ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ร่วงลงจากความขัดแย้งในตะวันออกกลางที่กำลังปะทุ

การปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องของตลาดหุ้นหยุดชะงักลงในวันอังคารที่ผ่านมา (1 ตุลาคม) เนื่องจากนักลงทุนถอยกลับไปหาสินทรัพย์ที่หลบภัย (Safe Haven) ท่ามกลางความขัดแย้งในตะวันออกกลางที่ทวีความรุนแรงขึ้น

พันธบัตรรัฐบาล, น้ำมัน, ทองคำ และดอลลาร์สหรัฐ ต่างก็ปรับตัวสูงขึ้น เมื่ออิหร่านยิงขีปนาวุธถล่มอิสราเอล หลังจากกองกำลังติดอาวุธอิสราเอลรุกคืบเข้าไปในเลบานอนเมื่อช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา

โดยราคาทองคำพุ่งขึ้นเหนือ 2,670 ดอลลาร์ต่อออนซ์ในระหว่างการซื้อขาย ขณะที่ราคาน้ำมันพุ่งขึ้นไปแตะระดับ 71 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลในช่วงสั้นๆ

ในทางกลับกัน กลุ่มเทคโนโลยีเป็นหุ้นที่มีผลตอบแทนแย่ที่สุด โดย Apple Inc. และ NVIDIA Corp. ร่วงลงประมาณ 3% ดัชนี NASDAQ 100 ลดลง 1.4% ในการซื้อขายภาคบ่าย ขณะที่ดัชนี S&P 500 ร่วงลง 0.9%

สำนักข่าว Bloomberg รายงานว่า อิหร่านยิงขีปนาวุธประมาณ 200 ลูกโจมตีอิสราเอลเมื่อค่ำคืนวันอังคาร ความตึงเครียดที่ทวีความรุนแรงขึ้นอย่างรวดเร็วในระยะสั้นระหว่างทั้งสองอาจจุดชนวนให้เกิดการโจมตีรอบใหม่ ขณะที่ Benjamin Netanyahu นายกรัฐมนตรีอิสราเอล ประกาศจะตอบโต้การโจมตีในครั้งนี้

การโจมตีเมื่อวันอังคารที่ผ่านมาเป็นการตอบโต้หลังจากที่อิสราเอลดำเนินการโจมตีเลบานอนหลายครั้งในหลายวันมานี้ และสังหาร Hassan Nasrallah ผู้นำกลุ่มฮิซบอลเลาะห์ด้วยการโจมตีทางอากาศในกรุงเบรุต และส่งกองกำลังภาคพื้นดินข้ามชายแดนไปในพื้นที่ นอกจากนี้ เตหะรานยังขู่ที่จะตอบโต้ หลังจากผู้นำทางการเมืองของกลุ่มฮามาสถูกสังหารในเตหะรานเมื่อเดือนกรกฎาคม โดยการโจมตีดังกล่าวถูกกล่าวหาว่าเป็นฝีมือของอิสราเอล

ความตึงเครียดในตะวันออกกลางส่งผลให้ราคาน้ำมันดิบพุ่งสูงขึ้น โดยราคาน้ำมันดิบเบรนต์เพิ่มขึ้น 2.6% ปิดตลาดที่ 73.56 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ขณะที่ราคาน้ำมันดิบ West Texas Intermediate (WTI) ของสหรัฐฯ เพิ่มขึ้น 2.4% ปิดตลาดที่ 69.83 ดอลลาร์

Clay Seigle นักกลยุทธ์ด้านความเสี่ยงทางการเมืองกล่าวว่า การโจมตีของอิสราเอลต่อโรงงานผลิตหรือส่งออกน้ำมันของอิหร่านอาจทำให้เกิดการหยุดชะงักที่สำคัญ ซึ่งอาจส่งผลต่อน้ำมันมากกว่า 1 ล้านบาร์เรลต่อวันเลยทีเดียว

อ้างอิง: