×

ครม. เห็นชอบร่างแถลงร่วมไทย-จีน ก่อนถกกับ สีจิ้นผิง ช่วง APEC ย้ำแผนร่วมมือสองชาติ ปราบยาเสพติด-แก๊งคอลเซ็นเตอร์

โดย THE STANDARD TEAM
15.11.2022
  • LOADING...

วันนี้ (15 พฤศจิกายน) รัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เห็นชอบร่างถ้อยแถลงร่วมระหว่างราชอาณาจักรไทยกับสาธารณรัฐประชาชนจีน ว่าด้วยการดำเนินการเพื่อมุ่งสู่การเป็นประชาคมที่มีอนาคตร่วมกันไทย-จีน เพื่อนำไปสู่ความมั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืนยิ่งขึ้น 

 

ทั้งสองฝ่ายจะมีการรับรองร่างถ้อยแถลงร่วม ซึ่งเป็นข้อหารือราชการระหว่างกันโดยไม่มีการลงนาม ในโอกาสการเยือนไทยของ สีจิ้นผิง ประธานาธิบดีแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน ช่วงการประชุมผู้นำเขตเศรษฐกิจ APEC ระหว่างวันที่ 17-19 พฤศจิกายน 2565 ร่างถ้อยแถลงร่วมมีประเด็นข้อราชการที่สำคัญ ดังนี้

 

  1. การขับเคลื่อนความสัมพันธ์ะหว่างไทยกับจีน ในโอกาสครบรอบ 10 ปี ความสัมพันธ์หุ้นส่วนความร่วมมือเชิงยุทธศาสตร์อย่างรอบด้านในปี 2565 และการเตรียมการสู่การครบรอบ 50 ปี การสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างสองประเทศในปี 2568

 

  1. การย้ำท่าทีทางการเมืองในการเคารพอธิปไตยและบูรณภาพแห่งดินแดนของกันและกัน 

 

  1. การส่งเสริมการค้า การลงทุน และความเชื่อมโยง รวมถึงการขับเคลื่อนแนวคิดการสร้างระเบียงการพัฒนาความเชื่อมโยงไทย-สปป.ลาว-จีน รวมทั้งส่งเสริมความร่วมมือระหว่างเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (Eastern Economic Corridor: EEC) ของไทย กับกรอบความร่วมมือเขตอ่าวกวางตุ้ง-ฮ่องกง-มาเก๊า (GBA) และเขตเศรษฐกิจสามเหลี่ยมปากแม่น้ำแยงซีของจีน โดยเฉพาะสาขาความร่วมมือด้านอุตสาหกรรมในอุตสาหกรรมที่มีศักยภาพสูง รวมถึงยานยนต์ไฟฟ้า

 

  1. การส่งเสริมความร่วมมือในด้านอื่นๆ เช่น สาธารณสุข การลดความยากจนและการพัฒนาชนบท และการปราบปรามอาชญากรรมข้ามชาติ โดยเฉพาะยาเสพติด การพนันออนไลน์ และขบวนการหลอกลวงทางโทรศัพท์

 

  1. การส่งเสริมการแลกเปลี่ยนในระดับประชาชน การกลับมาทำการบินเส้นทางระหว่างประเทศไทยกับจีน ร่วมมือกันฟื้นฟูการท่องเที่ยวที่มีคุณภาพสูง และเพิ่มความร่วมมือด้านการศึกษา วัฒนธรรม สื่อ และข้อมูลข่าวสาร

 

รัชดากล่าวด้วยว่า ร่างถ้อยแถลงได้ระบุถึงการดำเนินการร่วมกันตามแผนปฏิบัติการร่วมว่าด้วยความร่วมมือเชิงยุทธศาสตร์ไทย-จีน พ.ศ. 2565-2569 และแผนความร่วมมือระหว่างรัฐบาลไทยกับรัฐบาลจีนว่าด้วยการร่วมกันส่งเสริมเส้นทางเศรษฐกิจสายไหม และเส้นทางสายไหมทางทะเลแห่งศตวรรษที่ 21 ซึ่งวันนี้ ครม. มีมติเห็นชอบเอกสารทั้ง 2 ฉบับเช่นกัน โดยมีสาระสำคัญดังนี้

 

ฉบับแรก คือ แผนปฏิบัติการร่วมว่าด้วยความร่วมมือเชิงยุทธศาสตร์ไทย-จีน พ.ศ. 2565-2569 นี้ เป็นแผนฉบับที่ 4 ที่ทั้งสองฝ่ายร่วมกันจัดทำขึ้น เพื่อกำหนดทิศทางการดำเนินความสัมพันธ์และกรอบความร่วมมือระหว่างไทยกับจีนในระยะ 5 ปี โดยกำหนดกรอบความร่วมมือที่จะดำเนินการร่วมกันใน 18 สาขา เช่น 

 

  1. การเมือง เช่น ฝ่ายจีนเคารพเอกราช อธิปไตย และบูรณภาพแห่งดินแดนของไทย 

 

  1. การทหารและความมั่นคง เช่น แลกเปลี่ยนการเยือนและการหารือในทุกระดับระหว่างกองทัพและหน่วยงานบังคับใช้กฎหมาย

 

  1. เศรษฐกิจการค้าและการลงทุน เช่น ส่งเสริมความเชื่อมโยงทางการค้า อำนวยความสะดวกทางการค้า ประสานและวางแผนความร่วมมือที่เป็นรูปธรรมในด้านต่างๆ สนับสนุนการใช้ประโยชน์จากความตกลงการค้าเสรีอาเชียน-จีน เสริมสร้างการประสานระหว่างเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ของไทย กับกรอบความร่วมมือเขตอ่าวกวางตุ้ง-ฮ่องกง-มาเก๊า (GBA) ของจีน 

 

  1. เกษตรกรรม เช่น เพิ่มพูนการแลกเปลี่ยนและความร่วมมือด้านการเกษตร อำนวยความสะดวกการนำเข้าผลไม้ กระชับการแลกเปลี่ยนและความร่วมมือในประเด็นเกษตรอัจฉริยะ เกษตรสีเขียว เทคโนโลยี ดิจิทัล และนวัตกรรมทางการเกษตร ความปลอดภัย และความมั่นคงทางอาหาร 

 

ฉบับที่สอง คือ แผนความร่วมมือระหว่างรัฐบาลไทยกับรัฐบาลจีนว่าด้วยการร่วมกันส่งเสริมเส้นทางเศรษฐกิจสายไหม และเส้นทางสายไหมทางทะเลแห่งศตวรรษที่ 21 ซึ่งมีวัตถุประสงค์ เช่น เพื่อให้การพัฒนามีมาตรฐานสูง มีความยั่งยืน และยึดประชาชนเป็นศูนย์กลาง ส่งเสริมการพัฒนาความร่วมมือสายแถบและเส้นทางที่มีคุณภาพสูง ส่งเสริมความร่วมมือทวิภาคีเพื่อให้บรรลุเป้าหมายการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของแต่ละฝ่าย 

 

ทั้งนี้ เพื่อเพิ่มพูนความร่วมมือด้านรถไฟ ทางหลวง การขนส่งทางทะเล ท่าอากาศยาน พลังงาน การสื่อสาร อวกาศ และการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ เพิ่มการอำนวยความสะดวกในการลงทุน การค้า และพิธีการทางศุลกากร โดยขับเคลื่อนความร่วมมือใน 5 สาขา ตามแนวคิดหลักของข้อริเริ่มหนึ่งแถบหนึ่งเส้นทาง (Belt and Road Initiative: BRI) ได้แก่ การประสานนโยบาย การเชื่อมโยงด้านสิ่งอำนวยความสะดวก การค้าอย่างไร้อุปสรรค การบูรณาการทางการเงิน และความสัมพันธ์ในระดับประชาชน

 

ภาพ: Andrea Verdelli / POOL / AFP

  • LOADING...

READ MORE






Latest Stories

Close Advertising