วันนี้ (4 กันยายน) ที่อาคารรัฐสภา เอกนัฏ พร้อมพันธุ์ เลขาธิการพรรครวมไทยสร้างชาติ ในฐานะว่าที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ในรัฐบาล แพทองธาร ชินวัตร กล่าวถึงกรณีที่มีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ว่า เคยเป็น กปปส. ขับไล่รัฐบาล ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร แต่กลับมาร่วมรัฐบาลพรรคเพื่อไทย
เอกนัฏระบุว่า เมื่ออยู่ในการเมืองก็ยินดีรับฟังทุกความเห็น และพิสูจน์ตัวเองด้วยการทำงาน วันนี้เรื่องของบ้านเมืองต้องมาก่อน เชื่อว่าคนที่มีจุดยืนและอุดมการณ์เดียวกันก็อาจมีวิธีที่ต่างกัน แต่ในฐานะเลขาธิการพรรครวมไทยสร้างชาติจะต้องเลือกวิธีที่ดีที่สุด เพื่อเป็นทางออกของประเทศ บางทีอาจเป็นทางออกทางเดียว ซึ่งยืนยันว่าอยู่ในจุดยืนนี้มาโดยตลอด คืออุดมการณ์ในการปกป้องและรักษาสถาบันฯ ที่เป็นเสาหลักของประเทศ
ส่วนจะเสียแนวร่วมหรือกลุ่มสนับสนุนไปหรือไม่ เอกนัฏกล่าวว่า ไม่ทราบ แต่ขอให้ผลงานกับระยะเวลาเป็นเครื่องพิสูจน์ ซึ่งทุกความเห็นไม่ว่าจะเป็นคำด่าหรือคำติชม ตนยินดีรับฟัง
“อาชีพนักการเมืองเป็นอาชีพที่ผมรัก และยึดมั่นในอุดมการณ์ที่จะทำงานเพื่อประเทศชาติมาโดยตลอด ก็จะตั้งใจทำงานให้คุ้มค่ากับโอกาสที่ได้รับ” เอกนัฏระบุ
ส่วนเสียงวิจารณ์ว่าเป็นการหักอุดมการณ์ตัวเองนั้น เอกนัฏกล่าวว่า เข้าใจ เพราะมายืนอยู่ตรงนี้ อาชีพนี้ การตัดสินใจและจะทำอะไรต่างๆ ไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ยืนยันว่าเลือกทางที่ดีที่สุด ณ จังหวะเวลานี้ ภัยคุกคามและความท้าทายของประเทศเปลี่ยนไป ตอนนี้เป็นจังหวะสำคัญที่เราต้องร่วมมือกัน
เมื่อสื่อมวลชนถามว่า แล้วจะทำงานกับลูกสาวของ ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ได้อย่างสนิทใจหรือไม่ เอกนัฏกล่าวว่า “ก็ต้องทำครับ วันนี้ขอให้คิดถึงบ้านเมืองเป็นหลัก ก็สามารถทำงานด้วยกันได้ เราไม่ได้ลืม เราไม่ได้ลบ แต่เราเลือก”
เมื่อถามว่า ได้พูดคุยเรื่องนี้กับ สุเทพ เทือกสุบรรณ อดีตแกนนำ กปปส. หรือไม่ เอกนัฏกล่าวว่า ยังคงพูดคุยกับทุกคนปกติ ที่ผ่านมาไม่อยากพูดมาก แต่ไม่ได้แปลว่าไม่รับฟัง เข้าใจคนที่ตำหนิว่ามีความปรารถนาดี ต้องรับฟังและปรับปรุงตัว แต่ย้ำว่าตลอดชีวิตที่ผ่านมามีจุดยืน ครั้งนี้ก็เช่นเดียวกัน
ขณะที่มีกระแสข่าวว่าเอกนัฏไปเป็นพยานในคดีมาตรา 112 ของทักษิณนั้น เอกนัฏชี้แจงว่า มีหมายเรียกจากเจ้าหน้าที่ตำรวจมา ตนเองไม่ได้ไปโดยพลการ ซึ่งหากไม่ไปจะโดนหมายจับ จึงต้องไปทำหน้าที่ตามกฎหมาย อย่างไรก็ตาม หากยังมีข้อสงสัยเรื่องนี้ จะหาโอกาสชี้แจงอย่างเป็นทางการอีกครั้ง
สำหรับเรื่องคุณสมบัติที่ถูกท้วงติงมา เอกนัฏกล่าวว่า การตรวจสอบคุณสมบัติไม่ใช่หน้าที่ของตน ถือว่าเป็นไปตามมาตรฐานการตรวจสอบแล้ว เนื่องจากคดีของตนเองมีคำพิพากษาของศาลออกมาแล้ว ดังนั้นขอไม่พูดถึง เดินหน้าทำงานดีกว่า
