต่อเนื่อง
เดวิด โฟล์คาร์ตส์-แลนเดา (David Folkerts-Landau) หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ของ Deutsche Bank กล่าวว่า ผลลัพธ์ที่ Fed ตอบสนองต่ออัตราเงินเฟ้ออย่างล่าช้าจะทำให้เศรษฐกิจและการเงินตกอยู่ในภาวะชะงักครั้งใหญ่ ฉุดให้เศรษฐกิจสหรัฐฯ ตกอยู่ในภาวะถดถอยอย่างมีนัยสำคัญจนกระเทือนต่อตลาดการเงินทั่วโลก โดยเฉพาะตลาดประเทศเศรษฐกิจเกิดใหม่ หรือ Emerging Markets ที่จะได้รับผลกระทบรุนแรงที่สุด
โดย Deutsche Bank ระบุว่า ไม่เห็นด้วยกับ Fed และธนาคารกลางอีกหลายแห่งทั่วโลกที่มองว่าอัตราเงินเฟ้อเป็นเรื่องชั่วคราว เพราะมาตรการกระตุ้นที่รัฐบาลใช้กันอยู่ในปัจจุบัน บวกกับพื้นฐานทางเศรษฐกิจที่มีการเปลี่ยนแปลงในยุคหลังโควิด-19 ระบาด จะมีแต่ยิ่งทำให้ราคาอาหาร สินค้า และบริการปรับตัวสูงขึ้น ดังนั้นการที่ Fed เลือกที่จะเมินเฉยต่อเงินเฟ้อจึงเป็นการปล่อยให้เศรษฐกิจโลกนั่งอยู่บนระเบิดเวลา
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าความเห็นส่วนใหญ่ของนักลงทุนในตลาด รวมถึงธนาคารกลางสหรัฐฯ จะเป็นไปในทิศทางตรงกันข้ามกับ Deutsche Bank แต่ก็มีรายงานว่า Fed เองก็ไม่ได้นิ่งนอนใจต่อปัญหาเงินเฟ้อที่เกิดขึ้น โดยสถานีโทรทัศน์ CNBC รายงานว่า สมาชิกคณะกรรมการกำกับนโยบายการเงิน (FOMC) ของ Fed บางส่วนเริ่มออกมาส่งสัญญาณเตรียมหยิบยกประเด็นเรื่องการลดวงเงินซื้อคืนพันธบัตรตามมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ หรือ QE ภายในการประชุมนโยบายการเงินระหว่างวันที่ 15-16 มิถุนายนนี้
รายงานระบุว่า Fed อยู่ในช่วงเริ่มต้นของการปรับนโยบายผ่อนคลายทางการเงินมาค่อยๆ เข้มงวดมากขึ้น ด้วยการลดการซื้อคืนสินทรัพย์ ซึ่งการดำเนินการอย่างค่อยเป็นค่อยไปจะทำให้ตลาดมีเวลาเตรียมตัวและปรับตัว ช่วยหลีกเลี่ยงปัญหา Taper Tantrum ซึ่งเคยเกิดขึ้นเมื่อปี 2013 ที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐ (บอนด์ยีลด์) พุ่งขึ้นอย่างรุนแรง หลัง Fed ประกาศจะปรับลดวงเงินในโครงการซื้อสินทรัพย์ตามมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) ทำให้เม็ดเงินไหลออกจากตลาดเกิดใหม่จำนวนมาก ทั้งยังผลักดันให้ธนาคารกลางของประเทศต่างๆ พากันปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเพื่อปกป้องบัญชีทุนในประเทศของตนเอง
พิสูจน์อักษร: ลักษณ์นารา พักตร์เพียงจันทร์
อ้างอิง:
